หลังจากที่ฉันกับฝ้ายคุยเปิดใจก็ผ่านมาได้ 3 วันแล้ว
เวลาผ่านไปไวยังกับโกหก
อาจเป็นเพราะไม่มีเรื่องอันตรายเกิดขึ้นแบบตอนเจสัน บอสที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือที่ไปเจอพวกพยัคฆ์ฟ้าก็ได้ก็เลยรู้สึกว่าผ่านไปเร็ว
ไม่สิ… จะบอกว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลยก็คงไม่ถูก
เพราะทุกครั้งที่ออกไปสำรวจมันก็ถือเป็นเรื่องอันตราย แต่มันอาจจะไม่อันตรายเท่ากับครั้งที่ยกตัวอย่างไปมากกว่าก็เลยไม่น่าจดจำ
เหมือนอย่างเช้าวันนี้…
ที่ฉัน พิม สินและคิวกำลังเผชิญหน้ามอนสเตอร์ที่มีตัวเป็นกิ้งก่ายืนสองขาเหมือนคนแต่ดันมีหัวเป็นปลาหมึก อยู่บนชั้นสามของตึกสำนักงานใหญ่ในเมือง แถมแต่ละตัวก็ยังมีอาวุธในมืออีก
นอกจากนี้ยังมีตั้งหกตัว และด้วยจำนวนขนาดนั้นในตึกสำนักงานหนึ่งชั้นที่เต็มไปด้วยโต๊ะทำงานก็ถือว่าคับแคบเอาเรื่อง
ถึงจะไม่ได้ลำบากก็เถอะ แต่มันก็ไม่สะดวกเอาเสียเลย
ทัตครุ่นคิดถึงสาเหตุที่พวกเขาต้องมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้จนเป็นกิจวัตร
ทั้งสี่คนกำลังปะทะกับมอนสเตอร์ที่มีชื่อว่า ‘ลิซาร์ดสควิด’ โดยมีลักษณะเป็นสัตว์เลื้อยคลานมีเกล็ดยืนด้วยขาสองข้างแต่กลับมีหนวดเป็นปลาหมึกยาวยั้วเยี้ยไว้ใจไม่ได้สมกับชื่อของมัน
ตอนนี้คนที่กำลังเป็นแนวหน้าคือสินที่ใช้ดาบไทยกับคิวที่ใช้หอก ส่วนทัตกับพิมกำลังระวังหลังให้ เพราะถึงอีกฝ่ายจะมีจำนวนมากกว่า แต่เลเวลเฉลี่ยนั้นอยู่ที่ 75 ความแข็งแกร่งจึงไม่ใช่ปัญหาเท่ากับความเสี่ยงจากการโดนลอบโจมตี
แต่ถึงแบบนั้น…
“เริ่มจะไม่ไหวแล้วโว้ย!” สินสบถโอดครวญหลังจากรับมือกับศัตรูสามตัวพร้อมกัน เช่นเดียวกับคิวที่ไม่มีแม้แต่เวลาจะพูดด้วยซ้ำ
ถึงดูจากภายนอกแล้วจะดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีปัญหาเพราะปัดป้องการโจมตีของศัตรูได้หมด แต่เห็นได้ชัดเลยว่าไม่สามารถปิดฉากได้ และนั่นคือจุดที่น่ากังวลเพราะพละกำลังจะถูกผลาญไปเรื่อย ๆ
ทัตจึงปิดประตูห้องสำนักงานลงก่อนไปช่วย อย่างน้อย ๆ ถ้ามีศัตรูลอบโจมตี พวกเขาก็ต้องเปิดประตูและนั่นจะทำให้ทัตสังเกตได้ง่ายขึ้น
“ไปกันเถอะพิม”
“อื้ม!”
พิมตอบกลับเสียงเรียบ ๆ ของทัตด้วยความตื่นเต้นเหมือนเคย ก่อนที่ทั้งสองคนจะถีบพื้นเข้าไปหาศัตรูตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดของตัวเอง
ทางทัตเผชิญหน้ากับตัวใช้หอก ส่วนพิมเผชิญหน้ากับตัวใช้ดาบ สถานการณ์ตอนนี้จึงถูกเปลี่ยนเป็นสินกับคิวรับมือคนละ 2 ตัว ส่วนทัตกับพิมรับหน้าที่จัดการสังหารพวกมันทีละตัว
นอกจากทักษะจู่โจมของคลาสตัวเองแล้วก็ไม่มีสกิลอื่น
ค่อยง่ายหน่อย
ถึงรู้แบบนั้นทัตก็ร่นระยะเข้าไปหาตัวใช้หอกโดยไม่ประมาท เขาปัดป้องคมหอกที่พุ่งเข้ามาออกไป แล้วอาศัยจังหวะนั้นอัดเข้าไปที่ท้องของมันหนึ่งหนจนมันถอยกรูดออกไป
ในขณะที่มันยังตั้งตัวไม่ได้ ทัตอาศัยจังหวะนั้นถีบพื้นร่นระยะเข้าหา แต่เจ้ากิ้งก่าหนวดปลาหมึกก็แทงหอกสวนเข้ามาทันที
หากทัตไม่ได้คาดเรื่องนั้นไว้ก่อนก็คงจะโดนเล่นงานไปแล้ว นอกจากไม่บาดเจ็บแล้วนี่จึงเป็นโอกาสให้ทัตที่หลบการโจมตีนั้นได้จับด้ามหอกของมันไว้แล้วดึงเข้าตัว ก่อนจะใช้ศอกขวาแทงเข้าไปที่หน้าของมันจนยุบเละแล้วจัดการพลิกตัวเตะมันกระเด็นไปกระแทกเข้ากับผนังใกล้ ๆ
เสร็จไปหนึ่ง
แม้ได้รับการยืนยันจากประกาศในหัวว่ามันตายแน่แล้ว ทัตก็ยังไม่วางการ์ดลงและหันไปดูทางพิมบ้าง
ดูเหมือนจะไม่มีปัญหา… หลังเห็นว่าพิมเองก็จัดการตัวที่กำลังรับผิดชอบอยู่ได้เหมือนกันทัตก็โล่งใจพอ เขาจึงหันไปสนใจหนึ่งในสองตัวที่กำลังรุมทึ้งสินอยู่แทน
“มาช่วยแล้ว” ทัตกระโดดเข้ามาแทรกตัวที่ใช้ดาบอีกครั้ง
“เออ ขอบใจ” สินทำเสียงเหมือนไม่พอใจแต่ที่จริงแล้วนี่เป็นบุคลิกของเขา ทัตเริ่มชินแล้วถึงไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดเหมือนกับก่อนหน้านี้
แล้วเริ่มให้ความสนใจกับตัวที่ใช้ดาบโล่ตรงหน้าแทน
“ตัวดาบโล่มีสกิลเสริมพลังกาย ระวังด้วย” ทัตบอกสินทำให้เจ้าตัวหันไปมองตัวต้นเหตุตาม
“งั้นฉันจะตื้บมันเอง เอ็งไปจัดการอีกตัวซะ”
“เอางั้นก็ได้”
แม้จะเป็นเวลาแบบนี้ แต่สินก็ยังยึดมั่นเรื่องที่ว่าตัวเองมีประสบการณ์มากกว่าจึงยึดตัวที่เก่ง ๆ ไปสู้เองจนหมด ทั้งที่จริง ๆ แล้วเขาสามารถปล่อยให้ทัตสู้เองก็ได้เพราะประสบการณ์มันแชร์กันอยู่แล้ว
ดังนั้น ที่เขาออกตัวสู้เองมันก็หมายความได้อย่างเดียวว่าทำไปเพราะเป็นห่วงพวกพ้อง เขาเป็นคนแบบนั้นมาตั้งแต่แรก นั่นคืออีกเรื่องสำคัญที่ทัตได้รู้จากการทำงานร่วมกับสินมาหลายวัน
และทำให้ไม่ตะขิดตะขวงใจเท่าไหร่ที่ถูกเลือกเป้าหมายให้
ทัตถีบพื้นร่นระยะเข้าหาศัตรูตัวใหม่พุ่งเข้าใส่ด้านข้างของมัน พยายามทำให้มันหลบออกไปจากจุดที่คนอื่นกำลังสู้อยู่เพื่อความสะดวกก่อนที่จะยิงเวทไฟจำนวนสิบลูกจากการที่มีสกิลผสานเวทเลเวล 9
เขาเปลี่ยนรูปร่างของเวทยิงทั้งหมดเป็นหอกแหลมก่อนจะยิงใส่ศัตรู แต่เจ้ากิ้งก่าหนวดปลาหมึกตัวนี้นั้นแกร่งกว่าที่เห็นภายนอก มันตวัดดาบเท่ากับจำนวนเวทที่ทัตยิงออกมาทำลายเวทยิงของทัตหายไปหมด เห็นได้ชัดว่าเวทมนตร์ไม่สามารถสู้กับมันซึ่งหน้าได้เลย
…แต่แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เป้าหมายของทัต เขาถึงปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของมันได้อย่างง่ายดาย
กระทั่งมันตระหนักว่าสิ่งที่ทัตทำคือการเบี่ยงเบนความสนใจ มันก็โดนหมัดอาบเปลวเพลิงประจุสายฟ้าอัดใส่แผ่นหลังกระแทกพื้นไปหลายตลบจนกว่าจะตายสนิท
เสร็จไปสอง… ที่เหลือล่ะ?
ทัตยังคงไม่นิ่งนอนใจแม้จะจัดการศัตรูลงได้ แต่พอกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าทุกคนจัดการส่วนของตัวเองเสร็จแล้วรวมถึงพิมเองก็เช่นกัน เธอถึงได้เดินเตาะแตะเข้ามาหาทัตในจังหวะนั้นพอดี
“จัดการหมดแล้วล่ะ! เจ๋งใช่ไหมล่ะ!” พิมเอ่ยด้วยรอยยิ้มร่า ทัตเห็นแบบนั้นก็รู้ในทันทีว่าเธอต้องการอะไร ถึงได้ลูบหัวเบา ๆ ไปทีนึงจนพิมยิ้มพริ้มออกมา
“เก่งมาก ๆ”
“ฮุฮุ”
พิมยังคงต้องการรางวัลอยู่เสมอหลังโค่นพวกมอนสเตอร์ได้ แต่นั่นก็ไม่ต่างจากการออดอ้อนปกติของเธอเท่าไหร่นัก ที่เปลี่ยนไปมีแค่สถานการณ์กับเรื่องที่ทำเท่านั้น
ปรับตัวไวจริงนะแม่คุณ… ทัตคิดแขวะแต่ก็อิจฉาจุดนั้นของพิมอยู่ไม่น้อย
ในระหว่างนั้น สินก็เดินเข้ามาทางทัตด้วยเหมือนกัน
“ทำได้ไม่เลวนี่หว่าเอ็งน่ะ” สินยื่นหมัดเข้าหาทัต และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สินทำแบบนี้
“ก็ปกติแหล่ะ”
ทัตถึงชกหมัดกลับไปด้วยรอยยิ้มสนิทสนมและคุ้นเคย แม้จะเพิ่งสนิทกันได้ไม่นาน
ถึงภายนอกจะดูเป็นคนขี้หงุดหงิดจนเหมือนจะอัดคนไปทั่วตลอดเวลาก็เถอะ
แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นคนดีและคุยด้วยง่ายเอาเรื่อง
คนเราเนี่ย ดูแค่ภายนอกไม่ได้จริง ๆ แฮะ
และต้องขอบคุณความง่ายของสินนี่แหล่ะที่ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันได้เร็วกว่าสมาชิกเซฟเวอร์คนอื่น
แต่ถึงจะไม่เท่ากับพิม ทัตก็สามารถพูดได้ว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกันยิ่งกว่าเพื่อนชายที่โรงเรียนคนอื่น ๆ เสียอีก
นั่นแหล่ะคือกิจวัตรประจำวันของฉันกับพิมหลังคุ้นชินกับกิจกรรมของเซฟเวอร์แล้ว
หลังจากที่ตามหาผู้รอดชีวิตและเสบียงจนถึงเที่ยงวัน พวกเราก็จะเดินทางกลับฐานแล้วสลับหน้าที่กับอีกหน่วยนึง
ตอนนี้พวกเราเลยกำลังอยู่บนรถบรรทุกคนเตรียมเดินทางกลับ
ส่วนตำแหน่งที่นั่งก็เป็นพิมที่นั่งข้างฉันตามเคย ส่วนฝั่งตรงข้ามก็เป็นคิว
แต่สินก็ดันมานั่งข้าง ๆ ฉันอีกฝั่งแทน ไม่สิ… ที่จริงเขาก็นั่งตรงนี้เป็นปกติมาหลายวันแล้วล่ะ
“เก่งขึ้นอีกแล้วนี่หว่า ใช้ได้เลยไม่ใช่รึไงวะเนี่ย!” สินพูดด้วยรอยยิ้มร่า เขากอดคอชื่นชมทัตน่าดูอย่างน้อยก็ในแง่ของความแข็งแกร่ง
ถึงมันจะทำให้ทัตลำบากใจอยู่หน่อย ๆ ก็เถอะ แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นก็คือมันทำให้พิมหงุดหงิดตามไปแล้ว
ไม่ใช่ว่าเธอหึงแต่อย่างใด พิมก็แค่หงุดหงิดที่ไม่มีจังหวะได้คุยหรือหยอกล้อกับทัตมากกว่า
และถึงจะลำบากใจแต่ทัตก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ไปตามน้ำ
“ว่าไปแล้ว ช่วงหลายวันมานี้เลเวลไม่อัพเลย” ทัตเปลี่ยนไปตั้งข้อสังเกตแบบนั้น คนที่ให้ความสนใจก่อนใครคือคิว
“ไม่แปลกหรอกครับ หลังเลเวล 80 เลเวลจะขึ้นช้าลงเยอะเพราะมอนสเตอร์ที่มีเลเวลสูงกว่านั้นส่วนใหญ่จะอยู่นอกเมืองน่ะครับ”
เขาดันแว่นขึ้นตอบ ทำให้ทัตนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ฝ้ายอธิบายเรื่องเลเวลของมอนสเตอร์
นั่นสินะ… เพราะในเมืองเต็มไปด้วยผู้มีพลัง ซึ่งเลเวลเฉลี่ยก็มีไม่ถึง 50
และถ้าเลเวลของมอนสเตอร์จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากจุดศูนย์กลาง แสดงว่ามอนสเตอร์แกร่ง ๆ ส่วนใหญ่น่าจะอยู่นอกเมืองกัน
แล้วเซฟเวอร์ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องออกไปสำรวจนอกเมืองด้วย
มอนสเตอร์ที่เจอในเมืองเลยมีแต่พวกที่ต่ำกว่าเลเวลเฉลี่ยของเรา
เพราะว่ากันตามตรง… เลเวลของฉันกับพิมรวมถึงพวกสินกับคิวถือว่าเป็นเลเวลที่สูงมากเมื่อเทียบกับทั้งองค์กร
“นายก็เลยติดอยู่ที่เลเวล 82 สินะ” พิมได้จังหวะก็ทวนถามขึ้นมา ทัตรู้ในทันทีว่าพิมพยายามหาเรื่องคุยกับเขา
“ใช่ จะว่าไปเมื่อกี้เลเวลเธอขึ้นบ้างไหม?”
“ขึ้นมาเลเวลเดียวเอง” เสียงถอนหายใจตามมาจากคำพูด
“เลเวล 76 แล้วสิงั้น”
“โห! จำได้ด้วยเหรอ? น่าดีใจเหมือนกันนะเนี่ย”
พิมทำตาเป็นประกายหลังได้ยิน แล้วเธอก็เบียดตัวเข้ามากอดแขนของทัตอีกด้วยท่าทางดีใจสุด ๆ
พิมน่าจะเล็งจังหวะนี้นานแล้ว และถ้าเธอหวังให้ทัตใจเต้นหรือกลับมาสนใจเธอเพราะเรื่องนี้ บอกเลยว่ามันประสบความสำเร็จอย่างงดงามทั้งสองจุดประสงค์
ดูจากแก้มแดง ๆ ของทัตก็รู้
❖❖❖❖❖
ขบวนรถสำรวจใช้เวลาเดินทางราวชั่วโมงเศษก็เดินทางกลับมาถึงโรงพยาบาล มองนาฬิกาแล้วเป็นเวลาเที่ยงวันครึ่งพร้อมสลับให้หน่วยอื่นไปทำแทนพอดี นั่นเลยเป็นเหตุผลที่มีคนจำนวนมากรออยู่ตรงลานจอดรถ
แต่จะเป็นเรื่องแปลกหากผู้บัญชาการของทุกคนมารออยู่ที่นี่ด้วย
“พี่ทัต!” ผู้บัญชาการของทุกคน… ฝ้ายทำตาเป็นประกายในทันทีที่เห็นว่าขบวนรถกลับมา
ยิ่งเป็นประกายมากขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าทัตปลอดภัยดี และที่มากยิ่งกว่าคือความเร็วที่ปรี่เข้าไปหาขบวนในทันทีที่เครื่องยนต์ดับลง
“โอ้ วันนี้ก็มารับเหรอ———”
ทัตยังลงถึงพื้นได้ไม่ทันไร ฝ้ายก็พุ่งเข้ามากอดเขาเสียแล้ว รอยยิ้มดีใจของเธอแสดงให้เห็นเลยว่าเกิดจากความคิดถึง ในระดับที่ไม่ธรรมดาเลยด้วย บวกกับแรงกอดอันแนบแน่นยิ่งแสดงให้เห็นว่าเธอโหยหาทัตมากขนาดนั้น
…ทั้งที่ความจริงทัตหายจากฝ้ายไปแค่ครึ่งวันเท่านั้นเอง
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามวัน… ก็หลังจากที่เปิดใจกับฝ้ายไปนั่นแหล่ะ
หลังจากตอนนั้นฝ้ายก็เข้าหาเรามากขึ้น
เอ่อ ไม่สิ… จะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูก
เพราะถ้าพูดถึงเรื่องความถี่แล้ว ฝ้ายก็เข้าหาเราบ่อยแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร
จุดที่แตกต่าง บางทีคงจะเป็นอารมณ์ที่แสดงออกกับความสนิทสนมล่ะมั้ง
เพราะช่วงไม่กี่วันนี้ เธอเข้าหาเราด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่าเคย และพยายามใกล้ชิดมากกว่าแต่ก่อนอย่างเปิดเผย
ก็อย่างที่พุ่งเข้ามากอดด้วยรอยยิ้มแบบตอนนี้นี่แหล่ะ เหมือนกับน้องสาวที่ไม่ได้เจอกับพี่ชายมานานยังไงอย่างนั้น
แต่ไม่สิ… ถ้าคิดถึงสถานการณ์ที่ว่า ‘เราเพิ่งกลับมาจากการต่อสู้’ มันก็น่าเป็นห่วงอยู่หรอก
ถึงอย่างนั้น ต่อให้เป็นตอนที่เจอกัน เธอก็เข้ามาควงแขนด้วยรอยยิ้มแบบนี้ทุกครั้ง
พูดไปก็เสียมารยาท… เหมือนฝ้ายอดอยากจะทำแบบนี้มานานแล้วยังไงอย่างนั้นแหล่ะ
หรือที่จริงมันอาจเป็นแบบนั้นก็ได้… เพราะเท่าที่ฟังจากที่เธอเล่า เราก็รู้แล้วว่าฝ้ายเองก็มองเราเป็นตัวตนที่เหนือกว่าพอสมควร
ทั้งชื่นชม อยากตอบแทนแล้วก็เคารพรัก… เธอจะอยากใกล้ชิดกันก็คงไม่แปลกอะไรหรอกมั้ง
ในฐานะพี่ชายก็ดีใจอยู่หรอก เพราะบรรยากาศแบบนี้มันเป็นอารมณ์แบบพี่น้อง?ที่ลึก ๆ เราเองก็อยากได้
เหมือนแมวที่เข้ามาคลอเคลียตอนกลับบ้านเลย ว่าไปแล้วก็น่ารักดีอยู่หรอก ไม่สิ… น่ารักสุด ๆ ไปเลยต่างหาก!
…แต่มันก็ตามมาด้วยเรื่องที่น่ากังวลด้วยสิ
“นี่… ว่าไปแล้วทั้งสองคนสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
น้ำเสียงเรียบ ๆ แต่กลับทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกทำให้ทัตคิดแบบนั้น
และแน่นอนว่าต้นเสียงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพิม ตอนนี้เธอยิ้มอยู่แต่กลับไม่รู้สึกว่าปลอดภัยเลย นั่นคือจังหวะที่ทำให้ทัตรู้ว่าระเบิดกำลังจะลง
พยายามเข้าล่ะพวก… สินที่อยู่ห่าง ๆ ให้กำลังใจด้วยการชูนิ้วโป้งให้ แต่แน่นอนว่าไม่ได้ช่วยอะไร
เช่นเดียวกับคิวที่กัดผ้าเย็นด้วยความอิจฉาจนจะขาดอยู่แล้ว จากที่เคยคุยกันทำให้ทัตรู้ว่าคิวชื่นชมฝ้ายมากจากการที่เคยได้รับการช่วยชีวิตมาหลายครั้ง พอเป็นแบบนั้นจะแอบชอบฝ้ายก็คงเป็นเรื่องธรรมดา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากคิวจะหลั่งน้ำตาเป็นเลือด
แต่ก่อนจะไปสนเลือดคนอื่นสนเลือดตัวเองก่อนดีกว่า… ทัตคิดแบบนั้นในจังหวะที่พิมเข้ามากอดเขาจากฝั่งตรงข้ามที่ฝ้ายจองอยู่ เธอพยายามแสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่เพื่อต่อต้านฝ้าย
“เมื่อไหร่ไม่สำคัญหรอกค่ะ เพราะยังไงเราก็เป็นพี่น้องกันนี่นา” ฝ้ายกอดแรงขึ้นแถมยิ้มกริ่มใส่ ยิ่งทำให้คิ้วของพิมกระตุกแรงขึ้น
“แต่ก็ไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ นี่นา เพราะงั้นความเหมาะสมมันก็มีอยู่นะ! ความเหมาะสมน่ะ!” พิมดึงแขนทัตมาฝั่งตน แต่ก็ถูกฝ้ายดึงกลับในทันที
“พูดเรื่องความเหมาะสมทั้งที่พี่พิมเองก็เป็นแค่เพื่อนสนิท มันไม่ย้อนแย้งเหรอคะ?” ฝ้ายยิงฟันใส่ทำให้พิมจำต้องทำแบบเดียวกันเข้าปะทะ
หากไม่นับสัมผัสสุดวิเศษแสนนุ่มนิ่มที่แนบต้นแขนทั้งสองข้างของทัตอยู่ เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตาที่เด็กสองคนกำลังแย่งกันเล่นมากกว่าจะเป็นในทางชู้สาว
ถึงที่จริงสองสาวจะคิดตรงข้ามกับทัต แต่ในแง่พฤติกรรมแล้วเขาอดคิดว่ามันเป็นแบบนั้นไม่ได้
พิมกับฝ้ายที่กำลังยิงฟันมองอีกฝ่ายราวกับมีสะเก็ดไฟฟ้าวิ่งใส่ปะทะกันตรงกลาง คือหนึ่งในพฤติกรรมเด็กแย่งของเล่นแบบนั้น ทัตถึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“จะบ่ายแล้ว ไปกินข้าวกันดีกว่านะ”
เปลี่ยนเรื่องในบัดดลเหมือนไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ไทยมุงที่รวมสินกับคิวเหวอไปแวบนึง
พิมกับฝ้ายยังต้องมองตากันปริบ ๆ ไปครู่นึง ก่อนจะสงบสติอารมณ์ตัวเองลงได้ พวกเธอถอนหายใจออกมาพร้อมกันเหมือนนัดกันไว้ ก่อนที่จะยอมไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันยกกลุ่มแต่โดยดี
รอดไปที…
ทัตคิดแบบนั้น แต่หารู้ไม่…
“พี่ทัตลองกินลูกชิ้นดูสิคะ อร่อยนะคะ”
“ไม่ ๆ! ลองกินหมูสามชั้นนี่ดูดีกว่า อวบอิ่มน่ากินกว่าเห็น ๆ เลย!”
หลังจากที่นั่งรวมกลุ่มกินข้าวเฉพาะระดับผู้บัญชาการ สงครามก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
ทำไมฉันถึงเดาไม่ได้นะ… ทัตถอนหายใจหลังฝ้ายกับพิมยื่นของกินมาให้จากทางด้านข้างคนละฝั่ง
จากมุมมองของคนนอกคงเหมือนทัตถือดอกไม้งามเต็มสองมือ แต่บอกเลยว่าคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองสาวจริง ๆ อย่างทัตนั้นมีแต่ความลำบากใจมากกว่าจะออกอาการลั้นล้า
ถึงแบบนั้นเขาก็กินของทั้งพิมและฝ้ายอยู่ดี
“คือว่านะ… จะป้อนมันก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่อย่างนี้ฉันก็ไม่ได้กินของตัวเองน่ะสิ” ทัตมองข้าวกล่องที่ไม่ได้ลดลงเลยสักนิดในมือตัวเองแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ พิมได้ยินแล้วก็อมยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
“หืม… งั้นแลกกันไหมล่ะ?”
เธอเสนอแบบนั้น เลื่อนนิ้วชี้ขึ้นสัมผัสริมฝีปากราวเชื้อเชิญ บางทีคงคิดจะชิงแต้มตีตื้นถึงได้ฉีกรอยยิ้มกริ่มใส่ฝ้าย แต่ทางด้านฝ้ายกลับยิ้มแห้ง ๆ ตอบ นั่นดูไม่เหมือนท่าทางของคนหึงหวงแบบเดียวกับที่พิมทำเลย
เพราะแบบนั้นทัตเลยไม่ต้องลำบากใจมากที่จะป้อนคืนให้พิม
ถึงในทางกลับกันมันจะทำให้ทัตประหม่าสุด ๆ ก็เถอะ เขาถึงได้เอาแต่จ้องริมฝีปากอวบอิ่มของพิมแต่ไม่ยักกะป้อนเสียที
จนพิมเริ่มหงุดหงิดเลยเลื่อนใบหน้าเข้ามากินเองเหมือนปลางับเบ็ดนั่นแหล่ะ ทำทัตตกใจจนเกือบจะสะดุ้งตกเก้าอี้เลยทีเดียว
ในขณะที่พิมนั้นยิ้มเย้ยใส่ฝ้ายด้วยสีหน้าของผู้ชนะ แต่นั่นก็เป็นอีกครั้งที่ฝ้ายยิ้มแห้ง ๆ คืนมาให้ อาจเพราะรู้แล้วว่าพิมกำลังกังวลเรื่องความสนิทสนมระหว่างเธอกับพี่ชายในระดับที่มากเกินควร
“คือว่า… หนูไม่รู้ว่าพี่พิมเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า แต่หนูก็แค่อยากสนิทสนมกับพี่ทัตในฐานะน้องสาวเท่านั้นเอง หนูไม่ได้คิดจะแทรกระหว่างพวกพี่หรอกนะคะ”
ฝ้ายเลื่อนมือสัมผัสอกตัวเองประหนึ่งจะบอกว่าเป็นความรู้สึกจริง ๆ จากใจ และก็เป็นความจริงที่นั่นคือสิ่งที่ฝ้ายตั้งใจจะทำจากนี้
…ถึงความรู้สึกจริง ๆ ที่เธอมีให้ทัตจะลึกซึ้งกว่านั้นอย่างเห็นได้ชัดก็ตามที
อย่างไรก็ดี… เพราะคำพูดของฝ้ายเลยทำให้พิมออกอาการลนลานออกมา
“ซะ แทรกกลางอะไรกัน! พวกเรายังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อยนึง โท่!”
พิมถึงใช้มือที่ว่างสะบัดมือไปมาแก้เขิน อย่างน้อยเธอก็ยังมีสติพอที่จะไม่ทำข้าวกล่องร่วงจากมือ
“แต่ว่า… เป็นแบบนั้นเองสินะ” และอย่างน้อย ๆ พอได้ยินแบบนั้นมันก็ทำให้พิมรู้สึกปลอดโปร่ง (แบบสุด ๆ) เธอถึงถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เพราะถ้าพูดกันแบบไม่อคติ แม้ทัตจะมีหน้าตาค่อนไปทางดี แต่เพราะมีบุคลิกโลกส่วนตัวสูงเลยทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจในเชิงชู้สาวถึงขั้นอยากคบเป็นคนรัก
พูดง่าย ๆ ก็คือมีคู่แข่งน้อยจนแทบไม่มีเลยนั่นเอง และถึงจะมีคู่แข่ง พิมก็มั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่มีใครเทียบเธอได้แน่นอน เพราะไม่ว่าจะความงดงาม นิสัย? และที่สำคัญที่สุดคือความใกล้ชิดและความทรงจำที่สร้างร่วมกันมา เธอแทบจะไม่ต้องกังวลเลยว่าทัตจะหันเหไปมองสาวอื่น
…แต่ถ้าจะมีใครสักคนที่คุณสมบัติสูงพอจะเทียบเคียงเธอได้ ก็คงเป็นสาวน้อยลูกครึ่งต่างชาติ น่ารักน่าทะนุถนอม เงียบขรึมกับทุกคนยกเว้นกับพี่ชายที่เคารพรัก แถมที่จริงยังเป็นคนเอาใจใส่และห่วงใยคนอื่นมาก ๆ โดยเฉพาะพี่ชาย แถมยังมีโอกาสเข้าหาพี่ชายอย่างทัตมากกว่าเธอเพราะเป็นครอบครัวเดียวกัน และต่อให้เป็นพี่น้องแต่ก็เป็นแค่พี่น้องบุญธรรม ถ้าฝ้ายจะจริงจังกับทัตก็ใช่ว่าความหวังนั้นจะเป็นไปไม่ได้
ด้วยเหตุนั้น ถ้าจะมีใครสักคนที่มีโอกาสเป็นศัตรูตัวฉกาจของพิม ก็คงไม่พ้นฝ้ายคนนี้นี่แล
ตอนแรกก็ดีใจอยู่หรอกที่ทัตสนิทกับน้องฝ้ายได้
แต่น้องก็ดันทำสายตาแบบนั้นซะได้… แบบดูจากดาวอังคารก็รู้อ่ะว่ากำลังหลงทัตแบบสุด ๆ
ถึงจะบอกว่าในฐานะน้องสาวก็เถอะ แบบนั้นใครจะไปยอมกันล่ะจริงไหม?
แต่ถ้าน้องเค้าว่าแบบนั้น อาจจะไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้มั้งเรา
พิมโล่งอกอีกเปราะ พยายามปลอบใจตัวเองแบบนั้น แต่ดูเหมือนการแสดงจุดที่ผ่อนคลายออกมานั่นจะเป็นที่สังเกตของฝ้ายและทำให้เธอรู้สึกอยากจะกระตุ้น (หรือหยอกเย้า) อะไรสักอย่าง
ดูจากรอยยิ้มขี้เล่นของฝ้ายก็รู้
“อืม… แต่ถ้าพี่พิมชักช้าเกินไป หนูอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะคะ”
“อะไรกันล่ะนั่น! แบบนั้นฉันไม่ยอมง่าย ๆ หรอกนะ!”
“ล้อเล่นหรอกค่ะ”
ฝ้ายแลบลิ้นอย่างน่ารักน่าชัง ทำเอาเดาไม่ออกเลยว่าเป็นเรื่องล้อเล่นจริงหรือไม่
ทัตเองก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับสถานการณ์ที่เป็นคนกลางทำอะไรไม่ได้ เขาเพียงภาวนาให้มีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น สถานการณ์คุกรุ่น (อารมณ์ของพิม) จะได้เย็นลงบ้าง
“ฮัลโหลทุกคน! อยู่นี่กันจริง ๆ ด้วยสินะ”
สาวแว่นร่วมห้องจอมแก่นของทัตกับพิมปรากฏตัวขึ้นราวพระเจ้าจัดวาง
ต้องขอบคุณมิ้นที่เปิดประตูเข้ามาในห้องประชุมพร้อมกระดาษปึกนึง ทุกคนถึงได้หันไปสนใจเธอกันหมด จำต้องทิ้งเรื่องหยอกล้อรักใคร่ไว้ทีหลัง
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าคะ?” ฝ้ายเอ่ยถามเป็นคนแรก แม้จะดูไม่เหมือนเรื่องด่วนขนาดนั้น แต่ความรีบร้อนของมิ้นแสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องที่สมควรสนใจ
“ติดต่อกลุ่มที่ออกไปตอนบ่ายไม่ได้เลย”
“…แบบนั้นมันจะไม่แย่เอาเหรอ?”
ทัตสงสัยกับคำพูดของมิ้น เพราะไม่เห็นว่าคนอื่นนอกจากเขากับพิมจะรู้สึกเป็นกังวลกับเรื่องนี้เลย แต่นั่นก็เป็นเพราะทัตไม่รู้สาเหตุเหมือนคนอื่น
“ยิ่งเวลาผ่านไปนาน ก็มีความเป็นไปได้ว่าสิ่งก่อสร้างจะถูกมอนสเตอร์ทำลายน่ะค่ะ เสาสัญญาณโทรศัพท์เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเหมือนกันค่ะ เรื่องนี้เลยเกิดขึ้นบ่อยจนชินแล้วน่ะค่ะ” ฝ้ายแถลงไขให้ฟัง พออธิบายแบบนั้นก็เข้าใจได้ไม่ยาก
“แต่ถึงแบบนั้นมันก็เป็นปัญหาอยู่ดีนี่นา” พิมชี้ตรงประเด็น ฝ้ายเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ค่ะ เพราะแบบนั้นคงจะต้องส่งกำลังเสริมไป …ถึงมันจะใกล้มืดแล้วก็เถอะ”
ฝ้ายชั่งน้ำหนักบางอย่างอยู่ในหัวตัวเอง เพราะถ้าแบ่งกำลังออกไปช่วยเหลือหน่วยสำรวจข้างนอกในตอนกลางคืน ความเสี่ยงก็จะสูงมากขึ้นเพราะตอนกลางคืนทัศนวิสัยไม่ดี แถมยังทำให้คนที่สามารถต่อสู้ได้มีจำนวนลดลงอีก หากเกิดเรื่องขึ้นที่ฐานตอนนี้จะกลายเป็นจุดที่น่ากังวลยิ่งกว่าเดิม
ในฐานะหัวหน้าใหญ่สุดของที่นี่เธอต้องตัดสินใจเรื่องแบบนั้นมาตลอดและไม่ใช่เรื่องที่ชอบหรือเคยชินเลยสักนิด แม้สีหน้าของเธอจะไม่เปลี่ยนไปเลยก็ตาม
“!?”
แต่มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
แม้มือเล็ก ๆ ของเธอจะยังสั่นระรัว เล็กน้อยเกินกว่าจะมีคนสังเกตเหมือนเคย แต่หนนี้มีมือของทัตช่วยสัมผัสและมอบความอบอุ่นให้
…พี่ทัต
ฝ้ายนึกขอบคุณ ตอบกลับทัตด้วยรอยยิ้มดีใจดังที่อยากเผยออกมาตลอด นั่นทำให้ความเยือกเย็นของฝ้ายกลับมาด้วยเช่นกัน
“นำกำลังครึ่งนึงของหน่วยสำรวจปกติไปตรวจสอบสถานการณ์ทีนะคะ ห้ามใช้เวลาเกินสองชั่วโมง ถ้าเกินก็ให้รีบถอนกำลังกลับมาทันทีค่ะ”
“รับทราบค่ะหัวหน้า! งั้นทานข้าวต่อให้อร่อยนะทุกคน!”
มิ้นมาไวไปไวยิ่งกว่าเคลมประกันทำเอาหลายคนเหวอไปเหมือนกัน
ไม่สิ… คงจะงานยุ่งนั่นแหล่ะ ทัตคิด
“ว่าไปแล้วหนูเองก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน” ฝ้ายนึกเรื่องสำคัญได้จึงวางช้อนใส่กล่องข้าวที่ว่างเปล่า
“ไม่ใช่ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วเหรอ?”
ทัตเอียงคอสงสัย เพราะถ้านับตามปฏิทิน วันนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เหตุการณ์มอนสเตอร์ปรากฏตัวได้จบลง พอถึงหกโมงเช้าของวันพรุ่งนี้ทุกอย่างก็จะถูกย้อนกลับมาเป็นเหมือนเดิมซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนรอคอย การเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้จึงไม่น่าจะจำเป็น
“เพราะเป็นวันสุดท้ายก็เลยต้องสรุปข้อมูลน่ะค่ะ แล้วก็ต้องจำเนื้อหาเอาไปเขียนรายงานตอนทุกอย่างย้อนกลับมาเหมือนเดิมด้วยค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ… เหนื่อยหน่อยนะ” ทัตโบกมือให้ฝ้าย เธอเองก็โบกมือกลับมาในตอนที่ลุกจากที่นั่งแล้วออกจากห้องประชุมไปยังห้องทำงานของตัวเอง
“ฝ้ายนี่งานเยอะเหมือนกันเนาะ”
“นั่นสิ”
ทัตเห็นด้วยกับพิม แม้จะมีเรื่องศัตรูหัวใจแต่พิมก็มองฝ้ายเหมือนน้องสาวคนนึงมาตลอด ยังไงเธอก็ยังรู้สึกเอ็นดูฝ้ายไม่เปลี่ยนอยู่ดี
“ใช่ไหมล่ะครับ หัวหน้าน่ะสุดยอดอยู่แล้ว!” ในขณะที่คิวนั้นยังคงแสดงออกถึงความชื่นชมไม่ว่างเว้น แต่การยกยอนั้นไม่เป็นที่พอใจของทัตเท่าไร
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ฝ้ายก็เป็นแค่เด็ก ม.ต้น เองนะ เอาหน้าที่นั้นให้เธอทำมันอาจจะหนักไปก็ได้”
“ถึงนายจะพูดในฐานะพี่ชาย แต่ตำแหน่งนั้นหัวหน้าไม่ได้สุ่มได้มาหรอกรู้ไหม” เบลชี้ส้อมมาที่ทัต ทำให้เขาเข้าใจบางสิ่ง
“…เอาเถอะ ที่พูดมามันก็จริง”
ทัตยอมรับเรื่องนั้นโดยไม่ขัดข้องใจ
ฝ้ายอาจไม่เต็มใจรับหน้าที่นี้ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ ไม่อย่างนั้นทุกคนที่อยู่ที่นี่คงไม่แสดงความเคารพเธอโดยไม่เกี่ยงอายุหรือเพศแบบนี้
แต่แน่นอน… ‘ทำได้ดี’ มันเป็นคนละเรื่องกับ ‘อยากจะทำ’
เพื่อให้อยู่ในจุดที่ปลอดภัยที่สุด และเพื่อให้อยู่ในจุดที่สามารถปกป้องคนที่ต้องการจะปกป้องได้อย่างราบรื่น พลังและอำนาจคือสิ่งจำเป็นอย่างไม่อาจเลี่ยง
เพื่อปกป้องพ่อกับแม่… และเพื่อปกป้องเราที่เป็นพี่ชาย
ที่เธออยู่ในจุดที่ตัวเองต้องแบกรับภาระมากมายขนาดนี้ ทั้งหมดก็เพื่อแลกกับความปลอดภัยของเรา
แต่หลังจากที่รู้แบบนั้น… รู้ว่าฝ้ายไม่ได้อยากจะอยู่ในตำแหน่งนี้มากขนาดนั้น
สิ่งที่เราต้องทำก็มีแค่อย่างเดียว
ทัตตัดสินใจคนเดียวในหัว แต่แน่นอนว่าไม่ได้พูดออกไปเพราะคงถูกเห็นเป็นแค่คนอวดดีเสียเปล่า ๆ
แต่อย่างน้อย ๆ ความจริงจังที่สะท้อนในดวงตาของทัตก็รุนแรงมากพอจะแสดงให้เห็นว่านั่นไม่ใช่อารมณ์ชั่วครู่ แต่เป็นเป้าหมายระยะยาวที่จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ในเร็ววัน
❖❖❖❖❖
หลังจากที่ทานข้าวกลางวันเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
อาจเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายเรื่องที่ต้องเตรียมการเผื่อในวันพรุ่งนี้อย่างเสบียงหรือชุดสวมใส่จึงไม่มีความจำเป็น นั่นเลยทำให้ทุกคนอยู่ในสภาพที่ผ่อนคลายกันแบบสุด ๆ พิมเองก็เลือกที่จะไปนั่งคุยกับเพื่อนสนิทสาวอย่างแพรเพื่อฆ่าเวลา
ส่วนทัตที่ไม่มีอะไรทำเป็นพิเศษนั้นก็เลือกที่จะนั่งแหงนมองท้องฟ้าอยู่หน้าทางเข้าโรงพยาบาลเปลี่ยนบรรยากาศหวังให้เวลาผ่านไปเร็ว ๆ เพราะเขาเองก็อยากจะกลับไปนอนสลบเหมือดที่ห้องตัวเองหลังผ่านสถานการณ์ที่ไม่มีจังหวะให้นอนหลับสนิทมาตลอดหนึ่งสัปดาห์
พอหันไปรอบ ๆ ทัตก็พบว่ามีคนยืนอยู่ก่อนแล้ว
“เพิ่งรู้ว่านายสูบบุหรี่ด้วย”
ทัตเอ่ยถามสินที่ยืนพิงเสาห่างไปไม่ไกล แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาก็ยังดังพอให้สินได้ยินอยู่
“เอ็งก็เบื่อโรงบาลเหมือนกันสินะ” สินสงสัยแบบห้วน ๆ เหมือนไม่ค่อยสนใจใยดีทัต
แต่ถ้าสินรู้สึกอย่างนั้นจริงเขาก็คงไม่เดินมาอยู่อีกฝั่งของทัตเพื่อให้ควันบุหรี่อยู่ใต้ลม นั่นคือข้อสังเกตของทัต
“อยากลองรึไง?” เห็นทัตจ้องอยู่นานสินเลยคิดแบบนั้น จากที่ไม่สนใจเลยกลายเป็นสนใจแทน
“นั่นสินะ ถ้าลองก่อนที่เวลาจะถูกย้อนกลับไป มันก็ไม่น่าจะส่งผลกับร่างกายหรอกมั้ง?”
นั่นคือสิ่งที่ทัตคาดเดา เพราะถ้าบาดแผลหรืออาการบาดเจ็บหายไปได้ สารเคมีต่าง ๆ ในร่างกายเองก็ต้องกลับไปอยู่ในสภาพเดิมด้วย พูดง่าย ๆ คือไม่ว่าจะทำอะไรกับร่างกายนี้มันก็ไม่มีผลในตอนที่ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม
สินอาจรู้แบบนั้นเลยใช้ของแบบนี้เพื่อคลายความตึงเครียดจากการต่อสู้เอาชีวิตรอด ส่วนทัตนั้นแค่สนใจด้วยความอยากรู้อยากเห็นเฉย ๆ
และดูเหมือนสินจะจับความต้องการนั้นของทัตได้ เขาพ่นควันออกมาทางปากก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
“…ไม่ล่ะ ไม่ต้องลองเลย บุหรี่มันไม่ดี” สินมองมาทางทัตด้วยสายตาเบื่อ ๆ
“แต่นายก็สูบอยู่นี่?” ทัตถามกลับ
“จะบอกว่าถ้ามันไม่ดีแล้วจะสูบทำไม? เหรอวะ?”
“นายเองก็หัวดีไม่เบานี่”
“…น่าโมโหชิบ”
สินรู้สึกตามที่พูด เขาขยี้หัวตัวเองราวกับจะเอาความหงุดหงิดไปลงกับตัวเองแทนที่จะทำคนอื่นหรือแม้แต่ทัตที่เป็นคนเย้าหยอกเองก็ตาม
แต่ถ้าเตือนกันขนาดนี้ จะไม่ฟังก็ยังไงอยู่แฮะ
ทัตพยักหน้ายอมรับคำของสินแต่โดยดี เพราะอันที่จริงก็ไม่ได้คิดอยากลองมากถึงขนาดนั้นอยู่แล้ว
“แต่ว่า… บางเรื่องถ้าไม่ได้ลองทำมันก็ไม่รู้หรอก พอได้รู้มันก็ถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว” สินสูดควันก่อนจะแหงนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนแบบเดียวกับที่ทัตทำก่อนหน้านี้
“กำลังพูดถึงบุหรี่เหรอ?” เพราะสายตาของสินมองทอดไปไกลเกินกว่าจะบอกว่าเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว ข้อสงสัยจึงเกิดขึ้นในใจทัต แต่ทั้งสองคนสนิทกันพอจะไม่ต้องเกรงใจเรื่องนั้นทัตถึงได้เอ่ยถามออกมาตรง ๆ
“…ก็ด้วย”
หลังครุ่นคิดสักพักสินก็ตอบกลับ และดูเหมือนที่ทัตเดาไว้จะถูกต้องแม้จะไม่รู้ในส่วนของรายละเอียดก็ตาม ครั้นจะถามลึกถึงขั้นนั้นก็อาจเสียมารยาท เรื่องนี้ต่อให้เป็นเพื่อนกันแต่ถ้าเจ้าตัวไม่อยากพูดก็ไม่ควรเซ้าซี้ นั่นคือความคิดของทัต
รวมถึงมุมมองของสิน ทัตอาจไม่ได้เป็นเพื่อนที่สนิทถึงขนาดบอกเรื่องกังวลในใจให้ฟังได้ การไม่ถามจึงดีที่สุด ทัตจึงหลบสายตาไปทางอื่นเหมือนจะบอกว่าไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแล้ว
แต่ว่า…
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้… เอ็งอยากจะเกิดการตื่นไหม?”
คำถามของสินทำให้ทัตแปลกใจไม่เบา ยิ่งเจ้าตัวทำหน้าหม่นหมองตอนพูดยิ่งรู้สึกว่าเป็นคนละคนกับที่ชอบออกตัวแรง มุทะลุ ไม่มีหัวคิด
ดูเหมือนเป็นคนที่ทำอะไรไม่คิดแท้ ๆ แต่ใครก็มีช่วงเวลาที่เสียใจทีหลังสินะ
ทัตครุ่นคิด บางจังหวะที่เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเกินไปจนความตายมาอยู่ตรงหน้ามันก็เผลอนึกขึ้นมาแบบนั้นเหมือนกัน
ว่าถ้าเลือกได้ ขอไม่เหยียบอัญมณีสีเขียวนั่นดีกว่า
“จะบอกว่าเสียใจที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้รึไง?” ทัตกอดอกถาม ประเด็นนั้นดูน่าหนักใจสำหรับทุกคนที่อยู่ในสถานะเดียวกัน สินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“มันก็ต้องมีคิดบ้างใช่ไหมล่ะ เทียบกับคนที่ไม่มีพลังถึงตายก็ไม่ได้ตายจริง ๆ แต่ถ้าเราตายที่นี่พอกลับไปอวัยวะภายในก็จะล้มเหลวตาย” สินถอนหายใจพร้อมกับควันในปอดด้วยสีหน้าครุ่นคิดหนัก น้ำเสียงของเขาเองก็ดูห่อเหี่ยวไม่ต่างกัน
“ราคาที่ต้องแลกกับการรู้ความจริงของโลกใบนี้… มันคุ้มรึเปล่าวะเนี่ย”
สินกลับมาสูดควันอีกครั้ง คำถามนั้นเหมือนเป็นเรื่องคาใจของเหล่าผู้มีพลังทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาก็เท่านั้น
ทัตเองก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น… เขาเองก็คิดว่าความเสี่ยงตายนี้กับการได้รู้ว่าโลกที่แท้จริงมีกลางคืนสองหนมันอาจไม่ใช่การแลกเปลี่ยนที่ทัดเทียม
แต่ในขณะเดียวกัน ทัตก็คิดอีกอย่างนึง…
“ฉันคิดว่าเราคงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดจนตัดสินได้ว่าคุ้มค่าหรอกนะ”
“หมายความว่าไงวะนั่น” สินเอียงคอ โยนก้นบุหรี่ทิ้งแล้วใช้เท้าขยี้ จังหวะช่างเหมาะเจาะให้คิดว่าสินกำลังโมโห
แต่ที่จริงมันไม่ใช่… เขาเพียงแต่สงสัยอย่างซื่อตรงก็เท่านั้น
“เราคิดแบบนี้เพราะว่าคนที่ไม่มีพลังไม่ได้เสียอะไรในตอนที่ตายใช่ไหมล่ะ?”
“อ่าห๊ะ” สินพยักหน้างก ๆ
“แล้วถ้าจริง ๆ คนธรรมดาที่ตายเองก็มีสิ่งที่ต้องเสียไปเหมือนกันล่ะ? เพียงแต่เราไม่รู้ก็เท่านั้น”
ทัตพูดพลางชี้นิ้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่พูดมีเค้ามูล แต่ก็ยอมรับไม่ได้ง่าย ๆ จนเหมือนเป็นแค่คำปลอบใจ ทัตเองก็รู้อยู่
“แต่ที่สำคัญที่สุด… ฉันคิดว่ามันเหนื่อยเปล่าที่จะคิดถึงเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้ล่ะนะ” ทัตพูดแล้วก็ทิ้งน้ำหนักลงแผ่นหลังไปกับเสาค้ำที่พิงอยู่ ท่าทางเขาดูไม่อยากหาเรื่องเครียดใส่หัวอย่างที่บอกจริง ๆ
“…เออ ว่าไปมันก็จริง”
อาจเพราะแผ่บรรยากาศแบบนั้นออกมาสินก็เลยคิดว่าจริงตามนั้น เดิมทีเขาเองก็ไม่ได้เป็นคนแบบนั้นอยู่แล้วด้วย ความคิดที่ว่าเสียใจทีหลังคงเกิดขึ้นแค่ชั่วครู่เท่านั้น
สินถึงได้เริ่มบิดขี้เกียจอย่างสบายใจเฉิบไปแทน
แต่ว่า… ความสบายนี่แหล่ะคือศัตรูตัวฉกาจ
เพราะมันทำให้การปรับตัวกับอันตรายที่เกิดขึ้นฉับพลันลดลง
“งั้นตูไปนอนเล่นดีกว่า ขอบใจที่ช่วยฟังเรื่องน่าเบื่อแล้วกัน————”
ตู้ม!!!
สินยังโบกมือเดินจากไปได้แค่ก้าวเดียว เสียงระเบิดปริศนาก็ดังขึ้นมาจากนอกโรงพยาบาล สร้างความตกตะลึงให้ทั้งทัตและสินจนหน้าถอดสี ระยะทางนั้นใกล้มากจนน่ากลัว
แต่ถ้าจะให้พูดแบบคิดในแง่ร้าย… เสียงระเบิดมันอยู่ใกล้จนคาดเดาได้ว่าเป็นการทำลายรั้วโรงพยาบาล
แถมมันยังไม่จบแค่ครั้งเดียวด้วย… เสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้งตามมาเป็นจังหวะต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้อพยพที่ดังขึ้นมาจากในตัวโรงพยาบาล ตอนนี้ทุกคนน่าจะได้ยินเสียงระเบิดไร้ที่มานี้กันหมดแล้ว
“เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย!?” สินสบถ มองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสนไม่ต่างจากทัต
จะต่างก็แค่ตัวทัตนั้นขยับไปหลบหลังเสาอย่างรอบคอบ เพราะเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเหตุระเบิดพวกนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
สินเห็นดังนั้นก็ทำตาม
“นี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่! เรากำลังถูกศัตรูบุก!” ทัตตะโกนบอกสิน
“แหงดิ! แต่ใครล่ะฟะ!? พวกพยัคฆ์ฟ้าเหรอ!?”
สินโยนคำถาม และมีความเป็นไปได้สูงที่สุดแล้วเท่าที่ทัตเองก็พยายามคิดตาม
เสียงระเบิดเป็นไปได้อยู่สองอย่าง คือเกิดจากอุปกรณ์กับเวทมนตร์
โอกาสที่จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งมีมากพอ ๆ กัน
แต่จะให้ออกไปตรวจสอบตอนนี้มันก็เสี่ยงเกินไป
ทัตกัดฟัน คิดจนหัวแทบแตกว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่แต่ก็ไร้ประโยชน์
ในตอนที่กำลังสับสน… ก็มีชายสองคนเดินนำกลุ่มคนจำนวนมากเข้ามาทางประตูหน้าโรงพยาบาล กะด้วยสายตาแล้วมีจำนวนมากกว่ากลุ่มพยัคฆ์ฟ้าหรือปลอกแขนแดงกลุ่มใดกลุ่มนึงเสียอีก นั่นคือประเด็นแรกที่ทำให้ทัตรู้สึกกลัวจนขนลุกแผ่นหลังเย็นเฉียบด้วยความแตกต่างด้านจำนวน
ประเด็นที่สองคือตัวการที่นำหน้ามาสองคนนั้น ทัตอยากระบุตัวตนของพวกมันให้ได้
ระยะห่างนั้นไกลพอสมควร แต่ด้วยสเตตัสที่มีทำให้พอจะมองเห็นได้ลาง ๆ
…ยิ่งเป็นคนคุ้นหน้าด้วยก็ยิ่งแล้วใหญ่
“วู้ว! อยู่ในที่ใหญ่โตโอ่โถงแบบนี้ คงสบายน่าดูสิท่าพวกแก”
“เรื่องนั้นฉันไม่สนใจหรอก”
เพียงแต่คนคุ้นหน้าที่ว่านั้น… ไม่ใช่คนคุ้นหน้าในฐานะที่เป็นมิตรแต่เป็นตรงกันข้าม
“ฉันสนใจก็แค่ศพของไอ้ทัตกับน้องสาวมันแค่นั้น”
ชายร่างสูงใหญ่ชาวต่างชาติผิวคล้ำเพียงหนึ่งเดียวที่โดดเด่นกว่าใคร คือชายที่เคยประมือกับทัตเมื่อเกือบสัปดาห์ที่แล้ว… เจสันเอ่ยด้วยความหงุดหงิดจากความแค้นฝังรากลึก
“น่าเบื่อชะมัด… แต่เอาเถอะ”
ชายอีกคนคือหนุ่มเพลย์บอยโกรกผมสีน้ำเงิน เขายักไหล่ตอบเจสันที่เป็นคนของอีกกลุ่มเหมือนสนิทสนมกันมานานก่อนจะพูดต่อ
“เพราะยังไงฉันก็คิดจะถล่มมันให้เละทั้งกลุ่มอยู่แล้ว… ทุกคนที่นี่อ่ะนะ”
ชายอีกคนผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มพยัคฆ์ฟ้า… ดิวเอ่ยพร้อมกับเลียริมฝีปากราวหิวโหยในบางสิ่ง ไม่ยากแก่การคาดเดานักจากสายตากระหายเลือดของเขาในตอนนี้
❖❖❖❖❖