นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 272 สารเลว
ราวกับสัมผัสได้ว่าท่านแม่ของตนกำลังกลัว ต้าญาจึงได้ดิ้นจากการจับของโจวกุ้ยหลาน แล้ววิ่งไปอยู่ข้างกายโจวคายจือ พยุงนางเอาไว้
โจวต้าซานกำลังสนทนาเรื่องนี้อยู่กับผู้นำตระกูลซุน เหล่าไท่ไท่เองก็มิยอมถอย
โจวกุ้ยหลานรู้สึกเบื่อหน่ายจึงหันไปมองโจวคายจือ พบว่านางมีท่าทางกระสับกระส่าย ร่างกายดูอ่อนแรง
นางจึงเอื้อมมือไปจับมือของโจวคายจือแล้วเอ่ยถามว่า “พี่สาวใหญ่ มิว่าอย่างไร พวกแม่ก็ต้องช่วยพี่แน่นอน แต่เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับความคิดของพี่ด้วย”
“สวีฉางหลินของพวกเจ้าทำร้ายบุตรชายข้าจนมีสภาพเช่นนี้ พวกเจ้าจะมิอธิบายอย่างไรหน่อยหรือ?”
น้ำเสียงนี้เป็นเสียงของป้าซุนนั่นเอง
มือของโจวคายจือสั่นสะท้าน นางมิเคยเห็นต่อสู้เช่นนี้มาก่อน
“เหตุใดเจ้าจึงมิเอ่ยเรื่องที่ซุนโก่วต้านไปทำร้ายร่างกายคนอื่นที่บ้านของข้าด้วยเมื่อวานนี้เล่า ดูสภาพใบหน้าของพี่สาวข้าสิ แล้วดูรอยฟกช้ำที่แขนของเด็ก ๆ เหล่านี้ ซุนโก่วต้านของพวกเจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนกัน?”
โจวกุ้ยหลานเอ่ยแทรกขึ้นมาจากระยะไกล
“เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาเอ่ยเช่นนี้!” ป้าซุนตะคอกขึ้น
โจวกุ้ยหลานกะพริบตากล่าวว่า “เดิมทีข้าก็มิอยากจะเอ่ยปากนักหรอก แต่เจ้ามาเอ่ยถึงสามีข้าก่อน จะให้ข้านิ่งเงียบอยู่ แล้วปล่อยให้พวกเจ้าตะโกนด่าทออย่างงั้นรึ?”
ป้าซุนถูกตะคอกกลับเช่นนั้นนางก็โมโห “เราจะพาเด็ก ๆ กลับไป ส่วนโจวคายจือพวกเรามิเอาแล้ว หากพวกเจ้าจ่ายเงินพวกเรามาสิบตำลึงแล้วคุกเข่าร้องขอ พวกเราจึงจะพานางกลับไปที่ตระกูลซุนด้วย”
โจวคายจือกำมือแน่นแล้วเงยหน้ามองดูซุนโก่วต้าน เมื่อเห็นว่าเขามิเอ่ยสิ่งใดออกมา หัวใจของนางก็เยือกเย็นลง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ จะให้พวกเราจ่ายเงินอีกงั้นหรือ พวกเจ้าปฏิบัติต่อบุตรสาวของข้าเช่นนี้ แล้วยังกล้าจะมาหาเก็บเงินจากพวกเราอีก?”
เหล่าไท่ไท่เองก็มิใช่คนที่จะเอาเปรียบกันได้ง่าย ๆ นางตอบโต้ทันใด
ไป ๆ มา ๆ ก็ได้สนทนากันอยู่อีกหลายหน ความกล้าหาญและความสามารถของเหล่าไท่ไท่นั้นช่างน่าทึ่ง นางสามารถสั่งสอนป้าซุนและซุนโก่วต้านต่อหน้าคนจากตระกูลซุนทั้งหลายให้เชื่องดั่งกับลูกสุนัข
โจวกุ้ยหลานตบไปที่บ่าของโจวคายจือนับเป็นการปลอบ
การที่เอ่ยออกมาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ว่ามิต้องการสะใภ้เช่นนางแล้ว ทั้งยังให้อ้อนวอนร้องขอกลับไปอยู่ด้วย ช่างน่าอับอายเสียเหลือเกิน
แต่โจวกุ้ยหลาน ก็มิอยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ด้วย นางรองให้โจวคายจือเป็นคนตัดสินใจเอง
“กุ้ยหลาน……เจ้ามิกลัว มิกลัวคนมากมายเช่นนี้หรือ?” โจวคายจือกล่าวอย่างตะกุกตะกัก แล้วเอ่ยกับโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานกะพริบตาตอบว่า “กลัวอะไรกัน พวกเขาก็เหมือนกับเรา มีจมูก มีหูและมีตา”
โจวคายจืออ้าปากค้าง และกลืนคำที่ต้องการถามลงไปจนสิ้น
พวกนางแตกต่างกัน โจวกุ้ยหลานเป็นคนใจกล้าหาญและมีความคิดเป็นของตนเอง มีความสามารถเช่นเดียวกับท่านแม่ส่วนนาง นาง……เป็นเพียงสตรีที่ไร้ความสามารถคนหนึ่ง มิอาจใช้ชีวิตของตนให้ดีได้
“พี่ใหญ่ ลองคิดดูเอาว่าต่อไปนี้อยากจะใช้ชีวิตเช่นไร บัดนี้มีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีกว่า หรือเมื่อก่อนที่มีชีวิตดีกว่า” โจวกุ้ยหลานตบลงไปที่บ่าของโจวคายจืออีกครั้ง แล้วเอ่ยประโยคนี้กับนาง ส่วนนางจะฟังหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับนางที่จะเป็นคนตัดสินเอง
โจวคายจือมองไปทางโจวกุ้ยหลาน ราวกับมีบางอย่างกระทบกระทั่งอยู่ในใจ
“แต่……แต่หากมิมีสามี แล้ว……แล้วชีวิตในอนาคตจะเป็นเช่นไร ข้า……ข้าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร?”
“หลายเดือนมานี้ พี่ก็ใช้ชีวิตอยู่มาได้มิใช่หรือ”
โจวคายจือชะงักลง นั่นสิ นางอาศัยอยู่ในบ้านนี้กับโจวกุ้ยหลานเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว และมีชีวิตที่ดี บางที……บางทีสิ่งที่นางกลัวในอดีตก็ดูมิได้น่ากลัวนัก ……
“ในฐานะสะใภ้ จะดูแลคนในครอบครัวก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วมิใช่หรือ นางมีประโยชน์อะไรบ้าง ก็แค่ซักผ้าทำกับข้าว เครื่องกินเครื่องดื่มเครื่องใช้ล้วนใช้ของตระกูลซุนของเรา” น้ำเสียงของป้าซุนขึ้นอีกครั้ง ส่องเข้าไปอยู่ในหูของโจวคายจือ
ราวกับนางตัดสินใจได้ ในช่วงวินาทีนี้นางตอบกลับว่า “ข้าทำงานเหล่านี้น้อยไปหรือ เหตุใดจึงมิเห็นพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองทำเรื่องเหล่านี้เลย?”
เมื่อกล่าวจบนางเองก็ยืนตกตะลึง มิอยากจะเชื่อว่าเมื่อครู่ตนได้เอ่ยสิ่งเหล่านั้นออกไป
โจวกุ้ยหลานก็มองไปด้วยความประหลาดใจเช่นกัน เมื่อพบว่าท่าทางของโจวคายจือยังตกอยู่ในความงุนงงเล็กน้อย แต่ในดวงตาของนางช่างหนักแน่น
เห็นได้ชัดว่าป้าซุนเองก็คิดมิถึงว่าสะใภ้คนนี้ของนางที่ว่านอนสอนง่ายจะกล่าวเช่นนี้ออกมา จู่ ๆ นางเองก็ทำตัวมิถูกและสงสัยว่าตนฟังผิดไปหรือไม่
ใบหน้าของซุนโก่วต้านมืดมนลงอย่างน่ากลัว เขาปล่อยลูกทั้งสองคนแล้วเดินมาทางโจวคายจือ “นางคนนี้ เอ่ยวาจากับแม่ข้าเช่นไรกัน รีบคุกเข่าขอโทษแม่ข้าเดี๋ยวนี้!”
โจวต้าไห่ที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปรั้งซุนโก่วต้านเอาไว้ ซุนโก่วต้านนึกถึงหมัดของโจวต้าไห่ที่โดนเข้า จึงมิกล้าขยับเขยื้อน
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของบุตรชายดังนั้น ป้าซุนจึงได้สติกลับคืนมาแล้วตบหน้าขาของตน ตะคอกออกมาเสียงดังว่า “ชิชะ นี่มันอะไรกัน ลูกสะใภ้มิยอมรับบ้านแม่สามีแล้วงั้นหรือ? จะไปกับชายชู้หรือไรกันจึงได้เถียงข้าเช่นนี้”
อาจเป็นเพราะความกดดันที่เก็บไว้เนิ่นนาน โจวคายจือจึงร่างสั่นเทาเพราะตกใจ ด้วยน้ำเสียงของซุนโก่วต้านและป้าซุน
“นี่มันอะไรกัน เจ้าเห่าหอนทำไม อย่ามาใส่ร้ายป้ายสีบุตรสาวข้านะ ตระกูลของเจ้ามิมีใครดีสักคน และยังหวังว่าบุตรสาวข้าจะปฏิบัติรับใช้พวกเจ้าหรือ ถุย!”
เหล่าไท่ไท่โมโหขึ้นทันควัน แล้วตะโกนออกมาโดยมิไว้หน้า
เมื่อได้ยินคำพูดของท่านแม่ โจวคายจือก็รู้สึกตื่นขึ้นได้สติ จับมือบุตรสาวคนโตเอาไว้แน่น ตะเบ็งเสียงแข่งกับฝ่ายตรงข้ามว่า “เจ้ามิใช่แม่สามีของข้า และข้ามิใช่สะใภ้ของพวกเจ้า ข้าและซุนโก่วต้านเราหย่าร้างกันแล้ว!”
หลังจากตะโกนประโยคนี้ออกมานางก็หายใจเหนื่อยหอบ
ประโยคเหล่านี้ทำให้ซุนโก่วต้านตกใจกลัว
เดิมทีเขาคิดว่าภรรยาของตนจะเพียงแค่โกรธชั่วคราว ครั้งนี้เข้ามาเพื่อจะพานางกลับบ้านไปด้วย แต่ใครจะคิดเล่าว่านางจะหย่าร้างกับเขาจริง ๆ เช่นนั้น เขาจะมิมีภรรยาแล้วหรือ?
มิใช่แน่ นางเป็นภรรยาของเขา!
ซุนโก่วต้านยื่นมือออกไปผลักโจวต้าไห่ ส่วนโจวต้าไห่มิทันระวังจึงได้ถูกเขาผลักถอยหลังไปสองสามเก้าแล้วพุ่งไปข้างหน้า
เมื่อเห็นเขาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ โจวกุ้ยหลานจึงรีบเข้ามาบังนางโจวคายจือเอาไว้ จึงทำให้ร่างของนางถูกชนเข้าอย่างจังแล้วล้มลงไปกระแทกประตู ศีรษะของนางโขกเข้าที่กำแพง ความเจ็บปวดแผ่ซ่าน สัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่น ๆ ไหลลงมาบนใบหน้า
นางเอื้อมมือออกมา แตะมันแล้วมาดูตรงหน้าพบว่าเป็นเลือด
“กุ้ยหลาน!” โจวคายจือเบิกตากว้างแล้วรีบเข้าไปประคองนางเอาไว้ ด้านของซุนโก่วต้านเองก็ตกใจและถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
เขาเพียงแค่ต้องการเข้าไปดึงโจวคายจือกลับมา ใครจะคิดเล่าว่าโจวกุ้ยหลานจะพุ่งออกมาเช่นนี้ และเขาก็แค่ผลักนางออกไปเหตุใดสถานการณ์จึงกลายเป็นเช่นนี้ได้?
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สายลมบางเบาก็พัดผ่านข้างกาย เหล่าไท่ไท่พุ่งตรงเข้าไปยื่นมือลงไปกดหน้าผากที่มีเลือดกำลังไหลของโจวกุ้ยหลาน
“เจ็บ ๆ!” โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าบาดแผลของนาง ถูกเหล่าไท่ไท่กดเสียจนมันใหญ่และเจ็บมากกว่าเดิม นางอยากจะถอยหนี
“รีบห้ามเลือดเร็วเข้า ขี้เถ้า ซิ่วเหลียนจงรีบไปเอาขี้เถ้ามา!” เหล่าไท่ไท่มิสนใจต่อเสียงร้องของโจวกุ้ยหลาน นางรีบตะเบ็งเสียงตะโกนไปทางห้องครัวทันที