จักรพรรดิสงครามประกาศเชื้อเชิญทั้งคู่มาร่วมถกประเด็นกันที่เมืองซินจิ้ง เป็นเหมือนผิวทะเลสาบที่ปะทุโดยพลันหลังปาระเบิดลงไป จักรพรรดิสงครามแสดงท่าทีเป็นครั้งแรก และได้ยืนยันแล้วว่าจักรพรรดิสงครามจะแก้ไขปัญหาด้วยกำลัง
จากนั้นไม่นาน เซียนกระบี่อันหลินก็ไหว้วานให้คนนำคำไปบอกว่า อีกสิบวันข้างหน้าจะไปตามนัดหมาย
ข่าวแพร่กระฉ่อนในชั่วพริบตา ผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวรรดิอ้าวซินลามไปถึงแผ่นดินปราณสงคราม พวกเขาต่างก็จับตามองเขาซินจิ้งแห่งจักรวรรดิอ้าวซิน ผู้คนพากันตื่นตัว สงครามใหญ่สะเทือนปฐพีใกล้เข้ามาแล้ว มันเป็นการต่อสู้ที่ควรค่าให้รอคอยที่สุดในรอบหลายร้อยปี
แผ่นดินแห่งนี้สุขสงบมาหลายร้อยปี ในที่สุดก็ได้ต้อนรับเรื่องใหญ่ชวนระทึกใจอีกครา มันเป็นศึกระหว่างสุดยอดผู้แข็งแกร่งเชียวนะ ผลการรบของพวกเขาจะมีอิทธิพลต่อทิศทางของทั้งผืนแผ่นดิน
บัดนี้มีคนที่อยากรู้อยากเห็นมากมายเริ่มรวมตัวกันที่เขาซินจิ้งแล้ว หมายจะเห็นศึกที่เลอค่าหายากคราวนี้ให้ประจักษ์แก่ตา
เกาะทะเลสาบกระเรียนขาว จักรวรรดิรุ้งอุดร
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีม่วงเอนตัวนั่งอยู่บนบัลลังก์ ยามกะพริบตาประหนึ่งมีดวงตะวันเกิดและดับ น่าพรั่นพรึงใจ
“จื่อหยาง เจ้าไม่ไปเขาซินจิ้งหรือ” ราชครูลู่เจ๋ออวี่ยืนอยู่ข้างบัลลังก์เอ่ยถามด้วยความสนเท่ห์
“มีอะไรน่าดู สงครามของสิ่งมีชีวิตต่างระดับ ไม่ว่าพลังยุทธ์จะใกล้เคียงกันอย่างไร หากข้ามด่านนั้นไปไม่ได้ ผลลัพธ์ก็มีเพียงหนึ่งเดียว” จักรพรรดิจื่อหยางยิ้มบางๆ ใบหน้ากลับฉายความมั่นใจอันไร้พ่ายในฐานะที่เป็นจักรพรรดิสงครามเหมือนกัน
ราชครูลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าตรวจสอบข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับเซียนกระบี่อันหลินและนักบุญหญิงแสงจันทร์เป็นพิเศษ พบว่ามีสิ่งที่ยังไม่ได้รับการยืนยันก็คือ พลังงานที่พวกเขาใช้ ไม่ใช่ปราณสงคราม…”
จักรพรรดิจื่อหยางเบิกตากว้างทันที
ครืน
พระอาทิตย์ปรากฏกลางนภา
คลื่นร้อนระอุแผ่ซ่าน อุณหภูมิที่น่ากลัวทำให้มิติทั่วบริเวณบิดเบี้ยว ทะเลสาบกระเรียนขาวเหือดแห้ง
“จิ๊ๆ ๆ ทะเลสาบสวยงามต้องมาพินาศไปเช่นนี้…จะว่าไปหากเจ้าฉุนเฉียวครั้งหน้า ช่วยระงับอารมณ์หน่อยได้ไหม” ลู่เจ๋ออวี่หยิบหยกน้ำแข็งขึ้นมาดับร้อน และพูดพลางเช็ดเหงื่อไปด้วย
จักรพรรดิจื่อหยางไม่สนใจคำตำหนิของราชครู กลับลุกขึ้นยืน นัยน์ตาวาวโรจน์ “ไป ไปเขาซินจิ้งกัน!”
ณ จักรวรรดิทีฆชาติ ในดินแดนที่กว้างขวางผืนนี้กลับเงียบสงัดอย่างชอบกล นอกจากเผ่าพันธุ์งูระดับล่างที่โกลาหลและวิจารณ์กันเซ็งแซ่แล้ว เหล่าผู้แข็งแกร่งระดับสูงต่างก็เงียบกริบ เบื้องหลังของความสงบนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ยามบ่ายที่แสงแดดเจิดจ้า
ห้าวันที่อันหลินกับซูเฉี่ยนอวิ๋นเดินเตร่ในเมืองซินจิ้ง ได้พบเจอเซวียนหยวนเฉิงที่สวมชุดขาวพลิ้วไหว
“พี่เฉิง! ฮ่าๆ ได้ที่สุดก็ได้เจอเจ้าสักที!”
อันหลินสาวเท้าเข้าไปด้วยความดีใจแล้วกระโดดกอดทันที
“ฮ่าๆ สงครามสะท้านฟ้าของสหายอันหลินกับจักรพรรดิสงคราม ข้าจะไม่มาให้กำลังใจเจ้าได้อย่างไร” เซวียนหยวนเฉิงเอ่ยเสียงอ่อนโยน ใบหน้าก็เปื้อนรอยยิ้มผ่อนคลายเช่นกัน
“โธ่ เจ้าเลิกพูดเรื่องนี้เถอะ เพื่อเรียกสมาชิกมารวมตัว กัปตันอย่างข้าเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ถึงขั้นเป็นศัตรูกับทั้งแผ่นดินอย่างไม่กลัวเกรง…” อันหลินรำพันด้วยสีหน้าที่ขึงขัง
ปากของเซวียนหยวนเฉิงกระตุกยิกๆ ไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอย่างไรดี
กลับเป็นแม่นางซูเฉี่ยนอวิ๋นที่ต่อบทสนทนาอย่างยิ้มแย้มว่า “คุณธรรมสูงและความยิ่งใหญ่แลกมาด้วยความรับผิดชอบ!”
“พูดได้ดี!” อันหลินมองหญิงสาวข้างกายด้วยความชื่นชม
ซูเฉี่ยนอวิ๋นได้ยินก็ยิ้มกริ่ม ทำท่าไม่ยี่หระ
เซวียนหยวนเฉิงรู้สึกแน่นหน้าอกทันทีที่เห็น เมื่อก่อนภาพลักษณ์ของซูเฉี่ยนอวิ๋นเป็นแบบนี้หรือ
…
“โรงเตี๊ยมถงฝูเป็นจุดรวมพลของเรา แยกย้ายกันไปตามหาพรรคพวก คืนนี้มาเจอกันที่นี่ดีไหม” ภายในเหลาสุรา เซวียนหยวนเฉิงจิบน้ำเมา พูดพลางชี้โรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้ามไปด้วย
อันหลินพยักหน้า จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “พี่เฉิง เจ้าวางค่ายกลได้ไม่ใช่หรือ วางค่ายกลที่แผ่คลื่นพลังปราณโดยเฉพาะในโรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ครอบคลุมบริเวณหนึ่ง ขอแค่พวกเขาเหยียบย่างเข้าสู่บริเวณนั้น ก็ตามหาต้นตอจนมาเจอโรงเตี๊ยม”
ดวงตาของเซวียนหยวนเฉิงเป็นประกาย “วิธีนี้ยอดไปเลย! ชาวแผ่นดินปราณสงครามไม่ได้ฝึกปราณ จะสัมผัสคลื่นพลังปราณไม่ได้ ใช้ค่ายกลนี้ระดมพลอำพรางได้ดียิ่งนัก!”
พูดปุ๊บทำปั๊บ อันหลินปรี่ไปเปิดห้องที่โรงเตี้ยมถงฝูทันที จากนั้นก็คอยมองเซวียนหยวนเฉิงวางค่ายกล
ฝีมือการวางค่ายกลของอันหลินกับซูเฉี่ยนอวิ๋นต่ำ ทำได้แค่ยืนแทะเมล็ดทานตะวัน
วางค่ายกลเสร็จสิ้น พลังปราณซัดสาดสิบลี้
แน่นอนว่าเมืองซินจิ้งใหญ่มาก พื้นที่ที่มีรัศมีสิบลี้ไม่มีทางครอบคลุมทั้งเมืองได้
อันหลิน ซูเฉี่ยนอวิ๋น และเซวียนหยวนเฉิงเริ่มแยกย้ายกันไปคนละทิศทางเพื่อค้นหาร่องรอยของสมาชิกคนอื่น
จนกระทั่งสองวันก่อนเปิดศึก พวกเขาก็เจอหูก้วนกับเหยาหมิงซี ส่วนสวีเสี่ยวหลานเป็นฝ่ายตามคลื่นพลังปราณมาจนเจอโรงเตี๊ยมถงฝู
สรุปแล้ว กลุ่มสิบคนระดมพลได้หกคน ยังมีอีกสี่คนที่ไร้วี่แวว
อันหลินไม่ห่วงหลิงเชียนฮ่วนกับถังซีเหมิน ขอแค่ไม่ขาดสติไปรบกับจักรพรรดิสงคราม ไม่มีใครต่อกรกับพวกเขาได้ แต่เถียนหลิงหลิงกับพญางูขาวไม่มีข่าวคราว กลับทำให้อันหลินเป็นห่วงไม่น้อยเลย
ตามหลักแล้ว เขาสร้างเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ขอแค่สี่คนนั้นอยู่บนโลกใบเดียวกันกับเขา ต้องรู้เป็นแน่ว่าเขาอยู่เมืองซินจิ้ง แต่ตอนนี้พวกเขาหาทั่วเมืองซินจิ้งแล้วก็ยังไม่พบ มันน่าแปลกเหลือเกิน
อันหลินระงับความสนเท่ห์ในใจ พวกเขารวมตัวกันที่โรงเตี๊ยม หารือเรื่องรบกับจักรพรรดิสงคราม
นัยน์ตาของเหยาหมิงซีวาวโรจน์ โพล่งขึ้นก่อนใครว่า “พี่อัน ข้าว่านะ สงครามในอีกสองวันข้างหน้า ท่านสู้กับจักรพรรดิซวีหมิงอย่างองอาจผ่าเผย เหยียบย่ำจักรพรรดิสงครามด้วยฝ่าเท้าไปเลย จากนั้นชื่อก้องปฐพี สะเทือนชาวโลก ลือเลื่องตราบนิรันดร์ ไม่ดีหรือ”
หูก้วนก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย “อืม หลังจากนั้นก็ปราบจักรพรรดิจื่อหยางกับจักรพรรดินีปี้ฉง เป็นใหญ่ในหล้า อำนาจล้นแผ่นดิน!”
อันหลิน “…”
ในใจของแฟนคลับตัวยงทั้งสองคน เขานั้นไร้พ่าย ควรจะพิชิตแผ่นดิน
สวีเสี่ยวหลานกลับมีสติ “พลังต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามไม่รู้แน่ชัด หากเป็นระดับแปลงจิตขั้นปลาย เจ้ากับซูเฉี่ยนอวิ๋นยังมีโอกาสชนะ แต่หากความสามารถของเขาสูงกว่านั้น เช่นสามารถใช้พลังมิติได้อย่างคล่องแคล่ว มันจะอันตรายเกินไป ใช่ว่าพวกเจ้าต้องรบกับจักรพรรดิสงครามให้ได้เสียหน่อย มันไม่มีความหมาย…”
ความหมายของสวีเสี่ยวหลานชัดเจนมาก เป้าหมายของพวกเขาคือสุสานโสว่หยาง ไม่ใช่การเป็นใหญ่ในแผ่นดินผืนนี้ การเชื้อเชิญของจักรพรรดิสงครามสามารถเบี้ยวได้ ยามหักได้ก็หัก ตั้งใจค้นหาลูกทีม หาสมบัติดีกว่า
เซวียนหยวนเฉิงทำหน้าครุ่นคิด “จักรวรรดิอ้าวซินน่าจะมีแหล่งข่าวอยู่มากโข ยึดครองอำนาจอันยิ่งใหญ่ ก็มีประโยชน์ต่อการรวบรวมเบาะแสสุสานโสว่หยางของเราเช่นกัน หรือคืนนี้เราชิงลงมือก่อนดี รุมสกรัมย่อมดีกว่าสู้กันตัวต่อตัวอยู่แล้ว”
เจตนาของหัวหน้าห้องชัดเจนอย่างยิ่ง นั่นก็คือไม่สนว่าท้ารบหรือไม่ ทุกคนบุกพร้อมกัน ล้มจักรพรรดิสงครามก่อนค่อยว่ากัน
อันหลินลูบคาง คิดใคร่ครวญในใจ
จักรพรรดิสงครามอยากอาศัยการถกประเด็นสังหารตนชัดๆ ภัยแอบแฝงที่เอาแต่กระโดดโลดเต้นและเลี้ยงไม่เชื่องในอาณาเขตของตัวเอง ความคิดแรกของผู้ปกครองย่อมชิงจัดการก่อนเป็นแน่ นี่เป็นวิธีการสำแดงเดชอย่างหนึ่งเหมือนกัน
เขาก็เคยสืบดูข้อมูลที่เกี่ยวข้องเช่นกัน บันทึกที่บอกเล่าวีรกรรมของเขา สามารถรู้ได้เลยว่าหากไม่อ่อนข้อสามารถสังหารอริยะสงครามได้ในเสี้ยววินาที สุดยอดอริยะสงครามเองก็ฝืนได้แค่ไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น แต่หากจักรพรรดิปล่อยท่าไม้ตาย จุดจบก็คือถูกปลิดชีพทันที แต่ทว่าในบันทึกสงคราม ไม่ได้กล่าวถึงการสงครามที่เกี่ยวข้องกับมิติ นี่เป็นเรื่องโชคดีเพียงหนึ่งเดียว
“หากเอาชนะจักรพรรดิสงครามได้ จะดีต่อการดำเนินกิจกรรมของเราหลังจากนี้เป็นอย่างมาก”
“แม้ตอนนี้จักรพรรดิซวีหมิงจะอยู่บนเขาซินจิ้งเพียงลำพัง แต่ภายในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้พลังต่อสู้แน่ชัด ต่อให้สู้เป็นหมู่ก็ยังไม่แน่นอนอยู่ดี” อันหลินดูลังเลอย่างเห็นได้ชัด
เซวียนหยวนเฉิงได้ฟังกลับหัวเราะหึๆ “ระเบิดไฮโดรเจนสิบล้านตันแน่นอนหรือไม่”
อันหลิน สวีเสี่ยวหลานกับซูเฉี่ยนอวิ๋นสะดุ้งโหยง
พวกเขาเคยเห็นอานุภาพของระเบิดไฮโดรเจนสิบล้านตันแล้ว เรียกได้ว่าทำลายล้าง ทำลายรังของเผ่าพันธุ์มดภายในไม่กี่วินาที
คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เซวียนหยวนเฉิงจะใช้ระเบิดไฮโดรเจนสิบล้านตันอีกแล้ว นี่มันอาวุธวันสิ้นโลกชัดๆ!
“นี่เป็นของดีที่ข้าแลกมาด้วยหินวิญญาณจำนวนมหาศาลเชียวนะ เป็นไพ่ตายของข้า จะลองสักตั้งไหม” เซวียนหยวนเฉิงพูดด้วยความตื่นเต้น
อันหลินเบ้หน้า ไพ่ตายของพี่เฉิงกลายเป็นระเบิดไฮโดรเจนไปตั้งแต่เมื่อไร…
เขาขบคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า
“ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้แผ่นดินต่างดาว ให้จักรพรรดิซวีหมิงได้ลิ้มลองเทคโนโลยีดำของโลกเราสักหน่อย!”