“น่ากลัวขนาดนี้เลยหรือ” อันหลินเบิกตากว้าง จ้องสวีเสี่ยวหลาน
สวีเสี่ยวหลานพยักหน้าเคร่งขรึม “หากเจ้าดูดซึมแบบนี้ ตายแน่นอน!”
อันหลินมองประคำปราณสีแดงในมือแล้วพูดอย่างฉงนใจว่า “แล้วควรจะดูดซึมอย่างไร”
สวีเสี่ยวหลานนวดขมับอย่างระอาใจ “แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าจะกลืนพลังไฟในประคำไปทำไม แต่ข้าวางค่ายกลปรับพลังไฟให้อ่อนโยน ขณะเดียวกันก็ติดตั้งสัญญาณเตือนกายระเบิดไว้ด้วย หากมีเค้าลางว่ากายจะระเบิด เจ้าต้องหยุดการดูดซึมพลังไฟทันที”
อันหลินจ้องสวีเสี่ยวหลานอย่างซาบซึ้งใจ “ได้ เช่นนั้นฝากเจ้าด้วยนะ”
“จริงๆ เลย ทำอะไรก็สุกเอาเผากินแบบนี้ ครั้งหน้าขอให้ระเบิดตาย!” สวีเสี่ยวหลานมองอันหลินตาขวาง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับการกระทำไม่คิดหน้าคิดหลังของเขาอย่างยิ่ง
อันหลินเกาหัวอย่างเขินๆ ไม่กล้าพูดอะไร
ผ่านไปครู่หนึ่งก็วางค่ายกลสำเร็จเสร็จสิ้น
เขานั่งขัดสมาธิกลางค่ายกล เริ่มดูดซึมพลังแห่งไฟในประคำปราณอัคคีในมือ
พลังไฟที่บริสุทธิ์ยิ่งยวดเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้ร่างกายของเขาร้อนรุ่ม
ครึ่งชั่วยามต่อมา เนื้อตัวอันหลินก็เริ่มแดงฉานและร้อนระอุ หมอกสีขาวผุดออกมา
สวีเสี่ยวหลานที่อยู่นอกค่ายกลกำมือแน่น จ้องอันหลินที่อยู่กลางค่ายกลด้วยความวิตกอย่างยิ่ง
บนศีรษะของนางคือเสี่ยวหงที่กำลังโยกไหวตามแรงลม
เหตุการณ์อันแสนคุ้นเคย แต่กลับเป็นสภาพจิตใจที่ต่างกัน
ตอนนี้เสี่ยวหงสงบนิ่งขึ้นเยอะแล้ว มันมองคนเป็นนายที่กำลังจะระเบิดด้วยความสงสัย ต่อให้เจ้านายตายเพราะระเบิด มันก็สามารถฝืนอยู่ต่อไปด้วยการสังเคราะห์แสงได้ ไม่มีอะไรต้องกลัว
ครืน! ค่ายกลเริ่มสั่นไหว เสียงสัญญาณเริ่มดังขึ้น
“อันหลิน! จะระเบิดแล้ว รีบหยุดเร็ว!” สวีเสี่ยวหลานตะโกนเสียงดัง
อันหลินแดงฉานไปทั้งตัว ราวกับเลือดเดือดปุดๆ แต่ก็หยุดไม่ได้
ใช่แล้ว ตอนนี้เขาสูญเสียการควบคุมแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือ ดูดซึมพลังไฟไม่หยุด
สวีเสี่ยวหลานกำลังจะพุ่งใส่ค่ายกล เพื่อขัดขวางการกระทำของอันหลิน จู่ๆ ศูนย์กลางค่ายกลก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
ขนนกอัคคีสีแดงก่อตัวกลางอากาศ ส่องแสงของเพลิงระยิบระยับงดงาม
หากมองไกลๆ ก็เหมือนขนของพญาหงส์ที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า
“งดงามนัก…” สวีเสี่ยวหลานจ้องขนเพลิงที่ลอยล่องกลางอากาศอึ้งๆ อดเอ่ยปากชมไม่ได้
พวกมันไม่หล่นกระทบพื้น แต่ล่องลอยรอบกายอันหลินอย่างมีชีวิตชีวา แผ่ความร้อนและส่องแสงปานภูตไฟที่รื่นเริง
ความเร็วในการดูดซึมพลังไฟรวดเร็วกว่าเดิม แต่สัญญาณเตือนของค่ายกลกลับไม่ดังอีก…
ผ่านไปอีกราวๆ ครึ่งชั่วยาม
ขนเพลิงกลางอากาศแทรกซึมไปในร่างกายของอันหลิน ประคำปราณอัคคีหม่นหมอง กลายเป็นหินไร้ค่า
‘ติ้ง ภารกิจสำเร็จ!’
พลังปีกแห่งอัคนีขั้นหนึ่งเริ่มพรั่งพรูเข้ามา ไม่นานวรยุทธ์ที่แฝงด้วยพลังของธาตุไฟ ยกระดับพลังต่อสู้ของเขาได้ก็หลอมรวมเป็นหนึ่งกับเขาอย่างสมบูรณ์!
อันหลินลุกขึ้น นัยน์ตาสุกใส “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังอันเต็มเปี่ยม ข้ารู้สึกว่าเลือดทั่วตัวกำลังเดือดพล่าน ข้าจะสู้!”
สวีเสี่ยวหลานไม่คิดเลยว่าพลังแห่งไฟที่มหาศาลปานนี้ จะถูกอันหลินดูดซึมไปแล้วจริงๆ ต่อให้นางจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ตกใจเช่นกัน
“ไป เราไปตำหนักดำกันเถอะ ข้าจะสู้!” นัยน์ตาของอันหลินลุกเป็นไฟ พูดอย่างฮึกเหิม
ต้าไป๋ “ทำไมพี่อันถึงได้เลือดร้อนเช่นนี้ ไม่เข้ากับนิสัยเลย!”
เจ้าอัปลักษณ์ “ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเห็นพี่อันเป็นเช่นนี้ ข้าฮึกเหิมขึ้นมาแล้ว!”
เสี่ยวหงหดเข้าไปในชุดของสวีเสี่ยวหลานอย่างใจเย็น “พี่เสี่ยวหลาน ข้าคิดว่านายท่านจะระเบิดอีกแล้ว ขอมาหลบอยู่ที่นี่กับท่านก่อน”
สวีเสี่ยวหลาน “…”
อันหลินไม่พูดพร่ำทำเพลง มุ่งหน้าสู่ตำหนักดำก่อนใคร
เขาเตะประตูตำหนักออก ย่างสามขุมเข้าไปอย่างดุดัน
คนเฝ้าสุสานของตำหนักดำตกใจสะดุ้งโหยง แต่ไม่นานก็สงบลง หรี่ตามองอันหลิน “ช่างเป็นจิตวิญญาณที่รุนแรงนัก จะประกาศศึกหรือ”
อันหลินจ้องผู้เฝ้าสุสานเป็นชายหนุ่มผิวขาวสะอาด รูปร่างสูงโปร่ง
บนศีรษะของชายหนุ่มมีเขามังกรประณีตคู่หนึ่ง ให้ความรู้สึกน่ายำเกรง
“มังกรหรือ” อันหลินมองชายคนนั้น ไฟในดวงตาลุกโชน “เจ้ามีของดีอะไร”
ประกายฉายวาบในดวงตาชายหนุ่ม ตบบริเวณหัวใจปุๆ “ที่นี่มีไข่มุกมังกรอัสนี ไม่กลัวตายก็เข้ามา!”
อันหลินระเบิดเสียงหัวเราะ “ตอนนี้ในตัวข้ามีพลังเต็มเปี่ยม เจ้าตายเสียเถอะ!”
สวีเสี่ยวหลาน “…”
เจ้าอัปลักษณ์ “…”
ต้าไป๋ “…เสร็จกัน พี่อันบ้าไปแล้ว”
อันหลินตะโกนลั่น เนื้อตัวเริ่มกลายเป็นสีแดงฉานช้าๆ พลังปะทุทันใด
“เอาหมัดข้าไปกิน!”
เขาตะคอกเสียงดัง เท้ากระทืบพื้นอย่างแรง พุ่งตัวใส่ชายหนุ่มประหนึ่งขีปนาวุธแล้วปล่อยหมัดใส่ชายตรงหน้าทันที
ชายหนุ่มปล่อยหมัดออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยเช่นกัน
ครืน!
พลังที่น่ากลัวสะเทือนผิวดินโดยรอบจนแตกระแหง
ร่างของอันหลินกระเด็นออกไปราวกับถูกโจมตีอย่างแรง กระแทกผนังตำหนักจนพังทลาย จากนั้นหายไปจากคลองจักษุของทุกคน
สวีเสี่ยวหลาน “…”
เจ้าอัปลักษณ์ “ไยพี่อันไม่ปล่อยต๋าอีกับต๋าเอ้อร์ออกมา”
ต้าไป๋พูดด้วยความสีหน้าที่คาดเดาทุกอย่างออกว่า “สมองของพี่อันคงจะถูกเผาจนใช้การไม่ได้ตอนดูดซึมประคำปราณอัคคีกระมัง เจ้าไม่เห็นหรือว่าตอนนี้เขาเป็นเหมือนคนบ้าน่ะ”
พอสวีเสี่ยวหลานได้ฟัง ก็ตบเข่าฉาดหนึ่งอย่างได้สติทันที “ถึงว่า…มีความเป็นไปได้เหมือนกัน!”
จากนั้นนางก็แนะนำว่า “งั้นเราถอยกันดีกว่า รอให้อันหลินสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เจ้าอัปลักษณ์กับต้าไป๋ก็ไม่คัดค้าน เตรียมตัวจะไปจากที่นี่
คิดไม่ถึงว่าจะมีเสียงคุ้นเคยดังแว่วมาแต่ไกล “ฮ่าๆ ๆ… ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งนัก ข้าฮึกเหิมแล้ว!”
ชายหนุ่มคนหนึ่งขี่กระบี่มา จากนั้นก็วาดลวดลายอย่างปราดเปรียว!
“สวรรค์ พี่อันขี่กระบี่เป็นด้วยหรือ!” ต้าไป๋อุทานอีกครั้ง
เห็นอันหลินตวัดกระบี่ปล่อยลำแสงดุจสายรุ้งฟันชายหนุ่มคนนั้น
“การต่อสู้ไม่ได้อาศัยความฮึกเหิมเท่านั้น การต่อสู้ที่ไม่รู้ความแตกต่างทางฝีมือเท่ากับรนหาที่ตาย” มือของชายหนุ่มกลายเป็นกรงเล็บมังกร รับกระบี่ของอันหลินไว้อย่างง่ายดาย
เขาอ้าปากแล้วพ่นลม คมกระบี่สายลมก็ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ
คมกระบี่ที่แฝงด้วยพลังสายเลือดมังกรที่น่ากลัว เข้ามาประชิดในพริบตา ทำเอาอันหลินที่อยู่ตรงหน้ากระอักเลือดและกระเด็นออกไป
ชายหนุ่มยืนมือไพล่หลัง อานุภาพของมังกรแผ่กระจาย จดจ้องทุกคนที่อยู่ไม่ไกลอย่างเย้ยหยัน “เขาอ่อนแอเกินไป พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย”
ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์สบตากัน คว้าตัวอันหลินที่กระอักเลือดนอนบนพื้นขึ้น สาวเท้าแล้ววิ่งหนีทันที
สวีเสี่ยวหลานปล่อยกำแพงไฟสูงสามจั้ง เจิดจ้าอย่างยิ่ง บดบังสายตาของชายหนุ่ม
ภายในตำหนัก เสียงสนทนาเบาลงเรื่อยๆ
“ปล่อยข้านะ เป็นผู้ชายห้ามขี้ขลาด ข้ารู้สึกว่าเนื้อตัวเปี่ยมด้วยพลัง ข้ายังสู้ได้…”
“หยุดพูดได้แล้ว ให้ตายสิ ข้าไม่มีเจ้านายปัญญาอ่อนแบบนี้ โฮ่ง!”
“อันหลิน เจ้าใจเย็นๆ ก่อน ข้าขอตรวจดูก่อนว่าสมองเจ้าเป็นอะไรหรือไม่…”
…
พอกำแพงไฟสลายหายไป ทุกคนก็หายลับไปในตำหนักแล้ว
ชายหนุ่ม “… ใช้ไม่ได้!”