เขาเจ็บปวดจนร้องโหยหวน ตะคอกด่า ขอร้องอ้อนวอน แต่ชายเบื้องหน้านี้เหมือนหูหนวกไปแล้ว ไม่ได้ยินเลยสักนิด เอาแต่วิ่งไปข้างหน้า
จนสุดท้ายเฉินโหยวซวนหมดแรง ได้แต่หอบหายใจไปตลอดทาง
สวีฉางหลินมองสีท้องฟ้า และมองรอบด้าน ที่นี่เป็นหุบเขาลึกแล้ว
เขาถึงหยุดลง และปล่อยเฉินโหยวซวน ตอนนี้แผ่นหลังของเฉินโหยวซวนเต็มไปด้วยเลือด มีกลิ่นคาวเลือดลอยออกมาจากตัวเขา
“ให้ที่นี่เป็นหลุมฝังศพเจ้าดีหรือไม่?”
สวีฉางหลินหันมองเฉินโหยวซวน พลางเอ่ยปากถาม
เฉินโหยวซวนเนื้อตัวสั่นเทา “อสูร! เจ้าเป็นอสูร!”
ใช่ นี่ไม่ใช่คน เป็นอสูร! เป็นปีศาจ!
สำหรับคำด่าของเขา สวีฉางหลินหางตาไม่กระดิกเลยสักนิด ยังปรึกษากับเขาว่า “ถ้าเจ้าไม่พอใจ ข้าจะช่วยเจ้าเปลี่ยนที่ให้”
เฉินโหยวซวนมองสวีฉางหลินด้วยสายตาหวาดกลัว ตกใจจนฉี่ราด
น่ากลัวเกินไปแล้ว คนผู้นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ทำไมเขาสามารถพูดเรื่องฆ่าคนได้หน้าตาเฉยเยี่ยงนี้?
“เจ้า…เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ…ข้า…ข้าผิดไปแล้ว….”
เฉินโหยวซวนเริ่มตะกุกตะกักแล้ว ความหวาดกลัวในใจเริ่มกระจายไปทั่วร่าง ความเจ็บปวดบนตัวกระตุ้นให้เขารู้สึกตัว
ตอนนี้เขาถึงรู้สึกว่าตนต้องตายแล้วแน่ๆ เขาจะโดนสัตว์ร้ายกัดกินจนตายในที่นี่…
ความหวาดหวั่นในความตายคืบคลานเข้ามา เขาตัวสั่นเทาอย่างแรง และไม่รู้ว่ากลัวหรือว่าเจ็บ
“ดูท่าเจ้าจะไม่มีความเห็น” สวีฉางหลินหลุบเปลือกตาลง พูดออกมาคำหนึ่ง และหมุนตัวจะจากไป
“เจ้าอย่าไป! อย่าไป! เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ทางการต้องสืบมาถึงเจ้าได้แน่! เจ้าจะกลายเป็นฆาตกร!” เฉินโหยวซวนร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง
คราวนี้ฝีเท้าของสวีฉางหลินหยุดลงในที่สุด เฉินโหยวซวนเห็นอย่างนั้น คิดว่าเขาตกใจกับคำพูดของตน ก็ดีใจ รีบร้องบอก “เจ้ารีบส่งข้ากลับไป! ไม่งั้นถ้าข้าตาย เจ้าก็จะเป็นฆาตกร เจ้าจะโดนตัดหัว! ทางการไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าแน่!”
สวีฉางหลินหมุนตัวกลับมา มองดูเฉินโหยวซวนที่กำลังดิ้นพล่าน พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าเคยฆ่าคน”
เฉินโหยวซวนเบิกตากว้าง ตกตะลึงกับคำพูดนี้
“หลายคนมากนัก” สวีฉางหลินสำทับอีกคำ
“ที่นี่มีสัตว์ร้ายมากนัก ถ้าเจ้าสามารถหนีออกไปเองได้ ต่อไปข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” สวีฉางหลินพูดจบคำนี้ ก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เฉินโหยวซวนเบิกตากว้างมองดูร่างสวีฉางหลินหายวับไปในป่า ความหวาดกลัวในความตายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
หนี! ต้องรีบหนี!
ในใจเหลือแค่ความคิดนี้ เขาพยายามพลิกตัวลุกขึ้น ใช้มือซ้ายและสองขาช่วยกัน พยายามคลานไปข้างหน้า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เขาเห็นดวงตาสีเขียวคู่หนึ่ง เขารู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่าง จากนั้นก็มีดวงตาคู่ที่สองคู่ที่สาม
เขากลั้นหายใจ
แต่แค่ชั่วลมหายใจเดียว หมาป่าเหล่านั้นก็เดินออกมาจากในป่า เข้าใกล้เขาทีละก้าว
ตัวหนึ่งในนั้นกระโจนเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว กัดคอเขาขาดในคำเดียว…
สวีฉางหลินรีบกลับไปที่ว่างของบ้านตนเอง กลัวภรรยาจะรอจนร้อนใจ
พอกลับไปที่ว่างนั่น กลับไร้เงาของภรรยา เขาร้อนใจนัก เดินวนรอบที่ดำเป็นเถ้าถ่านนัก สุดท้ายเห็นบ้านไม้ไผ่ปิดประตูอยู่ เขารีบเดินเข้าไป ยกมือขึ้นเคาะประตู เรียกในนั้นหนึ่งคำว่า “ภรรยา?”
พึ่งเรียกเสร็จ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านใน เขาสบายใจละ ไม่นานประตูก็เปิดออกจากด้านใน
โจวกุ้ยหลานปรากฏตัวที่หน้าประตู มองดูเขาอย่างตกใจเล็กน้อย “เร็วขนาดนี้?”
“อืม เขาเลือกหลุมฝังศพที่อยู่ไม่ไกลนักด้วยตัวเองน่ะ”
สวีฉางหลินพูด และถอยหลังไปหนึ่งก้าว เพื่อหลบทางให้ภรรยาตนเดินออกมา
เขาเลือกหลุมฝังศพด้วยตัวเอง?
โจวกุ้ยหลานมองสวีฉางหลินอย่างสงสัย และเดินออกมาจากในห้อง
แต่เรื่องนี้ก็กระทบนางไม่น้อย นางจะไม่พูดมากละ
ทั้งสองอ้อมผ่านซากปรักหักพัง เดินตามทางลงเขา
โจวกุ้ยหลานมองสำรวจรอบด้าน เดินไปพลางปรึกษากับสวีฉางหลินไปพลาง “พวกเราสร้างบ้านใหญ่ขึ้นอีกหน่อยไหม? ยังไงก็มีเงินอยู่ในมือ”
“ตกลง”
“ข้าอยากทำเรือนใหญ่ที่แต่ละด้านมีห้องอยู่ ล้อมกันเป็นกรอบสี่เหลี่ยม จากนั้นทำเรือนใหญ่ ทำกำแพงล้อมไว้สูงๆ ป้องกันเผื่อต่อไปเกิดเรื่องแบบนี้อีก จากนั้นสร้างเล้าไก่และคอกแพะให้ใหญ่ขึ้น และคอกหมูด้วย!”
โจวกุ้ยหลานคิดๆดู ในสมองก็ปรากฏภาพเรือนสี่ประสานของปักกิ่งขึ้นมา
ที่นี่เป็นหุบเขา มีพื้นที่มาก และไม่มีคนดูแล พวกเขาอยากสร้างบ้านใหญ่ขนาดไหนก็ได้ อีกอย่าง ต่อไปที่นี่ยังต้องทำเพาะปลูก ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางแย่หรอก
ในเมื่อในมือยังมีเงินมากขนาดนั้น นางเลยอยากสร้างให้หรูหราหน่อย
“ตกลง”
สวีฉางหลินพยุงโจวกุ้ยหลาน กลัวนางจะโดนท่อนไม้ไหม้เกรียมเหล่านั้นเข้า
ภรรยาอยากทำอะไรก็ทำ ภรรยาว่าไงก็ว่าตามนั้น
“ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้วนะ ถ่านกำลังอยู่ในช่วงขายดี พวกเราขายถ่านก่อน ถึงเวลานั้นได้เงินมาค่อยทำ”
โจวกุ้ยหลานครุ่นคิด
ถ้าทำบ้านใหญ่ขนาดนั้น เงินในมือน่าจะพอ แต่จะให้เงินหมดตอนพวกเขาสร้างบ้านเสร็จก็ไม่ได้ ถึงเวลานั้นพวกเขาค่อยมาคิดหาเงินก็ไม่ง่ายแล้ว
ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า
อีกอย่างตอนนี้พวกเขาอาศัยอยู่บ้านแม่นาง มีห้องด้วย เรื่องสร้างบ้านก็ไม่รีบร้อนละ
เดิมอยากทำขนมหัวไชเท้า ตอนนี้ก็ไม่มีวัตถุดิบแล้ว นางก็ทำไม่ได้อยู่ดี….
พอคิดถึงตรงนี้ นางอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“คนคิดไม่สู้ฟ้าคิดจริงๆ!”
โจวกุ้ยหลานโกรธจัด ขาซ้ายไม่ทันระวังเตะโดนก้อนหิน นางสูดลมหายใจเข้าปากซี๊ด
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆพยุงนางไว้ “ทำไมรึ?”
“เตะโดนก้อนหินน่ะ” โจวกุ้ยหลานย่อตัวลงไปจับขาตนเอง ความเจ็บปวดที่มาจากนิ้วเท้าทำให้นางอยากกอดขากระโดดสองรอบ
สวีฉางหลินขมวดคิ้ว รีบเดินมาข้างหน้า หันหลังให้นาง และย่อตัวลงไป
“ข้าเดินเองได้” โจวกุ้ยหลานไม่อยากให้ดึกป่านนี้แล้วเขายังต้องมาเหนื่อยอีก อีกอย่าง นางไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย…
“ฟ้ามืดแล้ว เจ้ามองทางไม่เห็น ขึ้นมา” สวีฉางหลินยืนกราน
เมื่อครู่นางมัวแต่พูด เกือบสะดุดล้มท่อนไม้หลายครั้ง
โจวกุ้ยหลานเห็นเขายืนกราน ก็เริ่มขี้เกียจ เดินเข้าไปใกล้ ปีนขึ้นหลังเขา และกอดคอเขาไว้
สวีฉางหลินสองมืออุ้มขานาง พลางลุกขึ้นมา
ความอบอุ่นที่ด้านหลังทำให้เขารู้สึกปลอดภัย และเดินต่อไปข้างหน้า
รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของแผ่นหลังสวีฉางหลิน ใบหน้าน้อยๆของโจวกุ้ยหลานแดงเรื่อเล็กน้อย แต่ว่าตอนนี้เป็นเวลากลางคืน และไม่มีใครเห็น นางเลยไม่แคร์ละ
“สวีฉางหลิน ข้าอยากทำสิ่งเหล่านี้ เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
“เห็นด้วย” สวีฉางหลินตอบรับสั้น การย่างก้าวของฝ่าเท้าก้าวยาวขึ้นไม่น้อย
โจวกุ้ยหลานตัวยืดตรงอยู่บนหลังเขา รู้สึกกระอักกระอ่วนพิกล ต่อมานางเริ่มขี้เกียจแล้ว ทำตัวผ่อนคลายตามสบาย ซบอยู่บนหลังเขา แนบหน้าวางซบบนไหล่เขา แบบนี้สบายขึ้นมากเลย
ต่อให้เอวเขาแข็งนัก เลยไม่ค่อยสบายเท่าไหร่
ถึงจะบอกว่าเขารูปร่างดี แต่ไม่มีเนื้อเลยสักนิด โดนแบกอยู่อย่างนี้ก็ไม่สบายหรอก