กลุ่มนักพรตทั่วโลกร่วมมือกันพิทักษ์โลก
เซียนกระบี่ชิงเหอ ‘เรียบร้อย กำจัดลัทธิกาฬเวทจนสิ้นซากแล้ว’
จินอวี้จื่อ ‘สหายอันหลินลงมือเหรอ’
เซียนกระบี่ชิงเหอ ‘ใช่แล้ว เขาพาผู้แข็งแกร่งระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณเจ็ดคนมาเป็นกำลังเสริมด้วย’
เทพพยากรณ์ผู้แม่นยำ ‘คุณพระ ขนาดนั้นเลยเหรอ!’
เซียนกระบี่ชิงเหอ ‘นั่นสิ ลัทธิกาฬเวทกับลัทธิเพลิงพิษกำลังเสริมของพวกมันถูกฆ่าให้เสี้ยววินาที ฉันยืนดูอยู่อีกทาง ไม่รู้เพราะอะไร รู้สึกเหมือนไม่อึดอัดไปทั้งตัว…’
เซียนหญิงจิ้งซิน ‘เพราะค่าหัวไม่ใช่ของนายน่ะสิ’
เซียนหญิงหยวนจื่อต้าน ‘พี่สาวพูดถูก!’
นักพรตมู่หนิว ‘+1’
เซียนกระบี่ชิงเหอ ‘…’
ในตอนนั้นเอง เทียนหลิงหลิงก็ส่งรูปเซลฟี่เข้ากลุ่ม
ภายในรูป เธอกำลังกอดสุนัขสีขาวตัวใหญ่ ยิ้มอย่างมีความสุขมาก
เทียนหลิงหลิง ‘ฉันชอบต้าไป๋มากเลย!’
เซียนหญิงจิ้งซิน ‘ว้าว ทั้งน่ารักทั้งน่าเกรงขาม นี่มันหมาบ้านใครกันน่ะ’
เทียนหลิงหลิง ‘สัตว์เลี้ยงของนักพรตจอมปลอม เป็นสัตว์ภูตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายนะ’
นักพรตมู่หนิว ‘…’
ผู้พิทักษ์โลก ‘คุณพระ สัตว์เลี้ยงของเขาน่ากลัวถึงขั้นนี้เชียวเหรอ!’
เทียนหลิงหลิง ‘น่าแปลกตรงไหน ระดับพลังยุทธ์ของนักพรตจอมปลอมก็บรรลุระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายแล้วเหมือนกัน’
ผู้รู้แจ้งหลิวหลี ‘ฉันจำได้ว่าสองปีก่อนเขาเพิ่งกายแห่งมรรคขั้นเก้าไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ถึงระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายแล้วเหรอ’
เทียนหลิงหลิง ‘ทำไมไม่พูดว่าเมื่อสามปีก่อนเขาเป็นกายแห่งมรรคขั้นศูนย์ล่ะ’
ผู้รู้แจ้งหลิวหลี ‘…’
เซียนหญิงเมิ่งอิน ‘…’
จินอวี้จื่อ ‘…’
เทพพยากรณ์ผู้แม่นยำ ‘…’
เซียนหญิงจิ้งซิน ‘ฉันขออยู่เงียบๆ หน่อย’
เซียนหญิงหยวนจื่อต้าน ‘ฉันบำเพ็ญเซียนปลอมหรือเปล่า ไม่ใช่อันเดียวกันสินะ อึดอัดใจจังเลย!’
นักพรตงูสีชาด ‘ฉันนี่มันปลาเค็มจริงๆ’
…
ในกลุ่มตกอยู่ในบรรยากาศเคลือบแคลงใจอย่างน่าประหลาด
“ฮ่าๆ ๆ…” เวลานี้บนท้องนภา เถียนหลิงหลิงกำลังจ้องมือถือหัวเราะจนตัวโยน สบายใจเฉิบ ซ้ำยังตบตูดต้าไป๋ด้วย
“ไยสาวน้อยแดนมนุษย์ลามกกว่าข้าเสียอีก โฮ่ง!” ต้าไป๋ท้วงเสียงดัง
มุมปากอันหลินกระตุกยิกๆ เขาไม่รู้ว่าให้หญิงสาวข้างหลังขี่ต้าไป๋เป็นตัวเลือกที่ถูกหรือไม่
“นักพรตจอมปลอม ในกลุ่มสะเทือนใจเพราะคนวิปริตอย่างนายอีกแล้ว”
“ให้ตายสิ! เธอสร้างศัตรูให้ฉันอีกแล้วเหรอ!”
“เรียกว่าสร้างศัตรูได้ยังไง นี่เป็นการเสริมสร้างกระแสกระตือรือร้นในการบำเพ็ญเซียนต่างหาก เป็นเรื่องดีที่สร้างในวันนี้มีประโยชน์ตราบนานเท่านาน!”
“งั้นเหรอ แล้วเมื่อกี้ใครที่หมดอาลัยตายอยาก เกือบจะร้องไห้ตอนที่ได้ยินว่าฉันบรรลุระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายแล้ว”
“…”
“ที่แท้สาวน้อยคนนี้ไม่ได้ลามกอย่างเดียว แต่ยังใจดำอีกด้วย” ต้าไป๋พูดจี้ใจดำ
จากนั้นตูดของมันก็ถูกลูบอีกครั้ง
อันหลินเปิดมือถือแล้วกดโทรหาใครบางคน
เสียงที่คุ้นเคยแว่วมาจากปลายสายของมือถือ เสียงนั่นตื่นเต้นจนสั่นเครือ
“ฮัลโหล หลินจื่อ ลูกเองเหรอ ลูกกลับมาแล้วเหรอ”
อันหลินขำเบาๆ ในใจก็ตื้นตันมากเช่นกันเมื่อได้ยินเสียงนี้ “พ่อ ผมเอง ผมกลับมาแล้ว ช่วงนี้สุขภาพเป็นยังไงบ้าง”
“สบายดี ช่วงนี้แข็งแรงเชียวละ พอเริ่มบำเพ็ญเซียน ร่างกายก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เลย!”
“งั้นก็ดีแล้ว ยังใช้วีแชทอยู่ไหม ส่งพิกัดของพ่อมาให้ผมหน่อย ผมจะส่งความอบอุ่นไปให้!”
“ฮ่าๆ ๆ หลินจื่อใจดีจัง พ่อเอาแต่บำเพ็ญเซียน ไม่ค่อยได้ใช้วีแชท ไม่รู้ว่าลูกออนไลน์แล้ว พ่อจะวางสายแล้วส่งพิกัดให้ลูกทันทีเลย”
อันหมิงชวนรีบร้อนวางสาย จากนั้นพิกัดของเขาก็ปรากฏบนหน้าต่างสนทนา
ดูออกว่าเขาอยากเจอลูกชายของตัวเองมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่เร็วปานนี้
อันหลินมองพิกัดด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มบางๆ ในใจก็รู้สึกอบอุ่นมากเหมือนกัน
โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินเสียงที่มีกำลังวังชาในสายของพ่อ หัวใจที่ห่วงพะวงของเขาสงบลงแล้ว
“ตอนนี้ลุงอันเป็นดาวรุ่งของหน่วยบำเพ็ญเซียนของประเทศเชียวนะ บำเพ็ญเพียรแค่สองปี ระดับพลุงยุทธ์ก็บรรลุถึงกายแห่งมรรคขั้นห้าแล้ว ความเร็วทำลายสถิติที่เร็วที่สุดของหน่วยไปแล้ว” เถียนหลิงหลิงพูดกับอันหลินอย่างอิจฉา
“แน่นอนสิ ก็ไม่ดูหน่อยว่าลูกชายเขาเป็นใคร ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ต่อให้กลับหัวก็ตั้งได้!” อันหลินพูดอย่างกระหยิ่มใจ
เถียนหลิงหลิงกลอกตา “ทำไมนายหน้าด้านขนาดนี้นะ ชมแค่ประโยคเดียวก็ลอยขึ้นฟ้าแล้ว ชมพ่อนายนายก็จะลอยด้วยเหรอ”
“หนังหน้าของพี่อันไม่มีสิ่งใดทำลายได้ จุดนี้ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง! โฮ่ง!” ต้าไป๋พูดอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย
อันหลินไม่สน ‘คำชม’ ของหมายักษ์กับโลลิน้อย ฮัมเพลงเบาๆ โดยไม่สนใจใคร
สาเหตุที่อันหมิงชวนบำเพ็ญเพียรได้รวดเร็วเช่นนี้ นอกจากได้แรงสนับสนุนจากต้นทุนบำเพ็ญเพียรมากมายก่ายกองแล้ว คุณสมบัติของตัวเองก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เลื่อนถึงกายแห่งมรรคขั้นห้าภายในสองปี จะเห็นได้ว่าคุณสมบัติในการบำเพ็ญเพียรของเขาก็ถือว่าใช้ได้
เขาเป่ยอู้ในเมืองหลวง ที่นี่มีหมอกขาวโพลนปกคลุมตลอดทั้งปี มีบริเวณหนึ่งมีตาข่ายเหล็กกั้นไว้ ห้ามไม่ให้คนนอกเข้า
ค่ายกลมโหฬารตัดขาดภายในจากโลกภายนอก มีคุณสมบัติพรางตาและคุ้มกัน
ต่อให้เครื่องบินแล่นผ่านเวหา สิ่งที่มองเห็นก็มีเพียงภูเขาเขียวและธารน้ำเท่านั้น
บนยอดเขาเป่ยอู้ในยามนี้ อันหมิงชวนกำลังทอดมองฟากฟ้า รอคอยการมาเยือนของใครบางคน
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดนักพรตสีเรียบคนหนึ่งเดินมาแล้วหัวเราะร่า “หนิงชวน เมื่อกี้ได้ข่าวว่า ลูกชายที่รักของนายจะมางั้นเหรอ”
เมื่ออันหมิงชวนเห็นผู้มาเยือนก็โค้งคำนับอย่างอ่อนน้อมทันที “อาจารย์ หลินจื่อบอกว่าเขาถึงมณฑลจี้แล้ว”
ชายวัยกลางคนคนนี้เป็นอาจารย์ที่สอนอันหมิงชวนบำเพ็ญเซียน มีชื่อว่าชุยเจ๋อ เป็นอาจารย์ที่มีระดับพลังยุทธ์สูงที่สุดในหน่วยบำเพ็ญเซียนของประเทศ มีพลังยุทธ์ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลาย
ความสามารถระดับชุยเจ๋อ ต่อให้อยู่ในหน่วยรบพิเศษที่เต็มไปด้วยบุคคลมากฝีมือ ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือขั้นสูงแล้ว
ต่อให้จะมีสถานะแบบนี้ ชุยเจ๋อกลับไม่มีมาดกับอันหมิงชวน แต่ถ่ายทอดวิชาทั้งหมดของตนให้เขาด้วยความเต็มใจ ประการหนึ่งเป็นเพราะอันหมิงชวนเป็นต้นกล้าบำเพ็ญเซียนที่หาตัวจับยาก อีกประการเพราะอันหมิงชวนมีลูกชายที่ดีคนหนึ่ง
ใช่แล้ว คนอื่นอาจไม่รู้ว่าอันหลินเก่งกาจขนาดไหน แต่เขาเป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยบำเพ็ญเซียนของประเทศ จึงรู้ดีว่าอันหลินน่ากลัวแค่ไหน มันเป็นความน่ากลัวที่เหนือคำบรรยาย
การบำเพ็ญเซียนให้ความสำคัญกับโอกาสและพรหมลิขิต ชุยเจ๋อคิดว่าอันหมิงชวนนี่แหละเป็นพรหมลิขิตของตน
“ฮ่าๆ…ลูกชายสุดที่รักของนายมาแล้ว”
ชุยเจ๋อหรี่ตามองฟากฟ้า คลื่นพลังมหาศาลที่แผ่มาจากตรงนั้น ทำให้เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย
เขาเปิดค่ายกลพิทักษ์ขุนเขา ต้อนรับอาคันตุกะ
จากนั้นเขาก็เห็นสองคนที่ขี่สุนัขสีขาวตัวเขื่องมายังยอดเขาเป่ยอู้
หนังตาชุยเจ๋อกระตุก ในใจเหมือนคลื่นโหมกระหน่ำซัดสาด
แค่พลังยุทธ์ของสัตว์เลี้ยงตัวนั้นก็สูสีกับเขาแล้ว
ไม่คิดเลยว่าระยะเวลาสั้นๆ แค่สองปี อันหลินจะเติบโตถึงขั้นนี้แล้ว น่าสะพรึงจริงๆ…
“พ่อ!”
อันหลินกระโดดลงจากต้าไป๋แล้วกระโดดกอดอันหมิงชวน
“ฮ่าๆ ๆ เจ้าเด็กนี่ดูสดใสแข็งแรงดีนะ!” อันหมิงชวนตบหลังอันหลินปุๆ อย่างยิ้มแย้ม
“มันแหงอยู่แล้ว ตอนนี้ผมสุดยอดเชียวละ!” อันหลินกระหยิ่มยิ้มย่อง
เขาเห็นผมหงอกของพ่อกลับกลายเป็นสีดำ รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าลดลงไปบ้างแล้ว ในใจก็อดดีใจไม่ได้
“สวัสดีค่ะคุณลุง!” เถียนหลิงหลิงกระโดดลงจากต้าไป๋ ทักทายด้วยท่าทีที่น่ารัก
“โอ้ หลิงหลิงก็มาด้วยเหรอ” อันหมิงชวนทักทายด้วยนัยน์ตาที่เป็นประกาย
เพราะสนิทกับอันหลิน เถียนหลิงหลิงจึงมาเยี่ยมอันหมิงชวนที่เขาเป่ยอู้หลายครั้งแล้ว จึงสนิทกันไปโดยปริยาย
“จริงสิ ขอแนะนำให้ลูกรู้จักหน่อย ท่านนี้คือชุยเจ๋อ อาจารย์ของพ่อ” อันหมิงชวนพูดอย่างจริงจัง
เมื่อรู้ว่าชายวัยกลางคนข้างๆ พ่อเป็นคนที่คอยสอนพ่อมาตลอด อันหลินก็อ่อนน้อมถ่อมตนขึ้นมาทันที
เขาโพล่งขึ้นมาว่า “คุณลุงชุย ที่แท้คุณลุงก็เป็นอาจารย์ของพ่อผมนี่เอง มาส่งมอบความอบอุ่นครั้งนี้ก็มีของขวัญของคุณลุงด้วยนะครับ”
ชุยเจ๋อตกใจเมื่อได้ฟัง จึงปฏิเสธไปว่า “จะกล้ารับได้ยังไง สอนพ่อนายเป็นงานของฉันอยู่แล้ว รับไว้ไม่ได้หรอก!”
“โธ่ อย่าพูดเลย คนละเรื่องกัน พ่อผมกลายเป็นคนที่ทะลวงขั้นได้ไวที่สุดในหน่วยได้ คุณลุงมีความดีความชอบมากที่สุด นี่เป็นน้ำใจของผม คุณลุงอย่าปฏิเสธเลย” อันหลินโบกมือ ท่าทีหนักแน่นมาก
ชุยเจ๋อเถียงอันหลินไม่ได้ จำต้องพยักหน้า ขณะเดียวกันก็รู้สึกปลื้มใจ
ดูสิ อันหมิงชวนเป็นความโชคดีของเขาจริงๆ ด้วย มีคนส่งมอบความอบอุ่นมาให้แล้วนี่ไงเล่า!