นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 298 อย่าคิดถึงชายอื่นมากเกินไป
โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ที่จะมองดูชุดสีขาวที่สวมอยู่บนร่างของเขา ยังมีพัดที่ถืออยู่ในมือนั่น นี่มันคนบ้านนอกที่ไหนกันจึงสวมเสื้อผ้าเช่นนี้ออกมา
คิดว่าคงเป็นเพราะเอ่ยถึงเรื่องน้ำป่า ชายทั้งสองคนนั้นต่างก็ถอนหายใจติดๆกัน ผ่านไปครู่ใหญ่ก่อนจะพูดต่อว่า “หายนะจากภัยพิบัติ ช่างไม่ปรานีกันเสียเลย เฮ้อ ถ้าหากไม่ใช่เพราะนายพลสวีที่สามารถเอาชนะสงครามได้ ข้าว่าบรรยากาศของแคว้นเหลียงเราคงจะ……”
ไม่รอให้เขาพูดจบ ชายหนุ่มที่มีหนวดเคราคนนั้นก็ทำท่าให้เขาเงียบ
ชายหนุ่มคนนั้นราวกับรู้ตัวว่าพูดอะไรไป ตกใจจนเหงื่อเย็นไหลออกมาท่วมร่าง รีบหุบปากลงทันที
ชายหนุ่มที่มีหนวดเคราคนนั้นรีบเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาทันที “ได้ยินมาว่านายพลสวีชนะสงคราม ฮ่องเต้ทรงดีใจมาก เรียกตัวเขาเข้าตำบลหลวง เกรงว่าตอนนี้คงอยู่ระหว่างการเดินทางกระมัง”
ตำบลหลวง
โจวกุ้ยหลานหัวใจกระตุก
ไป๋ยี่เซวียนพูดคุยกับชายสองคนนั้นต่ออีกชั่วครู่ สุดท้ายก็ช่วยจ่ายค่าอาหารให้พวกเขาด้วย
สองคนนั้นย่อมดีใจมาก แล้วก็สนทนากับไป๋ยี่เซวียนอีกครู่ใหญ่ ทั้งยังเอ่ยถึงเรื่องที่ลูกชายของนายอำเภอตกม้าจนได้รับบาดเจ็บที่ขาด้วย
เพียงแต่ตอนที่พูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของพวกเขากลับดูลิงโลดมาก นางมองไม่เห็นความเป็นห่วงที่พวกเขามีแต่นายอำเภอเลยแม้แต่น้อย
หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ไป๋ยี่เซวียนไปจ่ายเงิน พวกเขากินกันไปถึงสี่ตำลึงเลยทีเดียว
เมื่อเห็นจำนวนเงินที่จ่ายไป โจวต้าซานได้แต่สูบปล้องยาสูบเฮือกใหญ่ติดๆกัน หวังโหยวเกินแอบถูมือไปมาไม่กล้าพูดอะไร
หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้ว โจวกุ้ยหลานก็กลับไปที่ห้องของตนเอง หวังโหยวเกินกับโจวต้าซานอยู่ในห้องเดียวกัน ไป๋ยี่เซวียนอยู่คนเดียวหนึ่งห้อง
โจวกุ้ยหลานนั่งอยู่บนเตียงวิเคราะห์สิ่งที่ได้ยินมาเหล่านั้นอย่างละเอียด ในใจกำลังใคร่ครวญถึงสิ่งที่สองคนนั้นพูดเมื่อครู่
สวีฉางหลินน่าจะรบชนะ ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าตำบลหลวง แต่ทำไมผ่านไปนานเช่นนี้แล้วยังไม่เขียนจดหมายมาหานาง
ขณะกำลังใช้ความคิด ประตูห้องก็ถูกเคาะ
โจวกุ้ยหลานลุกขึ้น เดินไปเปิดประตู เห็นว่าโจวต้าซานยืนอยู่หน้าประตูห้อง
จึงเชิญเขาเข้ามาในห้อง โจวกุ้ยหลานปิดประตูลง รินน้ำให้เขาหนึ่งแก้ว นั่งลงที่หน้าโต๊ะพร้อมกับเขา
โจวต้าซานนั่งลงแต่ไม่พูดอะไร เอาแต่ขมวดคิ้วพลางสูบปล้องยาสูบ
“ท่านลุงใหญ่ ท่านมีเรื่องอยากจะพูดกับข้าใช่หรือไม่ ”โจวกุ้ยหลานวางมือทั้งสองข้างของตนเองไว้บนโต๊ะ และเอ่ยถามเขา
โจวต้าซานมองโจวกุ้ยหลาน สายตามีแววหลบหลีก อ้าปากเหมือนจะพูด แต่สุดท้ายก็กลืนกลับเข้าไป จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา หมุนตัวไปอีกข้าง และสูบยาสูบต่อ
มองดูท่าทีของเขา ไม่เหมือนคนที่ไม่มีเรื่องอะไรเลยสักนิด
“ท่านลุงใหญ่ มีเรื่องอะไรก็บอกมาตรงๆเถอะ ”โจวกุ้ยหลานไม่อยากจะเห็นท่าทีมีเรื่องคาใจเช่นนี้ จึงเปิดโอกาสให้เขาพูด
โจวต้าซานมองพื้นห้อง พ่นควันบุหรี่ออกมา สูดลมหายใจเข้า ก่อนจะเอ่ยว่า “กุ้ยหลาน เจ้ากับเถ้าแก่ไป๋……สนิทกันแค่ไหน ”
“ก็ดี”โจวกุ้ยหลานตอบไปเช่นนั้นเอง
เพราะว่ารู้จักกันมาหลายปีแล้ว และร่วมกันทำงานมาตลอด และเป็นคนที่เหมาะสมจะร่วมมือด้วย นิสัยก็ไม่เลว
โจวต้าซานให้ฝ่ามือลูบที่ใบหน้าของตนเองแรงๆ หลังจากวางมือลง ราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว หันไปมองโจวกุ้ยหลาน พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“กุ้ยหลาน แม้สิ่งที่ข้าพูดต่อไปนี้จะไม่สู้ดีนัก แต่ข้าก็ต้องพูดกับเจ้า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ต้องเว้นระยะห่างจากชายอื่นบ้าง ถ้าหากถูกคนอื่นเห็นเข้า เกรงว่าจะเป็นที่ติฉินนินทาเอาได้”
โจวกุ้ยหลานกะพริบตาปริบๆ รอให้เขาพูดต่อ
เมื่อเห็นท่าทีของนาง โจวต้าซานของสูดลมหายใจเข้าและรู้สึกลังเล ไม่ทันระวัง ก็สำลักควันจนไอออกมา
ช่วยตบแผ่นหลังให้เขาเบาๆ โจวต้าซานจึงค่อยๆดีขึ้น โบกมือให้กับโจวกุ้ยหลาน “เจ้านั่งลงก่อน”
“ท่านลุงใหญ่ ท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่”
“อาสะใภ้สามของเจ้า ไม่ถูก จางเสี่ยวจุ๋ย นางก็ เพราะนางทำเรื่องน่าอับอาย แต่ แต่ก็ทำหลังจากที่สามีตายไปแล้ว ส่วนเจ้า……”ว่าแล้ว โจวต้าซานก็มองโจวกุ้ยหลาน “สามีของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ อย่า อย่าคิดถึงชายอื่นมากเกินไป ……”
โจวกุ้ยหลาน “……”
“เรื่องนี้ เรื่องนี้ข้าไม่ควรพูด แต่ แต่ว่าเรื่องนี้ คนรู้ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี แม่เจ้า ถ้าแม่เจ้ารู้คงต้องเสียใจแน่……”
โจวต้าซานพูดอย่างตะกุกตะกัก
เขาซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ไหนเลยจะเคยเจอเรื่องเช่นนี้ หากเป็นลูกชายเขาคงใช้ไม้เรียวสั่งสอนไปแล้ว
โจวกุ้ยหลานกุมขมับ ไม่รู้จริงๆว่าควรจะอธิบายกับท่านลุงแท้ๆของตนเองอย่างไรดี
“กุ้ยหลาน เถ้าแก่ไป๋ไม่เลวก็จริง แต่ฉางหลินก็ดีไม่น้อย แม้เขาจะไม่มีเงินทอง แต่ก็เป็นชายหนุ่มที่ดี เจ้ารอฉางหลินกลับมาใช้ชีวิตด้วยกันดีๆ ภายหน้า ภายหน้าย่อมมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน ……”
ถ้ามิใช่เพราะเกรงว่าคำพูดที่จะอธิบายต่อไปนี้จะไม่ชัดเจน โจวกุ้ยหลานอยากจะทำสีหน้าแสดงให้เห็นจริงๆว่านางไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“ท่านลุงใหญ่ ข้ากับเถ้าแก่ไป๋เป็นแค่เพื่อนร่วมงานธรรมดาเท่านั้น ท่านอย่าคิดมากเลย”โจวกุ้ยหลานปลอบเขา
“แล้วทำไมเขาต้องเชิญพวกเรากินข้าวด้วยเล่า”ยังช่วยออกเงินตั้งมากมายอีก
ตอนนี้อาหารการกินไม่ได้มีมากนัก แค่กินข้าวก็เสียเงินไปไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางเลย
“นั่นเป็นเพราะข้าได้ขายเป็ดไก่ทั้งหมดในบ้านให้เขา ตอนนี้เขามีชีวิตที่ดีแล้ว จึงตอบแทนพวกเราบ้างเล็กน้อย”
โจวกุ้ยหลานพูดไปเรื่อยเปื่อย
ในเวลานี้นางไม่กล้าบอกว่าตนเองยังมีอาหารเหลืออยู่ ตอนนี้ไป๋ยี่เซวียนยังจ้องจะเอาเสบียงอาหาร ของนางอยู่
โจวต้าซานสูบยาสูบ แม้จะไม่เชื่อคำพูดของวโจวกุ้ยหลานนัก แต่ก็ไม่กล้าพูดมาก เรื่องนี้ลองตรวจดูก็รู้แล้ว
นั่งต่ออีกสักพัก และพูดเรื่องอื่นอีกสักหน่อย โจวต้าซานก็ลุกขึ้นกลับไปยังห้องของตนเอง
คืนนี้ผ่านไปอย่างสงบ เช้าวันที่สองทุกคนกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็ตามไป๋ยี่เซวียนไปที่ที่ทำการปกครองอำเภอ
ยัดเงินให้กับผู้คุมคุกเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้พวกเขาเข้าไปด้านใน เข้าไปถึงข้างในก็พบโจวต้าไห่กับลูกชายของหวังโหยวเกินที่ถูกคุมขังเอาไว้
เมื่อเห็นพวกเขามาหา ลูกชายของหวังโหยวเกินก็รีบเข้ามาจับหวังโหยวเกินเอาไว้พลางขอร้องให้ช่วยเอาตนเองออกไปด้วยร่างกายที่สั่นเทา หวังโหยวเกินรู้สึกสงสารมาก แต่เมื่อมองโจวต้าไห่ก็เห็นว่าเขาดูนิ่งมาก เขาได้แต่ทอดถอนใจ รู้ว่าลูกชายตนเองสู้โจวต้าไห่ไม่ได้
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน”โจวกุ้ยหลานมองใบหน้าของโจวต้าไห่ที่ซูบลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าแทบจะห้อยลงมาแล้ว
ตอนนี้บนร่างของโจวต้าไห่ยังคงสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับตอนที่ออกมาจากบ้าน และส่งกลิ่นเหม็นแล้ว ผมเผ้าก็จับตัวเป็นก้อนยุ่งเหยิงซะไม่มี
โจวต้าไห่เล่าเรื่องหลังจากที่ตนเองออกมาจากบ้านให้ฟัง เดิมทีหลังจากที่พวกเขาออกมาแล้ว ก็พบว่าทุกที่ถูกน้ำท่วมไปหมด มีคนตายจำนวนไม่น้อย ไม่ง่ายเลยกว่าจะเดินทางมาถึงในอำเภอ แต่ก็พบว่าที่ทำการปกครองอำเภอก็ถูกน้ำท่วมเช่นเดียวกัน พวกเขาตามหาอยู่สองวันกว่าจะพบกับลูกชายของนายอำเภอ เมื่อลูกชายของนายอำเภอได้ยินว่ามาขอความช่วยเหลือจากภัยพิบัติ ก็สั่งจับพวกเขาทันที
ขณะเดียวกันก็เพิ่งจะรู้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยจากต่างหมู่บ้านก็ถูกจับขังไว้เช่นกัน โชคดีที่พวกเขาได้พกเสบียงอาหาร มาด้วย จึงสามารถอดทนจนรอดมาได้ไม่อดตาย เมื่อน้ำลดลงแลว พวกเขาก็ถูกขังไว้ในคุกหลวง
“แล้วเรื่องที่นายอำเภอตกม้าจนขาหักเล่า”โจวต้าซานถามขึ้น