แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน – ตอนที่ 35 ถึงจะมีอีกตัว ก็ต้องจัดการม

แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน

ความมืด… ลักษณะอันพิศวงที่ผู้คนต่างรู้สึกไม่ดีเมื่อกล่าวถึงมัน เพราะรู้กันว่าเป็นสภาพที่สิ่งต่าง ๆ ไม่ชัดเจนจนจินตนาการเตลิดกลัวได้ง่ายในสภาพที่ไม่รู้เลยว่าอะไรจริงหรือไม่จริงเช่นนั้น

และความไม่รู้นี่แลที่มนุษย์กลัวนักหนา

นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนหวาดกลัวในราตรีกาล เพราะมันมักมากับสิ่งที่มองไม่เห็นและไม่รู้จัก

และสิ่งที่ไม่รู้จัก… ก็มักจะมาพร้อมกับสิ่งที่คาดไม่ถึง

“เฮ้อ… เมื่อยชะมัดเลยแฮะ ไอ้เศษเหล็กพวกนี้มันหนักไม่ใช่เล่นเลยจริง ๆ”

เรื่องหนึ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด คือเสียงบ่นของชายวัยกลางคนในชุดสูทยามค่ำคืนบนตึกแห่งหนึ่งกำลังเหวี่ยงแขนไปมาเหมือนตัวเองเพิ่งจะยกของหนักมาหมาด ๆ

แม้จะทำทีเป็นเหนื่อยอ่อน แต่น้ำเสียงนั้นก็ยังดูสบายเกินไปอยู่ดีเมื่อเทียบกับบรรยากาศการเอาชีวิตรอดของผู้คนด้านล่างที่กำลังกรีดร้องและถูกสัตว์ประหลาดจับกินเป็นอาหาร

“ฮื้ม〜 ฮืม〜”

นอกจากน้ำเสียงสบายใจเฉิบแล้ว เสียงฮัมเพลงที่หลุดมาจากลำคอยังดูน่าขนลุกด้วยบรรยากาศที่เป็นคนละทิศทางจากความโหดร้ายที่เกิดขึ้น

กระทั่งมีนกยักษ์หนึ่งในมอนสเตอร์ที่จับคนกินเมื่อครู่บินมาเกาะขอบตึกข้าง ๆ มันก็ยังไม่คิดจะทำอะไรชายคนนี้เลยด้วยซ้ำ ราวกับชายคนนี้มีอภิสิทธิ์เหนือมัน

หลังจากฮัมเพลงด้วยความพอใจ ชายคนนั้นยังกางนิ้วโป้งนิ้วชี้ทั้งสองมือประกบกันเสมือนกรอบรูปฉายไปทางทิศหนึ่งเบื้องล่างที่อยู่ห่างออกไป

และกึ่งกลางของกรอบนั้น… คือทัตกับพิมที่อยู่ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับอัศวินเกราะเหล็กทมิฬสองตัวพร้อมกันในชั้นหนึ่งของห้าง

“สองต่อสองกำลังดี… สำหรับ The One แล้ว Chivalry ตัวเดียวคงง่ายไปล่ะนะ”

ชายปริศนาในชุดสูทเอ่ยแล้วก็ยักไหล่ก่อนจะนั่งลงไขว้ห้างที่ขอบตึก ก่อนที่จะเหลียวไปหาเจ้านกยักษ์ที่เกาะอยู่ข้าง ๆ

“แต่รู้รึเปล่า? มี The One แค่สามคนเองมั้งที่เคยเอาตัวรอดจากเจ้าเศษเหล็กนั่นพร้อมกันสองตัวได้น่ะ”

“ก้า!!!”

เจ้านกยักษ์ได้ยินแล้วก็กระพือปีกตอบกลับอย่างร่าเริง ด้วยขนาดตัวที่สูงกว่าเกือบ 4 เท่าแทบนึกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นมิตรขนาดนี้ได้อย่างไร

แต่อย่างที่กล่าว… ชายคนนี้ใช้หลักเกณฑ์ปกติตัดสินไม่ได้ ไม่ว่าจะสิ่งที่เขาทำหรือสิ่งที่เขาเป็น

“ทีนี้ก็ต้องมาลุ้นกันล่ะ… ว่าไอ้เด็กนั่นจะไปได้ไกลถึงไหน”

ด้วยเหตุนั้น ทั้งที่ตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทัตต้องเจอกับสถานการณ์เสี่ยงตาย แต่เขากลับใช้น้ำเสียงแฝงความคาดหวังกับตัวทัตเสียอย่างนั้น

“น่าสนุกจริง ๆ”

ชายปริศนา… ลอร์ดของเหล่ามอนสเตอร์ยังไม่ลืมที่จะฉีกยิ้มด้วยความพึงพอใจต่อความคิดหวังที่สร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง

และไม่ว่าความคาดหวังนั้นจะเป็นอะไร… แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่ทัตจะตระหนักถึงได้ในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน

❖❖❖❖❖

————ในเวลาเดียวกัน , ทางฝั่งของทัต

สองตัว… Chivalry สองตัวเหรอ!?

จะบ้าบอไร้เหตุผลก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยเถอะ!

หลังจากการปรากฏตัวของอัศวินดำเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งตัว ทำให้สถานการณ์ที่ทัตและพิมกำลังเผชิญพลิกกลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันที

เพราะแบบนั้นความสับสนถึงกลับเข้ามาในหัวจนความคิดปั่นป่วนอีกครั้ง

ซู่ม!!!

…พร้อมด้วยความหวาดกลัวที่พรั่งพรูขึ้นเป็นทวีคูณ

ทั้งที่แค่จิตล่าสังหารของมันเพียงตัวเดียวก็ทำเอากลัวจนคิดวิธีรับมือเฉพาะหน้าไม่ออกแล้วแท้ ๆ พอพวกมันมีกันสองตัวความหวาดกลัวที่ทับซ้อนกันจากคนละฝั่งยิ่งทำให้ทัตกับพิมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกบดขยี้อยู่กลางจุดตัดของแม่น้ำสองสาย

ยิ่งในจังหวะที่เจ้าอัศวินดำตัวใหม่ชักดาบออกจากฝักเริ่มย่องเข้ามาทางทัตกับพิมด้วยก็ยิ่งแล้วใหญ่

“พิม! หนี!”

ทัตตัดสินใจออกมาในชั่วพริบตาเดียว ไม่มีคำตอบอื่นนอกจากนี้ ต่อให้ถูกครหาว่าขี้ขลาดแต่เขาก็ต้องพูด

กับศัตรูที่มีแค่ตัวเดียวก็แทบจะรับมือด้วยความเสี่ยงตายทุกการเคลื่อนไหวอยู่แล้ว คำตอบของการเผชิญหน้าพร้อมกันสองตัวจึงชัดเจนยิ่งกว่าชัดเจน

…ว่ามีแต่ตายกับตาย

“เข้าใจแล้ว!”

พิมได้ยินแบบนั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความอีกเพราะเธอเองก็เห็นด้วย

ทัตถึงได้รีบวิ่งเข้าไปจับข้อมือของพิมไว้แล้วรีบพาเธอออกวิ่งฉีกไปทางด้านข้างทันที อย่างน้อยพวกทัตก็ยังมีโชคอยู่บ้างตรงที่อัศวินตัวใช้โซ่ได้รับบาดเจ็บจนขยับไม่ได้ในจังหวะที่ต้องหนี

แต่โชคร้าย… คือพวกทัตยังมีสิ่งที่ไม่รู้อยู่อีกมากเกี่ยวกับเจ้าอัศวินดำพวกนี้

ซู่ม!!!

“ “!!!?” ”

ทัตกับพิมถึงเบิกตาโพลงในจังหวะที่เจ้าอัศวินดำใช้ดาบเงื้อขึ้นพร้อมกับออร่าสีดำทมิฬที่อาบร่างได้เริ่มไหลไปคลุมใบดาบ แผ่บรรยากาศชั่วร้ายคละคลุ้งไปทั่วจนทำเอาขาที่กำลังวิ่งชาจนขยับไม่ได้

แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด

ฟุ่บ!

เจ้าอัศวินดำฟาดดาบลงกับพื้นแบบไม่ให้ทันตั้งตัว

คลื่นการโจมตีสีดำทมิฬเดียวกับที่อาบร่างพุ่งเข้าหาพวกทัตกับพิมด้วยความเร็วปานลำแสง

“ทัต!!”

การโจมตีนั้นกระแทกเข้ากับร่างของทัตที่เอาตัวเข้ามาบังพิมจนเกิดแรงระเบิดเสียงสนั่นลั่นไปทั่วทั้งห้างพร้อม ๆ กับเสียงของทั้งสองคนที่หายไป

แม้ควันยังไม่หยุดฟุ้งกระจายเจ้าอัศวินดำก็ยังย่องเข้าหา

ไร้ความระแวดระวัง ไร้ความเกรงกลัว ไม่สงสัยเลยว่าอีกฝ่ายเป็นแค่แมลงที่อ่อนแอกว่าตน

แล้วมันก็ใช้ดาบฟันตรงจุดที่ทัตกับพิมเคยอยู่อย่างไร้ความเกรงกลัว

“…”

แต่เจ้าอัศวินดำก็ต้องยืนฉงน

…เพราะพริบตาที่ควันถูกแบ่งเป็นสองส่วน ที่ตรงนั้นก็ไม่มีใครอยู่แล้ว

❖❖❖❖❖

“แฮ่ก… แฮ่ก…”

เสียงหอบมาจากในลำคอของสาวน้อยอย่างพิม สภาพของเธอค่อนข้างโทรมเอาเรื่องเพราะฝุ่นผสมกับเหงื่อจนเหมือนไปลุยโคลนมา นอกจากนี้ยังมีรอยขีดข่วนจำนวนมากตามร่างกายจากเศษหินที่กระเด็นเข้ามากระแทกจากการโจมตีก่อนหน้านี้

แต่ที่สภาพแย่กว่า… คือทัตที่กำลังถูกเธอหิ้วปีกแล้วแอบหนีออกมาโดยใช้ฝุ่นควันเป็นเครื่องพรางตา

ร่างกายของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด แผลที่ฉกรรจ์ที่สุดคือบริเวณหน้าอกที่ถูกฟันสะพายแล่งผ่านเสื้อที่เสริมแกร่งมาแล้ว สำหรับการโจมตีปริศนานั่นไม่ว่าอุปกรณ์หรือเกราะเวทก็เป็นได้แค่กระดาษบาง ๆ เท่านั้น

และคงไม่ใช่ผลดีแน่หากยังเผชิญหน้ากับมันต่อ หากพิมไม่หาจังหวะย่องหนีไปทางออกลานจอดรถผ่านซอกร้านค้าล่ะก็ ป่านนี้สภาพของทั้งสองคนน่าจะยิ่งเลวร้าย

พอพิมแบกทัตเข้ามาในลานจอดรถได้จนถึงขอบกั้นตึก เธอก็รีบพยุงทัตนอนลงในทันที

“อึก!”

“ทัต! ทำใจดี ๆ ไว้ก่อนนะ!”

ไม่มีที่นอนดี ๆ พิมเลยใช้ตักของเธอเองเป็นหมอนหนุน ยิ่งเห็นทัตทำสีหน้าทรมานเพราะปกป้องเธอยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดใจ มือเลยเอื้อมมือไปกุมมือของทัตที่วางอยู่แน่น ซึ่งเขาเองก็กุมมือของพิมกลับมาแน่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาการบาดเจ็บมันน่ากลัวขนาดไหน

อย่างไรเสียทัตก็ไม่ได้โชคร้ายไปเสียหมด เพราะดูเหมือนแผลที่โดนฟันจะไม่ลึกผ่านกล้ามเนื้อไปถึงอวัยวะภายใน

“ดูเหมือนฉันจะดวงแข็งอยู่นะ” ทัตเองก็รู้เรื่องนั้นถึงได้ยิ้มแห้ง ๆ ออกมาด้วยความโล่งอก

“อย่าเพิ่งพูดสิ เดี๋ยวก็เจ็บแผลหรอก”

พิมเห็นแบบนั้นก็ยังขมวดคิ้วแน่นเป็นห่วงไม่หาย คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกดปากแผลเอาไว้

ทว่ารอบ ๆ กลับไม่มีผ้าดี ๆ เหลืออยู่เลย ยิ่งผ้าสะอาดยิ่งไม่ต้องพูดถึง

แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องหาอะไรมาซับเลือดให้แผลมันดูดีกว่านี้

“พะ พิม!”

ทัตถึงได้ตกใจมากในตอนที่พิมฉีกเดรสสีขาวของตัวเองส่วนที่เป็นกระโปรงออกจนสั้นคุดแล้วใช้ผ้าส่วนนั้นมาซับเลือดให้ทัต เลือดที่ไหลออกมาก่อนหน้าถึงถูกซับหายไปบ้าง

แต่… นั่นก็ยังไม่พอจะใช้พันแผลให้ทัต เธอก็เลยใช้มีดที่มีเฉือนเดรสส่วนที่เป็นเสื้อออกมาเพิ่ม ทัตที่กำลังนอนหนุนตักเธออยู่ถึงเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นจนต้องเบือนหน้าหนี และต่อให้ยังมีชุดชั้นในอยู่แต่พลังทำลายของหน้าอกอันอวบอิ่มนั่นก็ยังมากเกินไปอยู่ดี

“ถ้ายังหน้าแดงกับเรื่องแบบนี้ได้แสดงว่ายังแข็งแรงดีสิเนี่ย”

พิมยังมีอารมณ์ขันหยอกทัตเหมือนทุกที แต่เห็นได้ชัดว่าแก้มของเธอเองก็แดงระเรื่อไม่ต่างกันเลย

“นี่… ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น———”

“ช่างเถอะน่า ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านะ”

“…”

ครั้นจะออกปากห้ามด้วยความเป็นห่วง พิมก็บอกปฏิเสธออกมาก่อนจะทันได้พูดจบเสียอีก

ทัตเองก็พยายามมองพิมอยู่ว่าเธอจะลำบากใจรึเปล่า แต่สีหน้าของเธอมันจริงจังเกินความประหม่าไปแล้ว เธอกำลังให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเขามากกว่าสิ่งอื่นใด

นั่นเลยทำให้ทัตดีใจจนยิ้มออก ทำให้ความดีใจนั่นกลบเกลื่อนความประหม่าที่เขามีก่อนหน้านี้ไปด้วย

ต้องขอบคุณเรื่องนั้นบาดแผลของทัตเลยดูดีขึ้นมาหน่อย และอย่างน้อยเลือดก็เริ่มจะหยุดไหลแล้วด้วย แต่ถึงแบบนั้นพอทัตเลื่อนมือไปจับแผลตัวเองก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่

ในตอนนั้นพิมก็เลื่อนมือตัวเองเข้ามาสัมผัสมือนั้นของทัตอีกครั้ง

ด้วยสีหน้าเป็นห่วงและกังวลซึ่งไม่ได้จางคลายลงเลยจากทีแรก

“ถ้ามียาฆ่าเชื้อก็ดีสิ”

“เดี๋ยวตอนเช้าทุกอย่างก็กลับเป็นเหมือนเดิมแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องแผลติดเชื้อหรอก”

“…มันก็ใช่อยู่หรอก”

พิมได้ยินแบบนั้นสีหน้าก็ยิ่งหมองลงเพราะมันควรจะเป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้ว

แต่การลืมความจริงง่าย ๆ นั้นไปก็เป็นหลักฐานยืนยันว่าเธอกำลังหวั่นไหวหรือสับสน

…ไม่เช่นนั้นก็กำลังรู้สึกผิด

“ทัต… ขอโทษนะ เพราะฉันแท้ ๆ เลย นายถึง———”

“ช่างเถอะน่าเรื่องนั้นน่ะ”

พิมยังพูดได้ไม่ทันจบดีหนนี้ก็เป็นฝ่ายทัตที่รีบตัดจบประโยคนั้นลงแทน เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องต้องมานั่งโทษกัน

และที่สำคัญ… เขาทำแบบนั้นก็เพราะเขาอยากจะทำเอง การปกป้องผู้หญิงที่ตัวเองรักมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ทัตต้องการจะสื่อ

อาจเพราะสัมผัสเรื่องนั้นได้พิมเลยจำต้องยอมรับแต่โดยดี

ทั้งเพราะการปฏิเสธความพยายามของทัตมันเป็นเรื่องเสียมารยาท และเพราะมีเรื่องสำคัญอย่างอื่นให้ต้องคิด

ตึง! ตึง!

เสียงฝีเท้ากระทบพื้นที่ดังอย่างต่อเนื่องคือเครื่องย้ำเตือนถึงความจำเป็นในเรื่องนั้น สติของทัตกับพิมถึงกลับคืนมาเพราะรู้แล้วว่าเวลาพักยังมาไม่ถึง

“เรารีบหนีไปจากตรงนี้ดีกว่านะทัต” พิมว่าแบบนั้นแล้วก็เริ่มใช้มือรองคอทัตก่อนจะค่อย ๆ ช่วยเขาพยุงตัวขึ้นอีกครั้ง

พอถึงตรงนั้นทัตก็พยายามลุกขึ้นด้วยตัวเขาเองได้อยู่ แต่จะให้เคลื่อนไหวยาก ๆ หรือเร็ว ๆ ในตอนนี้คงลำบากเกินไปพิมก็เลยเข้ามาช่วยพยุงเหมือนเดิม

“เอาจริง ๆ นะ… ฉันว่าเธอไปหาเสื้อมาใส่ก่อนเถอะ”

เพราะแบบนั้นทัตก็เลยได้รับสัมผัสสุดวิเศษเข้าอีกครั้งแถมด้วยความแนบชิดที่มากกว่าเดิม

แต่เนื่องจากยังมีอันตรายจากพวกอัศวินดำเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวกว่า คำเตือนนี้จึงใกล้เคียงการทำไปเพื่อรักษามารยาทตามความเหมาะสมมากกว่าจะเป็นเพราะเขาเริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับพิม

“คิดเล็กคิดน้อยจังเลยนะนายเนี่ย”

“เอาเถอะน่า”

ทัตรีบตัดบทพิมที่กำลังยิ้มหยอก เห็นได้ชัดเลยว่าเธอจงใจกดหน้าอกตัวเองแนบไปกับตัวเขา

ให้ตายสิ…

ทัตบ่นอุบอยู่ในใจ แต่ก็คิดว่าโชคดีแล้วที่ใช้น้ำเสียงจริงจังไปพิมถึงได้ยอมทำตาม

พิมจึงใช้ศอกกระแทกเข้าใส่กระจกรถยนต์คันที่กำลังเดินผ่าน โชคร้ายที่ในรถคันนั้นมีแต่เสื้อเบลเซอร์ที่เนื้อผ้าหนาระบายอากาศได้ยาก แต่ยังไงมันก็ดีกว่าการสวมแค่ชุดชั้นในอย่างเดียว

เห็นแบบนั้นทัตก็เลยถอนหายใจออกมาได้อย่างปลอดโปร่งเสียที

แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากเหมือนกันว่าเป็นเพราะโล่งใจหรือเสียดาย

“แล้วจะเอายังไงต่อดีล่ะ?”

พิมกลับมาเอ่ยถามในตอนที่ทุกอย่างเข้าที่ทำให้ทัตรีบขจัดความคิดฟุ้งซ่านพวกนั้นทิ้งไปให้หมด

แต่ถึงจะทำแบบนั้นไปแล้ว คำตอบของปัญหาที่เผชิญกลับไม่ได้ปรากฏเข้ามาแทนที่ มันไม่เคยง่ายแบบนั้น

สภาพในตอนนี้จะสู้ให้ชนะน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก

งั้น… ก็ต้องหนีงั้นเหรอ?

ทัตหยิบตัวเลือกกว้าง ๆ มาเทียบกันสองอย่าง

คิดตามปกติการหนีก็คงจะมีโอกาสรอดสูงกว่าจากสภาพของทัตในตอนนี้ แต่ว่า…

แต่ว่า… นั่นมันไม่สำเร็จหรอก

ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แต่พวกมันสามารถมองเห็นสกิลพรางกายของเราได้

นอกจากนี้ ต่อให้หนีไปที่ไหน มันก็ยังสามารถติดตามมาได้ทุกที่ยังกับพวกมันรู้ว่าเราอยู่ไหน

พูดตามตรง… กับเวลาที่เหลืออีกสิบชั่วโมง โอกาสจะหนีให้รอดจนอาทิตย์ขึ้นน่ะแทบไม่มีเลย

แต่จะให้สู้กับพวกมันที่ตอนนี้มีสองตัวก็ลำบากไม่ต่างกันเลย

ทางเลือกก็เลยมีแค่สองอย่าง…

“จะเสี่ยงตายเพื่อหนี หรือเสี่ยงตายเพื่อสู้” ทัตพึมพำแบบนั้นเหมือนเสียงหลุดรอดผ่านความคิดมาทางลำคอทำให้พิมขมวดคิ้ว

“พิม… เธอคิดว่าอย่างไหนมีโอกาสรอดเยอะกว่ากัน”

พิมยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นเมื่อทัตถามความเห็นเธอ เพราะไม่ว่าทางเลือกไหนก็เป็นเรื่องแย่ทั้งนั้นโดยเฉพาะสำหรับทัตที่กำลังบาดเจ็บ

แต่ถ้าคิดในอีกแง่ที่ว่า ‘แบบไหนควบคุมผลลัพธ์ได้ง่ายกว่า’ คำตอบก็จะชัดเจนมากขึ้น

“สู้… เสี่ยงน้อยกว่า”

พิมถึงตอบแบบเดียวกับที่ทัตคิด แต่ก็เป็นคำตอบที่ต้องกัดฟันพูดเพราะเธอไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เนื่องจากพิมรู้ว่าทัตในตอนนี้ไม่เหลือแรงพอจะหนีได้ในระยะไกล ๆ

กล่าวคือหากพิมตัดสินใจว่าจะหนี โอกาสรอดก็มีแต่ต้องทิ้งทัตเอาไว้ซึ่งนั่นไม่อยู่ในตัวเลือกของพิมแน่ ๆ

ทางเลือกที่จะทำให้รอดชีวิตไปด้วยกันทั้งคู่ จึงถูกบังคับให้ต้องสู้กับพวกมันเท่านั้น

“แต่ว่า… ทัต…”

และเพราะรู้ว่านั่นเป็นทางเดียว ความกังวลถึงเริ่มเกาะกุมหัวใจของสาวน้อยอย่างพิมอีกครั้ง ไม่น่าแปลกใจที่เป็นแบบนั้นเพราะทั้งสองคนยังนึกวิธีที่จะเอาชนะมันพร้อมกันไม่ได้

“ถ้ามีวิธีแยกสองตัวนั้นออกจากกันก็ดีสิ เพราะถ้าเป็นสองต่อหนึ่งเราก็ยังพอจะเอาชนะได้อยู่” พิมบ่นแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจ

“นั่นเป็นกรณีที่สภาพฉันสมบูรณ์น่ะนะ”

เช่นเดียวกับทัตที่พูดด้วยความลำบากใจไม่น้อย เพราะความยากของสถานการณ์ในตอนนี้คือพลังรบของทัตถูกลดลงด้วยอาการบาดเจ็บ แม้แต่การต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งจึงนับว่ายากกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก

“แต่ถ้าได้พักสักหน่อย ถึงจะไม่เต็มร้อยก็พอจะได้เปรียบอยู่บ้างล่ะมั้ง”

“งั้นตอนนี้เราหนีไปชั้นอื่นกันก่อนดีกว่าไหม”

พิมเสนอแบบนั้นทัตก็พยักหน้ารับตาม สำหรับการหนีในระยะเวลาสั้น ๆ แบบนี้คงพอช่วยถ่วงเวลาไปได้สักพัก พิมจึงค่อย ๆ แบกทัตเดินลงทางวนสำหรับขับรถลงไปยังชั้นล่างในขณะที่คุยเรื่องแผนไปด้วย

“งั้นถ้าแยกพวกมันออกจากกันไม่ได้ ก็หาวิธีกำจัดทั้งสองตัวในเวลาเดียวกันแทนดีไหม?” พิมเป็นฝ่ายเสนออีกครั้ง แต่นั่นก็ยังทำให้ทัตขมวดคิ้วอยู่

“…ไม่อยากจะทำลายกำลังใจหรอกนะ แต่นั่นน่าจะยากกว่าการแยกพวกมันอีก”

พอทัตพูดแบบนั้นออกมาพิมก็เริ่มครางบ่นผ่านลำคอ

แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะยะ! สีหน้าของเธอเหมือนกับจะแยกเขี้ยวขู่แบบนั้น ทำเอาทัตยิ้มแห้งแต่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดเพราะเขาก็พูดตามความเป็นจริง

“ไม่สิ…” กระทั่งคำพูดของพิมทำให้ทัตฉุกคิดอะไรได้ขึ้นมา

“ทำลายในทีเดียว… แยกกัน…”

หนนี้เลยกลายเป็นทัตที่บ่นพึมพำในลำคอแทน สีหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็จริงจังมาก ลักษณะพิเศษที่ลืมเรื่องรอบตัวไปหมดแล้วจมอยู่กับความคิดตัวเองนั่นทำให้พิมรู้ได้ทันทีว่าทัตกำลังคิดเรื่องสำคัญบางอย่างอยู่

“ฉันคิดแผนเอาชนะพวกมันทั้งสองตัวได้แล้ว”

“!!?”

แล้วจู่ ๆ ทัตก็เอ่ยแบบนั้นขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังเอาเรื่อง ทำเอาพิมที่ได้ยินเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ

“จริงเหรอ? ยังไงอ่ะ?” พิมถึงได้แสดงท่าทีสนอกสนใจทันที แต่พอเธอเบียดตัวเข้ามามันก็ทำให้ทัตกลับมาเขินอีก

เขาเลยต้องกระแอมเสียงปรับอารมณ์เสียก่อนจะเข้าเรื่องสำคัญ

❖❖❖❖❖

เสียงเหล็กกระแทกพื้นยังคงดังอย่างต่อเนื่องราวกลองศึกถูกตีกลางห้างใหญ่มาจากพวกอัศวินดำ

หลังจากที่ทัตกับพิมหนีพวกมันไปเกือบครึ่งชั่วโมง ทั้งสองตัวก็เดินวนอยู่ในห้างมานานสองนานเพราะสัมผัสได้ว่าทัตกับพิมยังอยู่รอบ ๆ แต่กลับไม่พบตัว ซึ่งสาเหตุของเรื่องนั้นก็คือทัตกับพิมพยายามหนีไปรอบ ๆ โดยมีตัวห้างเป็นจุดศูนย์กลางนั่นแหล่ะ

เรื่องนั้นนับเป็นผลงานของทัตกับพิมที่เดาได้ก่อนแล้วว่ามอนสเตอร์ Chivalry น่าจะรู้ตำแหน่งของเป้าหมาย พวกเขาถึงสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของพวกมันได้ในระดับนึง

แต่แผนการนั้นก็ใช้การไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง

ในเมื่อเจ้าอัศวินดำตัวใช้โซ่ที่เดินขาเดียวมาตลอดเริ่มตั้งหลักเดินสองขา พริบตานั้นพวกมันสองตัวก็เดินแยกกันทำให้ระยะการค้นหากว้างขึ้นสองเท่าตัว

ทว่า…

“เฮ้ย! ไอ้เศษเหล็ก!!! ฉันอยู่ทางนี้โว้ย!!!”

เสียงของทัตดังขึ้นจากชั้นสองของตัวห้างในจุดที่อยู่ใกล้กับตัวใช้โซ่อย่างจงใจ

พริบตานั้นพวกมันก็หันมาทางทัตพร้อมกันทั้งสองตัว การถูกดวงตาสีแดงฉานพวกนั้นจดจ้องไม่ใช่สิ่งที่จะเคยชินจนทำเอาขาสั่น

แต่จะให้หยุดแค่นั้นคงไม่ได้ ทัตจึงกลั้นใจกระโดดลงไปยังชั้นหนึ่งด้วยความกล้าหาญที่เหลืออยู่

เพื่อเผชิญหน้าอัศวินทมิฬยักษ์สองตัว

“จ้องเขม็งเชียวนะพวกแก” ทัตพูดไปพลางเหงื่อตกไปพลางด้วยรอยยิ้มแห้ง

อัศวินดำทั้งสองตัวเห็นการท้าทายก็ย่ำสามขุมเข้าหาไร้การรีรอ

…ดังเช่นที่ทัตต้องการ

ต้องแบบนี้สิ!

ยืนยันได้แน่แล้วว่าตัวเองสามารถดึงความสนใจของพวกมันได้ ทัตก็รีบถีบพื้นออกวิ่งเข้าไปยังใจกลางห้างก่อนที่มันจะเข้าประชิดตัว พวกมันเองก็ถีบพื้นวิ่งเข้าหาด้วยความเร็วที่น่าพรั่นพรึงตามเคยแต่ไม่อาจตามทัตที่อาบเวทเกราะธาตุสายฟ้าได้ทัน

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงลานกว้างกลางห้างสรรพสินค้าที่ชั้นหนึ่ง ทัตจึงวิ่งลงบันไดไปยังชั้นใต้ดินของห้างตามแผน แต่เจ้าอัศวินดำตัวใช้ดาบก็ฟันพื้นชั้นหนึ่งขาดสะบั้นลงมาดักรอทัตก่อนเสียอย่างนั้น

เวลาที่ชะงักเท้าเพราะกลัวจะเข้าไปใกล้ดันเป็นจังหวะเดียวกับที่ตัวใช้โซ่เดินตามลงมาจากบันไดเลื่อน ทำให้ทัตจนมุมเพราะถูกดักทั้งหน้าและหลังทำเอาเขาขมวดคิ้วแน่นด้วยความกังวล

แต่ถึงตกอยู่ในสถานการณ์ราวกับหนูติดจั่น… ทัตกลับฉีกยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น

“ตอนนี้แหล่ะพิม! เอาเลย!!!!”

เสียงของทัตตะโกนลั่นสะท้อนไปจนถึงชั้นหนึ่ง ทำให้พิมที่รอสัญญาณอยู่จากชั้นบนมาตลอดเริ่มอาบมีดในมือด้วยเวทลมก่อนที่จะยิงออกไปรอบทิศหลายต่อหลายครั้ง

โดยมีเป้าหมายเป็นเสาหลักค้ำอาคารที่อยู่รอบ ๆ บริเวณที่ทัตและอัศวินดำสองตัวยืนอยู่

พริบตานั้นเสาหลักหนา ๆ ก็ถูกคลื่นเวทลมอันคมกริบดุจใบมีดเฉือนเป็นชิ้น ๆ จนไม่อาจรับน้ำหนักได้ ชั้นสองจึงตกร่วงลงมาที่ชั้นหนึ่ง และเมื่อชั้นสองถล่มลงมา ชั้นสามที่ไร้จุดค้ำก็ย่อมถล่มลงมาตาม

ความเสียหายส่งต่อราวโดมิโน่ในแนวตั้งเกิดขึ้นตั้งแต่ชั้นบนสุดร่วงตกลงมากระแทกที่ชั้นหนึ่งจนทะลุลงไปถึงจุดที่ทัตอยู่ด้วยพลังงานศักย์โน้มถ่วงจากชั้นบนสุดของตึก

เห็นดังนั้นทัตจึงรีบถีบพื้นหลีกออกจากบริเวณนั้นในตอนที่การถล่มดึงดูดความสนใจของพวกมันเอาไว้ เพดานที่ถล่มลงมาเองก็ไล่หลังเขามาติด ๆ จึงไม่อาจหยุดเท้าได้จนกว่าจะวิ่งย้อนไปจนถึงจุดที่ความเสียหายมาไม่ถึง

ทั้งที่ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ว่า…

“เฮ้ย ๆ! นี่มันมากกว่าที่คิดไม่ใช่รึไงวะเนี่ย!!!?”

แต่ความเป็นจริงนั้นมีเรื่องเหนือคาดเสมอ เพราะเพดานยังถล่มไล่หลังเขามาเรื่อย ๆ โดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลงเลย

ทัตถึงได้สบถเพราะความเสียหายเริ่มกินวงกว้างในแนวนอนตามไปด้วย เขาจึงต้องเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าหาบันไดขึ้นชั้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนที่จะตายเพราะถูกทับเหมือนกับพวกมัน

“ทัต! มาทางนี้เร็ว!!!”

แล้วที่สุดปลายบันไดก็มีพิมยื่นมือรอเขาอยู่

ทัตจึงถีบพื้นเต็มแรงขึ้นไปหาเธอก่อนที่เพดานจะถล่มลงมาทับได้ทัน ฉิวเฉียดกับที่พิมโอบรับทัตที่พุ่งเข้าหาได้พอดิบพอดี

ตู้ม!!!

เสียงถล่มไล่หลังมา น่าหวาดเสียวพอ ๆ กับฝุ่นที่คลุ้งทะลุบันไดขึ้นมาเหมือนปล่องควันทำเอาทัตกับพิมเซจนล้มลงไปกองกับพื้น

แต่พอตั้งหลักได้ ทั้งสองคนก็รีบยืนขึ้นเพื่อยืนยันผลลัพธ์ทันที

“ไม่คิดเลยนะเนี่ย… ว่ามันจะพังพินาศได้ขนาดนี้” พิมเห็นผลงานตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้ง เพราะนี่มันเกินกว่าที่คาดไว้มาก

ยิ่งได้อยู่ในจุดที่เป็นขอบตัดระหว่างพื้นที่พังลงไปกับห้างส่วนที่เหลือก็ยิ่งรู้สึกแบบนั้น

เบื้องหน้าของทั้งคู่กลายเป็นตึกที่ถล่มลงมาจนข้างบนเห็นท้องฟ้าตอนกลางคืน ส่วนพื้นด้านล่างกลายเป็นหลุมยุบลงไปเหมือนกับกำลังยืนอยู่บนขอบหน้าผาที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทำเอาทัตกลืนน้ำลายไม่อยากจินตนาการถึงกรณีที่ตัวเองหนีขึ้นมาไม่ทัน

แต่การคิดแบบนั้นมันไม่จำเป็นอีกแล้ว ในเมื่อแผนที่วางเอาไว้มันสำเร็จลงด้วยดี

“แต่ยังไงก็ตาม… ดูเหมือนแผนจะสำเร็จนะ”

หลังถอนหายใจด้วยความโล่งอกทัตก็เริ่มจะยิ้มได้เพราะผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจ ทำให้พิมพลอยยิ้มด้วยความปลอดโปร่งตามไปด้วย

“นั่นสิน———ไม่สิ เดี๋ยวก่อน!”

“!!?”

แต่ในพริบตาที่คิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว มือเกราะเหล็กที่พันด้วยโซ่กลับพุ่งทะลุพื้นซากตึกถล่มขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทำเอาทัตและพิมกลับมาตัวสั่นงันงกด้วยความสับสนอีกครั้ง

แย่แล้ว! ถึงจะมีคิดเผื่อไว้ว่าอาจจะไม่ได้ผลก็เถอะ แต่โชคนี่ไม่เคยจะเข้าข้างเลยรึไงเนี่ย!?

ทัตบ่นอุบแต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ช่วยอะไร

เขาจึงขมวดคิ้วกำหมัดแน่น

ซู่ม!!!

หลังกลั้นใจทิ้งความกลัวที่มีไปแล้ว ทัตก็จัดการใช้ท่าไม้ตายก้นหีบอย่างสกิลเสริมพลังกายและเสริมพลังเวทอาบทั่วร่างเป็นออร่าสี่ชั้นที่จะเพิ่มความสามารถทุกอย่างของเขาขึ้นจนถึงขีดสุดในทันทีที่ตั้งสติได้

“ทัต คิดจะทำอะไรน่ะ!?”

“ไอ้อีกตัวมันต้องยังไม่ตายแน่ เธอดึงความสนใจมันไว้แล้วรอฉันกลับมานะ”

ทัตไม่เสียจังหวะอธิบายพิมจึงบอกแค่ส่วนที่เธอต้องทำ เพราะการตัดสินใจในสถานการณ์แบบนี้จะช้าไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว เขาจึงหยิบแผนรับมือแรกที่คิดออกมาใช้ทันที

แต่ถึงจะไม่อธิบาย พิมก็เข้าใจดีอยู่แล้วว่าทัตตั้งใจจะสู้กับอัศวินดำตัวที่ใช้โซ่นั่นแบบตัวต่อตัว นั่นเป็นหนทางที่มีโอกาสชนะที่สุดสำหรับทัตผู้มีสเตตัสสูงกว่าคนปกติในเลเวลเดียวกัน

แต่… ยิ่งรู้แบบนั้น มีหรือที่เธอจะเห็นด้วย

“เดี๋ยวสิ แผลนายยังไม่หายเลย แบบนั้นมัน———”

“ไม่มีเวลาแล้ว เชื่อใจฉันทีเถอะ!”

ทัตรู้จึงชิงพูดขัดขึ้นมาก่อนไม่อย่างนั้นพิมคงไม่ยอมแน่ แต่ถึงเธอจะไม่ยอมทัตก็ไม่คิดจะฟังอยู่แล้ว เพราะถ้าปล่อยให้ทั้งสองตัวขึ้นมาสู้กันแบบสองต่อสอง พวกทัตทั้งสองคนไม่มีทางรอดแน่

ทัตถึงจ้องเข้าไปในดวงตาของพิม อีกครั้งที่พยายามทำให้พิมเข้าใจและหวังว่าเธอจะยอมทำตามแม้จะเป็นคำขอที่ยากจะยอมรับก็ตาม

พิมเห็นแบบนั้นก็เหนื่อยใจไม่เบา แต่… เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางอื่นแถมที่ทัตทำไปก็เพื่อลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดด้วย

และที่สำคัญที่สุด… ทัตแสดงสายตามุ่งมั่นออกมาเสียขนาดนั้นเธอจะไปกล้าปฏิเสธได้อย่างไร

“ถ้านายตายฉันจะไม่ยกโทษให้แน่”

“อา ไว้ใจได้เลย”

พิมถึงยิ้มส่งแห้ง ๆ แม้จะไม่เต็มใจแต่อย่างน้อยก็เป็นรอยยิ้มส่งที่สร้างกำลังใจให้มาก

ตู้ม!!!

เมื่อหมดห่วงไปหนึ่งเรื่อง ทัตจึงถีบพื้นพุ่งออกไปในจังหวะนั้นเต็มแรงอย่างไร้ความลังเลใดอีก

ในแววตาของเขาตอนนี้มีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น

…คือการอัดเจ้าอัศวินดำที่โผล่หัวขึ้นมานี้ให้เละ

“มานี่เลย!!!”

ด้วยความเร็วมหาศาลที่ถูกอัพเกรดทำให้ทัตเข้าประชิดในได้ในพริบตา

เขาจัดการร่ายเวททั้งเพลิงและสายฟ้าอาบหมัดก่อนที่จะอัดใส่หมวกเหล็กของเจ้าอัศวินดำเต็มแรงจนทั้งร่างของมันกระเด็นหลุดออกมาจากซากตึก นี่เป็นครั้งแรกที่หมัดของทัตสร้างความเสียหายให้กับมันได้รุนแรงมากพอจนถึงขนาดเจ้าอัศวินดำกระดอนกับพื้นหลายตลบถึงขั้นกระเด็นออกไปข้างนอกตัวห้างเลยทีเดียว

“!!!?”

แต่ในจังหวะเดียวกัน โซ่ของเจ้าอัศวินดำก็โผล่มาจากไหนไม่รู้แล้วก็จัดการมัดเท้าของทัตทำให้ร่างของเขาถูกดึงไปด้วยจากการที่มันแอบปล่อยโซ่ทิ้งไว้

เจ้าอัศวินดำที่ทำได้ตามแผนพลิกตัวกลางอากาศก่อนจะกลับมายืนได้อย่างสง่า ในขณะที่ทัตเป็นฝ่ายถูกดึงเข้าหามันแทน แม้จะลองใช้เวทลมที่มีความคมที่สุดใส่หรือใช้ความร้อนจากเวทยิงธาตุไฟใส่ก็ไม่ได้ผล

และมันยังไม่จบแค่นั้น… มืออีกข้างของเจ้าอัศวินดำกำลังถือใบขวานที่ติดปลายโซ่อยู่ แถมยังง้างเตรียมจะสับทัตที่กำลังถูกดึงเข้ามาอีกด้วย

“เวรเอ้ย!”

ทัตสบถด้วยความหงุดหงิดที่ติดกับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้เป็นอย่างที่ศัตรูต้องการ

พอถูกดึงเข้าไปใกล้ ทัตถึงจัดการสร้างกำแพงลมขึ้นกลางอากาศแล้วเหยียบพื้นเปลี่ยนทิศไปทางอื่นจึงหลบขวานที่พุ่งเข้ามาได้อย่างฉิวเฉียด

แต่ปัญหา… คือโซ่ที่มัดข้อเท้าเขาอยู่ไม่มีท่าทีจะคลายลงเลย และถ้ายังไม่รีบปลดออกล่ะก็ มีหวังได้กลายเป็นเป้านิ่งให้มันเหวี่ยงเล่นอีกแน่

เอาจริงเหรอวะเนี่ย? บ้าชิบ!

ในตอนนั้นทัตก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัว เป็นความคิดบ้า ๆ ที่ไม่น่าทำ

เวรเอ้ย! เวรเอ้ย! เวรเอ้ย! เวรเอ้ย! เวรเอ้ย!

ทัตสบถเหมือนไม่อยากยอมรับความจริงและหวังว่าจะมีทางอื่นที่ดีกว่านี้

แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เวลาเองก็ไม่เหลือเช่นกัน

ในพริบตาที่เท้าลงพื้น ทัตถึงจำใจเลื่อนมือเปลี่ยนจุดที่เล็งเป้าเวทยิงธาตุลมจากที่เคยเล็งโซ่… ไปเป็นที่ข้อเท้าของตัวเองแทน

ฉั๊ว!!!

“อึกกกกกกก!!!!”

เสียงคมมีดตัดผ่านข้อเท้ามาพร้อมกับความเจ็บปวดที่มากเกินจะรับไหว แต่ถึงแบบนั้นก็ต้องพยายามใช้ขาซ้ายที่เหลืออยู่ถีบพื้นหนีออกมาจากจุดนั้นก่อน

“อึก… ทำไว้แสบมากนะมึง!!!”

ถูกกดดันจนถึงขั้นนี้ยิ่งทำให้ความโกรธทะลุปรอท ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่เพราะมันทำให้ความหวาดกลัวที่มีต่อสกิลจิตล่าสังหารหายไปจนเกือบหมด จะว่าความโกรธทำให้คนหน้ามืดตามัวก็คงไม่ผิด

“อ้ากกกกกกกกกกก!!!”

เลือดที่กำลังไหลไม่มีผ้าให้ปิด ทัตถึงต้องกลั้นใจใช้เวทไฟเผาปากแผลให้ปิดสนิทแล้วใช้เวทดินสร้างเท้าจำลองปิดทับขึ้นมาแทนไปก่อน แม้จะมีปัญหาเรื่องการติดเชื้อตามมาทีหลังเพราะไม่ได้ทำความสะอาดปากแผล

แต่ปัญหาในตอนนี้… สิ่งเดียวที่ทัตคิดในตอนนี้ไม่มีเรื่องเล็กน้อยพวกนั้นในหัว

สิ่งเดียวที่ปะทุอยู่ในใจตอนนี้ มีแต่ความโกรธเกรี้ยวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“เข้ามาสิวะ!”

ทัตที่ตั้งหลักได้แล้วถึงลับประสาทสัมผัสให้เฉียบคมเต็มที่ ร่ายเวทธาตุไฟในรูปของหอกเพลิงจำนวนมากไว้เบื้องหลังพร้อม ๆ กับที่ยั่วยุศัตรู

ตั้งท่าพร้อมจัดการอัศวินเกราะเหล็กทมิฬตรงหน้าด้วยทุกอย่างที่เขามี

แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน

แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน

Status: Ongoing
ทัตได้เข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ประหลาดที่โลกจะเปลี่ยนเป็นเกมเอาตัวรอดจากมอนสเตอร์สุดโหดในตอนกลางคืน เขาจำต้องอัพเลเวลและกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะภัยอันตรายไม่ได้มีเพียงแค่มอนสเตอร์เท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท