เหล่าไท่ไท่กระจ่าง ยื่นชามใบนั้นไปให้โจวต้าไห่ โจวต้าไห่รับมา แต่ครั้นก้มลงมอง บะหมี่ขาวๆ หนึ่งชาม ในนั้นยังมีไข่กับหมูอีกแน่ะ
ถึงจะเป็นหมูไร้มัน แต่ก็มีหมูอยู่เต็มชาม
โจวต้าไห่สะดุ้งในใจ รีบยกไป เงยหน้าจะกล่าวกับน้องสาวตัวเอง แต่โจวกุ้ยหลานกำลังก้มหน้าตักอีกชาม
“ยังมัวทำอะไรอยู่? หยิบตะเกียบของตัวเองแล้วไปนั่งกินที่โต๊ะในห้องโถงสิ!”
เหล่าไท่ไท่อดตะคอกใส่ไม่ได้ จากนั้นจึงยกชามบะหมี่ของตัวเองออกไปที่ห้องโถง
เจ้าลูกชายโง่งม ยังเป็นลูกสาวเสียอีกที่มองแล้วรื่นตา!
เมื่อเข้าห้องโถงก็เห็นสวีฉางหลินกำลังหยิบผ้าขี้ริ้วเช็ดโต๊ะอยู่ นางอดยิ้มเป็นไม่ได้ “ฉางหลิน รีบไปกินบะหมี่เถอะ ไม่ต้องทำแล้ว”
สวีฉางหลินรับคำ “ท่านแม่นั่งตรงนี้เถอะ ข้าเช็ดเก้าอี้แล้ว”
“ได้ๆๆๆ!” เหล่าไท่ไท่รับคำ นั่งอยู่หน้าโต๊ะ วางชามลงแล้วเงยหน้ามองเจ้าก้อนน้อยที่กำลังนั่งยองอยู่กับพื้นและกำลังมองนางด้วยความหวาดๆ หวั่นๆ
วันนี้เหล่าไท่ไท่เห็นเด็กคนนี้แล้วกลับรู้สึกเติบโตได้ดีนัก อื่ม ถ้าเด็กคนนี้เป็นบุตรที่เกิดจากบุตรสาวนางก็ดีสิ
และควรให้บุตรสาวตนเองมีบุตรได้แล้ว แต่งงานนานขนาดนี้ ไม่มีข่าวคราวสักนิด!
สวีฉางหลินเรียกเจ้าก้อนน้อยทีหนึ่ง เจ้าก้อนน้อยลุกขึ้นมา สาวเท้าไปอยู่ข้างตัวสวีฉางหลิน แล้วเข้าห้องครัวไปพร้อมกับเขา
พวกเขาเพิ่งเข้ามา โจวต้าไห่ก็ยกชามบะหมี่ออกมาชามหนึ่ง นั่งข้างมารดาตน
เหล่าไท่ไท่ไม่สนใจเขา รับประทานของตัวเอง
โจวต้าไห่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก คีบบะหมี่ของตัวเองรับประทาน
เพิ่งเข้าปากคำเดียวก็รู้สึกว่าบะหมี่นี่อร่อยเป็นพิเศษ ราวกับเป็นบะหมี่เลิศรสที่สุดเท่าที่เขารับประทานมา
ไม่นาน โจวกุ้ยหลานก็พาเจ้าก้อนน้อยออกมา สวีฉางหลินก็ตามออกมาด้วย ยกบะหมี่สองชามอยู่ในมือ
ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะสี่เหลี่ยมรับประทานบะหมี่ โจวกุ้ยหลานสนทนาหัวเราะกับเหล่าไท่ไท่ สวีฉางหลินก้มหน้าก้มตากิน โจวต้าไห่สอดปากด้วยสติปัญญาและเหมาะสมแก่โอกาส ทว่ากลับไม่มีใครสนใจเขา อึดอัดจังเลย
เขาอยากพูดว่าพรุ่งนี้จะมาช่วยเผาถ่าน แต่พวกเขาไม่ให้โอกาสเขาเลย…
หลังจากรับประทานบะหมี่เสร็จ สวีฉางหลินก็แย่งชามของโจวต้าไห่ไปที่ห้องครัว แล้วตักมาให้เขาอีกชามหนึ่งเต็มๆ ยกมาวางตรงหน้าโจวต้าไห่
โจวต้าไห่สงบเสงี่ยมมาก จนด้วยหนทางจึงต้องรับประทานต่อ
ทีแรกเขาอยากรับประทานเพียงชามเดียว แต่บะหมี่ที่มีหมูมีไข่เขาไม่เคยรับประทานมาก่อน…
เขาไม่อิ่ม ดังนั้นจึงตักมาอีกชาม…
คิดๆ บะหมี่ในชามถูกเขารับประทานหมดอีกแล้ว
เหล่าไท่ไท่ก็รับประทานต่อกันสามชามใหญ่เหมือนกัน อิ่มจนแน่นท้องแล้วจึงได้แต่หยุด
โจวต้าไห่รับประทานต่อกันถึงสี่ชามใหญ่ แน่นท้องไปหมด โบกมือว่าไม่เอาแล้ว
หลังจากทุกคนในครอบครัวรับประทานเสร็จ ในหม้อยังเหลือบะหมี่อีกสองชาม นางจึงตักใส่ชามใบใหญ่ให้เหล่าไท่ไท่นำกลับไปรับประทานเช้าวันพรุ่งนี้ พุดดิ้งนั้นก็ตักใส่สองถ้วยใหญ่ด้วย ให้พวกเขากลับไปแล้วรับประทานก่อนนอน
หลังจากส่งสองคนนี้ถึงหน้าประตู โจวต้าไห่เห็นว่าจะต้องกลับแล้วจึงรีบเอ่ย “พรุ่งนี้ข้าจะมาเรียนเผ่าถ่านกับน้องเขย!”
“ไอ้หยา เจ้าคิดได้เสียที!” เหล่าไท่ไท่ดีใจจนดวงตาน้อยๆ ส่องประกาย
โจวกุ้ยหลานยิ้มรับ พอกำชับให้พวกเขามาแต่เช้าในวันพรุ่งนี้แล้วจึงกลับไปต้มน้ำอาบที่เตาไฟ
เมื่ออาบน้ำเสร็จ นางก็หยิบพุดดิ้งรับประทานด้วยกันสามคนในครอบครัวก่อนจะไปบ้วนปากล้างมือ
รอจนนางทำธุระเสร็จนอนบนเตียงถึงได้รู้ว่าผ่านไปหนึ่งวันแล้ว…
“พริบตาเดียวก็ผ่านไปเป็นวันๆ แล้ว!” โจวกุ้ยหลานอดสะท้อนใจไม่ได้
ชาติก่อนทุกวันนอกจากกินข้าวทำงาน เวลาที่เหลือก็เล่นโทรศัพท์มือถือกับคอมพิวเตอร์ หลายๆ ครั้งยังรู้สึกเบื่อหน่าย
แต่ในยุคที่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเทคโนโลยี นางกลับเต็มไปด้วยสาระทุกวัน ไม่เคยคิดเรื่องเบื่อหน่ายหรือไม่เบื่อหน่ายเลย
สวีฉางหลินยื่นมือข้ามเจ้าก้อนน้อยที่อยู่ตรงกลาง จับมือของโจวกุ้ยหลาน
เมื่อรู้สึกถึงอุณหภูมินั้น โจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้ปฏิเสธ ปล่อยให้เขาจับ
“กุ้ยหลาน การเข้าหอของเราล่าช้ามาสองเดือนกว่าแล้ว”
ท่ามกลางความมืดมิด น้ำเสียงของสวีฉางหลินแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่
นางตบแต่งภรรยาแล้ว ทั้งยังได้นอนบนเตียงเตา แต่ผลลัพธ์คือไม่เคยเข้าห้องหอเลย นี่เป็นความทรมานอย่างหนึ่งสำหรับเขา
“อ้อ” โจวกุ้ยหลานตอบกลับอย่างโหดร้าย
สวีฉางหลินใช้นิ้วเล่นมือของนาง “เมื่อไรพวกเราจะได้เข้าหอ?”
“นี่เจ้าควรถามเสี่ยวเทียนนะ ว่าเขายินดีหรือไม่” โจวกุ้ยหลานตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์อีกครั้ง
เมื่อครู่กว่าจะได้อารมณ์เศร้าสลบสักหน่อย พ่อคนนี้ก็โพล่งมาเบนประเด็น ช่างเป็นคนไม่รู้จักเรื่องบรรยากาศเอาเสียเลย!
“เขาหลับแล้ว อีกอย่าง เขาตัดสินใจแทนข้าไม่ได้ ข้าสิถึงจะเป็นพ่อ” สวีฉางหลินเอ่ย จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง
หัวใจโจวกุ้ยหลานรัดแน่น หยิกเขาแรงๆ ทีหนึ่ง “นอนลงเร็ว! เดี๋ยวเสี่ยวเทียนก็ตื่นอีกหรอก!”
เมื่อได้ยินภรรยาตัวน้อยกล่าว สวีฉางหลินก็คับอกคับใจยิ่ง ช่วงนี้บุตรชายคล้ายจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา ตกกลางคืนเขาลุกขึ้น บุตรชายคนนี้ก็จะลุกขึ้นนั่งตาม อย่างกับจงใจจะขวางเขาแน่ะ
บางครั้งดวงตายังหลับอยู่แล้ว มือที่วางบนตัวเขาพอลูบไม่เจอคนอยู่ข้างๆ ก็ลนลานลุกขึ้นนั่ง
“วันนี้เขาหลับแล้ว” สวีฉางหลินกล่าว จากนั้นก็ค่อยๆ ข้ามเจ้าก้อนน้อยที่อยู่ตรงกลาง เดินไปอยู่ข้างโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานเหลือบเขาทีหนึ่ง มืออีกข้างก็หยิกก้นเล็กๆ ของเจ้าก้อนน้อยเบาๆ ทันใดนั้นเจ้าก้อนน้อยก็ผุดลุกขึ้นนั่ง
เขาลืมตา หนังตายังหนักลืมไม่ขึ้น
เขาใช้มือน้อยๆ ขยี้ตา จากนั้นก็เห็นเท้าข้างหนึ่งของบิดาตนอยู่ข้างนอก อีกข้างหนึ่งอยู่ข้างใน
เขาหาวหวอด เอ่ยอ้อแอ้เป็นเด็กน้อย “ท่านพ่อ ท่านจะแอบเอาน้องชายน้องสาวใส่ในท้องของท่านแม่หรือ?”
สวีฉางหลินนิ่งงัน
โจวกุ้ยหลานอดนึกขันไม่ได้ เจ้าก้อนน้อยยอดเยี่ยมไปเลย
“เจ้านอนของเจ้าไป!” สวีฉางหลินกัดฟันบอกกับเจ้าก้อนน้อย
“ท่านไม่ต้องการข้าแล้วหรือ?” เจ้าก้อนน้อยตะบึงตะบอนค้อนถามเสียงเด็กอีกครั้ง
“ตอนนี้ข้าก็ไม่อยากต้องการเจ้าแล้ว!” น้ำเสียงสวีฉางหลินพกพาความโกรธเคืองนิดๆ
เจ้าเด็กนี่ ทำเสียเรื่องทุกคืน เขาไม่อยากได้ตั้งนานแล้ว!
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ เจ้าก้อนน้อยก็นิ่งงัน มองท่านพ่อท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่อง
เมื่อก่อนท่านพ่อจะไม่ดุเขา แต่ระยะนี้ท่านพ่อเอาแต่ดุเขา หรือว่าจะเหมือนที่คนผู้นั้นพูดจริงๆ หากท่านแม่มีลูกก็จะไม่ต้องการเขาแล้ว?
พอคิดมากเข้า ในใจก็ระโหยโรยแรง จมูกเปรี้ยว ดวงตาก็เปรี้ยวด้วย
เขาก้มหน้าก้มตา มือน้อยๆ ขยุกขยิกเสื้อผ้าของตัวเอง “ท่านพ่อไม่ต้องการข้าแล้วจริงๆ…”
โจวกุ้ยหลานตกใจ รีบลุกขึ้นมานั่ง กอดเจ้าก้อนน้อยอยู่ในอ้อมอก ตบหลังปลุกปลอบ “เสี่ยวเทียนอย่าเสียใจ พ่อเจ้าพูดเพ้อเจ้อ เขาชอบเจ้าที่สุด จะไม่ต้องการเจ้าได้อย่างไร?”
ว่าแล้วก็ถลึงตาโตใส่สวีฉางหลิน
ตาคนนี้อย่างไรกัน ปกติพอเจ้าก้อนน้อยถามอย่างนี้ก็ไม่ใช่กลับไปนอนเงียบเชียบหรือ? ทำไมวันนี้กลับพูดให้เจ้าก้อนน้อยเสียใจขนาดนี้ได้?
บทที่ 112 บุตรสาวชวนให้เอ็นดู
บทที่ 114 ชาติกำเนิดเจ้าก้อนน้อย