อันหลินมองวัตถุชิ้นนั้นบนม่านแสง ในใจตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่ได้
ดวงใจแห่งเทพสวรรค์กับวารินแห่งเทพสวรรค์…
ที่เขาตัดสินใจมาสุสานโส่วหยางแต่แรก ก็เพื่อของสองสิ่งนี้ ไม่คิดเลยว่าจะมีจริงเสียด้วย!
หากรวบรวมพวกมันได้ เขาจะเลื่อนระดับสู่แปลงจิตได้!
“โอ้โฮ ดวงใจแห่งเทพสวรรค์หรือนี่!”
สวีเสี่ยวหลานก็เห็นของสิ่งนั้นบนม่านแสงแล้วเช่นกัน จึงเผลออุทานขึ้นมา
อันหลินได้ฟังก็ร้อนรนในใจ “เสี่ยวหลาน เจ้าก็อยากได้ดวงใจแห่งเทพสวรรค์เหมือนกันหรือ”
สวีเสี่ยวหลานป้องปากขำเล็กน้อย “นั่นมันดวงใจแห่งเทพสวรรค์ดวงจิตขั้นเทวะรูปแบบสืบทอดเชียวนะ มันไม่ได้มีประโยชน์ต่อวรยุทธ์ พลังยุทธ์และจิตอย่างใหญ่หลวงเพียงอย่างเดียว แต่ยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพลังจิตได้อีกด้วย ของดีแบบนี้ใครไม่อยากได้บ้าง”
“นี่มัน…” เมื่ออันหลินได้ยินคำพูดนี้ กำลังคิดว่าจะบอกสวีเสี่ยวหลานอย่างไรอยู่นั้น
ไม่คิดว่าสวีเสี่ยวหลานจะเปลี่ยนประเด็นว่า “แต่ว่า…ได้ยินว่าจะทำให้ดวงใจแห่งเทพสวรรค์ยอมรับเป็นเรื่องที่ยากเย็นมาก ขึ้นอยู่กับวาสนาด้วย…คะแนนตั้งแปดพันแต้ม เกิดคว้าน้ำเหลวขึ้นมาข้าปวดใจแน่ ข้าไม่อยากเสี่ยงหรอก”
อันหลินอ้าปากค้าง เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของสวีเสี่ยวหลาน ใจที่ร้อนรนก็คลี่คลาย
สวีเสี่ยวหลานก็สังเกตเห็นอากัปกิริยาของอันหลิน จึงพูดยิ้มๆ ว่า “ทำไม เจ้าก็สนใจดวงใจแห่งเทพสวรรค์เหมือนกันหรือ”
อันหลินพยักหน้า “อืม ข้ากะว่าจะลองดูน่ะ”
“เฮ้อ เงินเยอะก็ดีแบบนี้แหละ สามารถผลาญได้ตามใจชอบ ไหนเลยจะเหมือนข้า ตอนนี้ยังลังเลอยู่เลยว่าจะแลกอะไร” สวีเสี่ยวหลานโบกมือปัดๆ แล้วเลือกของที่นางชอบต่อ
อันหลินมาที่นี่ก็เพื่อดวงใจแห่งเทพสวรรค์ ตอนนี้ย่อมต้องให้ความสำคัญกับมันเป็นหลัก จึงใช้คะแนน 8000 แต้มของตนแลกกับโอกาสได้สัมผัสดวงใจแห่งเทพสวรรค์
หลังแลกแล้วก็มีป้ายหยกชิ้นหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า ลอยมาอยู่บนมืออันหลิน
ขณะเดียวกัน ผิวดินก็สั่นสะเทือนทันใด จากนั้นมีทางเข้าสู่ใต้พิภพปรากฏด้านข้างรูปสลักของเซียนสวรรค์โส่วหยาง และมีม่านแสงต้องห้ามชั้นหนึ่งฉาบทับทางเข้า
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ทุกคนตื่นตะลึง
“สหายอันหลิน เจ้าจะไปลองสัมผัสดวงใจแห่งเทพสวรรค์หรือ!” เซวียนหยวนเฉิงทำหน้าตกใจ
“สมกับเป็นพี่อัน มีเสน่ห์!” เหยาหมิงซีมองอันหลินอย่างคลั่งไคล้พร้อมกับอุทานขึ้นมา
“ดวงใจแห่งเทพสวรรค์อยู่ในอุโมงค์หรือ ม่านต้องห้ามตัดขาดจากภายนอก เจ้าจะไม่เป็นอันตรายใช่ไหม” สวีเสี่ยวหลานมองเขตต้องห้ามตรงทางเข้าอุโมงค์ คิ้วขมวดเล็กน้อย พูดด้วยความกังวล
อันหลินก็สังเกตเห็นเช่นกัน และมีเหตุผลที่จริงจังยิ่งกว่านั่นคือ ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพใกล้เคียงกับอัมพาต ขยับเขยื้อนไม่ได้ ใครจะช่วยยกเขาเข้าไปล่ะ
เขามองเซวียนหยวนเฉิง “คือว่าพี่เฉิง…”
อันหลินยังพูดไม่ทันจบ เซวียนหยวนเฉิงก็พยักหน้า “ข้ารู้!”
จากนั้นอันหลินก็เห็นพรมเหาะเหินข้างล่างแยกออกมาหนึ่งส่วน พาอันหลินลอยไปยังทางเข้า
พลั่ก
พรมพุ่งชนม่านต้องห้ามจนบี้แบน
ส่วนอันหลินก็ลอดผ่านแผ่นต้องห้ามไปด้วยความเฉื่อย เมื่อเข้ามาในอุโมงค์แล้วก็ตกลงพื้น
“โอ๊ย! เจ็บชะมัดเลย!” ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่อ่อนแรงทั้งตัว กล้ามเนื้อกระดูกและเส้นเลือดต่างก็ได้รับผลกระทบอย่างสาหัส ตอนนี้เมื่อตกลงพื้น มันเจ็บปวดรวดร้าวไปถึงใจ!
“สหายอันหลิน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม จิตของข้าควบคุมพรมให้เข้าไปในเขตต้องห้ามไม่ได้!”
เสียงร้อนใจของเซวียนหยวนเฉิงดังลอดเข้ามา
“ข้าไม่เป็นไร ต่อไปพึ่งพาตัวข้าเองก็พอแล้ว ไม่ต้องห่วง!” อันหลินตอบเสียงดัง
แม้จะพูดแบบนี้ แต่เขาก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อมองบันไดที่ทอดลดเลี้ยวลงไป รวมถึงเปลวไฟที่กะพริบภายในอุโมงค์ อันหลินก็รู้สึกอึดอัดใจและสิ้นหวัง
พับผ่าสิ วิธีปล่อยดวงใจแห่งเทพสวรรค์ง่ายกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง!
ตอนนี้ปัญหามาแล้ว เขาจะลงไปอย่างไร
ตอนนี้เขาใช้เวทมนตร์คาถาไม่ได้ แม้แต่ลุกขึ้นยืนยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ อาศัยกำลังของตัวเองนั้นเป็นไปไม่ได้ จำต้องอาศัยกำลังภายนอก
เขาจ้องมองบันไดที่ทอดยาวลงไป จู่ๆ เขาก็นึกถึงแรงโน้มถ่วง!
หรือจะต้อง…กลิ้งลงไป
มุมปากของอันหลินกระตุกยิกๆ หากอาศัยแรงโน้มถ่วงกลิ้งไปจริง กว่าจะถึงข้างล่าง เกรงว่าตัวเองคงตายเสียก่อน
อืม ไม่สิ กำลังภายนอก...
คุณพระ! เรามีต๋าอีกับต๋าเอ้อร์นี่นา!
อันหลินเพิ่งฉุกคิดได้
ควบคุมต๋าอีกับต๋าเอ้อร์ใช้จิตบังคับสั่งการก็เพียงพอแล้ว มันไม่มีอะไรกดดันสำหรับเขาเลยนี่นา!
ต๋าอีกับต๋าเอ้อร์จึงถูกเขาปล่อยออกจากแหวนมิติด้วยเหตุนี้ จากนั้นพวกมันก็ยกเจ้านายของตัวเองขึ้นอย่างอ่อนโยน เดินตรงดิ่งไปยังสุดทางเดินทีละก้าว
อันหลินถูกต๋าอีกับต๋าเอ้อร์ยกบั้นท้ายซ้ายขวา ประคองแผ่นหลังไว้ ทำให้เขาเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าประหนึ่งหัวหน้าใหญ่
ผ่านไปไม่นาน เขาก็มาถึงปลายทาง ตรงนั้นมีห้องหินกว้างใหญ่ กลางห้องหินมีโลงหยกตั้งอยู่ โดยรอยมีเสาหินสลักอักขระลึกลับหลายต้น
สิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นที่สุดคือ เหนือโลงศพขึ้นไปมีดวงแสงสีขาวลอยอยู่ รอบๆ โลงศพมีสายน้ำสีขาวหลั่งไหลไม่หยุด
ดวงใจแห่งเทพสวรรค์กับวารินแห่งเทพสวรรค์!
ลมหายใจของอันหลินเริ่มถี่กระชั้น ดวงตาเหม่อมองทัศนียภาพตรงหน้า
ในตอนนั้นเอง ดวงแสงสีขาวก็เป็นฝ่ายลอยมาหาอันหลิน จากนั้นส่องแสงก็เจิดจ้า!
อันหลินรับรู้ได้ว่าลำแสงสีขาวปกคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า ต่อมาดวงจิตก็เข้าสู่มิติที่แปลกหน้า
มันเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาล
ท้องฟ้าขมุกขมัว พสุธาสีนิล รวมถึงบรรยากาศที่เงียบสงัด
ที่นั่นไม่มีกลิ่นอายชีวิตเลยสักนิด ทอดสายตามองไปไม่มีอะไรเลยนอกจากผืนฟ้ากับผืนดิน
อันหลินเดินเหินบนดินแดนแห่งนี้ไม่หยุดหย่อน
เขาไม่รู้ว่าจะออกไปอย่างไร สิ่งเดียวที่ทำได้มีเพียงเดินไม่หยุด หมายจะได้พบเห็นสิ่งที่แตกต่าง
ไม่รู้เดินอยู่นานแค่ไหน
หนึ่งปี สองปี…หรือร้อยปี
เขารู้สึกโดดเดี่ยวมาก เมื่ออยู่ที่นี่ เขาคิดว่าจะอยู่หรือตายก็ไม่ต่างกันเลย
ขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นในสมองของเขา ‘เจ้าปรารถนาชีวิตหรือ เจ้าต้องการเพื่อนหรือ’
ชีวิต เพื่อนงั้นเหรอ
เขาตัดสินใจโดยที่ไม่ลังเลเลยสักนิด!
ด้วยเหตุนี้ ทารกชายที่งดงามก็ปรากฏตรงหน้าเขา พร้อมกับร้องไห้เสียงดัง…
อันหลินตะลึงงัน จากนั้นก็อุ้มทารกคนนั้นขึ้นด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา ไม่รู้ทำไม ในใจพลันรู้สึกมีที่พักพิงขึ้นมา
ทารกคนนี้ไม่ดื่มนม ใช้วิธีสังเคราะห์แสง
จากนั้นก็เป็นการอยู่คู่กันอย่างยาวนาน
ทารกชายคนนี้ค่อยๆ เติบโตขึ้น เรียนรู้การพูด หัดเขียน เรียนรู้เรื่องมากมายจากอันหลิน
“พี่อัน ท่านสุดยอดไปเลย เมื่อไรข้าถึงจะเก่งอย่างท่านบ้าง”
“เจ้าอยากเก่งเหมือนข้าหรือ หึๆ เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าเป็นที่หนึ่งในหล้า เจ้าเป็นได้แค่ที่สอง”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะข้าเป็นสร้างเจ้าขึ้นมา”
…
เวลาผ่านไปอีกเนิ่นนาน
เด็กชายค่อยๆ โตขึ้น แข็งแกร่งมากขึ้นทุกวัน
อันหลินกับเขาเยื้องย่างบนดินแดน หัวใจถูกคมกระบี่สีดำทะลวงโดยไม่ทันตั้งตัว สิ่งที่เข้าในคลองจักษุเป็นรอยยิ้มพิลึกและกระหยิ่มใจ
“หึๆ ๆ…พี่อัน ข้าคิดใคร่ครวญแล้วว่า เพียงแค่กลืนพลังของท่าน ช่วงชิงทุกอย่างของท่านไป ข้าก็จะเก่งกาจเหมือนท่านแล้ว”
“ไม่ ข้าอาจจะเก่งกว่าท่านด้วยซ้ำ…”
เด็กชายมองอันหลินอย่างตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่นระริก
จู่ๆ ในสมองของอันหลินก็มีตัวเลือกผุดขึ้นมา
ก. ฆ่าเขา!
ข. ให้อภัย