นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 311 เดินทางพันลี้ไปหาสามี (2)
“ข้าอายุเท่าเจ้า” รุ่ยอานกล่าวอย่างมิพอใจ
รุ่ยหนิงเบ้ริมฝีปากทำหน้ามุ่ย “เจ้าแก่กว่าข้า เอาไว้ข้าอายุเท่าเจ้าก็เข้าใจและฉลาดเอง”
“ใช่ๆ ไว้หนิงหนิงโตขึ้นก็เข้าใจเอง” โจวกุ้ยหลานรีบตอบรับทันที
นางจะโจมตีทำร้ายจิตใจบุตรชายคนเล็กมิได้ มิเช่นนั้นในอนาคตเขาเป็นคนอารมณ์ร้ายแล้วจะทำเช่นไร
เมื่อกล่าวจบก็ได้ยินเสียงม้าดังมาจากข้างหลัง โจวกุ้ยหลานเหลือบมองดูแล้วพบว่าเป็นรถม้าจริงๆ จากนั้น จึงได้ดึงรุ่ยอานและรุ่ยหนิงไปด้านข้าง
รุ่ยอานยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาดังเดิมว่า “เจ้ามิมีวันโตทันข้า ดังนั้นเจ้ามิมีวันฉลาดไปกว่าข้า”
รุ่ยหนิงที่อยู่ด้านข้างมิอาจเถียงได้จึงเงยหน้ามองดูโจวกุ้ยหลานอย่างมีความหวัง
โจวกุ้ยหลานรู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับสายตาที่จ้องมองมา เรื่องนี้……นางเองก็มิอาจตอบได้
เพราะว่าพี่ใหญ่นั้นฉลาดกว่าน้องเล็ก หากจะกล่าวความจริงนี้ออกไปเกรงว่าจะทำให้รุ่ยหนิงต้องเสียใจ แต่หากว่าน่าโกหก ก็อาจจะทำร้ายรุ่ยอาน ช่างเป็นปัญหาที่ยากเย็นเสียจริง……
“ท่านแม่ มิชอบหนิงหนิงแล้วหรือ?” น้ำเสียงของเด็กน้อยทำท่าจะร้องไห้ดังขึ้น
โจวกุ้ยหลานก้มหน้าลงมองเห็น รุ่ยหนิงกัดริมฝีปากตน ดวงตาของเขามีน้ำตาคลอเบ้า
“มิใช่ว่าแม่มิรักรุ่ยหนิง”
“หนิงหนิงจะมิมีวันฉลาดเท่าพี่ชายได้จริงหรือ?” รุ่ยหนิงกะพริบตาแล้วเอ่ยถามโจวกุ้ยหลาน
“แน่นอนว่าเจ้ามิมีวันฉลาดเท่าข้า” รุ่ยอานกล่าว
โจวกุ้ยหลานแอบหยิกแขนของรุ่ยอานแล้วหันไปทางรุ่ยหนิง พบว่าเขานิ่งเงียบ จึงรีบเข้าไปปลอบใจรุ่ยหนิง “ต่อให้รุ่ยหนิงมิฉลาดเท่ากับพี่ แต่รุ่ยหนิงก็มิได้โง่ใช่ไหมเล่า? รุ่ยหนิงกินข้าวเยอะๆ จะได้ตัวใหญ่กว่าพี่”
“อืม” รุ่ยหนิงพยักหน้าของเขาอย่างแรงแล้วหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
โจวกุ้ยหลานแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใอหยาสิ การมีลูกสองคนนี่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน ดีมิดีก็อาจทำร้ายใครคนหนึ่งเข้า
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นนางก็ได้ยินเสียงของม้าร้อง จึงได้หันกลับไปดูที่ด้านข้างถนน เพื่อเว้นที่ว่างขนาดใหญ่ไว้ให้กับรถม้า
“พวกเจ้าสามคนยืนรอให้ถูกปล้นหรือ?”
เสียงหัวเราะเยาะดังมาภายในรถม้า โจวกุ้ยหลานจึงเงยหน้าขึ้นมองดู พบไป๋ยี่เซวียนนั่งโบกพัดอยู่ในรถม้า มองมาด้วยรอยยิ้มกึ่งหนึ่ง
โจวกุ้ยหลานแย้มริมฝีปากของตนขึ้น “พวกเราแม่ลูกช่างยากจนน่าสงสาร ใครกันจะมาปล้นพวกเรา แต่ผู้ที่ดูสง่าผ่าเผยและมั่งคั่งนั่งอยู่บนรถม้า เกรงว่าจะถูกปล้นเสียมากกว่า”
“เจ้ายากจนงั้นหรือ?” ไป๋ยี่เซวียนกล่าวประโยคนั้นซ้ำอีกครั้ง ก่อนที่จะเหลือบมองไปทางโจวกุ้ยหลานแล้วหัวเราะส่ายหน้าออกมา
โจวกุ้ยหลานยักไหล่ขึ้น แล้วเก็บห่อผ้าที่ใส่ตั๋วเงินเอาไว้สี่หมื่นสองพันตำลึง นางกล่าวด้วยท่าทางอันสงบนิ่งว่า “หากข้ามิยากจนแล้วใครจะจนเล่า เจ้าดูเถิดสตรีคนหนึ่งที่มิมีสามี ต้องพาลูกอีกสองคนเดินเท้าเร่ร่อน คิดว่าจะมีชีวิตที่ดีหรือ?”
ไป๋ยี่เซวียนยกมือขึ้นกำแล้วกระแอมเบาๆ ออกมาสองสามหน “นั่นเรียกว่าสตรีผู้อ่อนแอบอบบาง”
“ถูกต้องแล้วสตรีผู้อ่อนแอเช่นข้าพาลูกอีกสองคนเดินทางเร่ร่อน มิมีเงินกินข้าวอิ่มท้อง ทั้งยังต้องออกหาสามีไกลนับพันลี้”
ไป๋ยี่เซวียนเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย เขาหยุดสนทนาไร้สาระกับโจวกุ้ยหลาน แล้วสั่งให้คนขับรถม้าหยุดลง ก่อนจะก้าวออกจากรถม้า เดินมาตรงหน้าโจวกุ้ยหลานแล้วยืนนิ่ง
“เจ้าตั้งใจจะพาลูกชายทั้งสองเดินไปที่เมืองหลวงหรือ?”
โจวกุ้ยหลานมองไปตามสายตาของเขาซึ่งจับจ้องไปยังขาสั้นของลูกชายทั้งสองก่อนจะส่ายหน้าว่า “ข้าคงมิสามารถทรมานพวกเขาได้หรอกข้าเพียงแต่จะไปหาผู้คุ้มกันมาคุ้มกันเรา แล้วนั่งรถม้าของสำนักคุ้มกันไปที่เมืองหลวง”
“ท่านแม่ อะไรคือผู้คุ้มกัน?” รุ่ยหนิงเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามโจวกุ้ยหลาน
รุ่ยอานที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
“ลูกชายทั้งสองคนของเจ้าน่าสนใจยิ่งนัก” ไป๋ยี่เซวียนกล่าวจบก็ยื่นมือออกไปสัมผัสศีรษะน้อยๆ ของรุ่ยอาน
รุ่ยอานเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเงียบๆ ดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนกับสวีฉางหลินเหลือเกิน ไป๋ยี่เซวียนจึงถอนมือกลับมา ยกมือขึ้นกระแอมเบาๆ อีกครั้ง
“เอ่อ คือว่า ข้าก็จะไปเมืองหลวงเช่นกัน พวกเจ้าสามคนไปด้วยได้พอดี”
“เจ้าจะไปเมืองหลวงหรือ?” โจวกุ้ยหลานเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แล้วการค้าที่นี่ของเจ้าทำเช่นไร”
ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า “ผู้คนที่นี่ใกล้จะอดตายอยู่แล้ว จะมีการค้าใดให้ทำเล่า มิสามารถขนย้ายธัญพืชมาได้ สู้เดินทางไปเมืองหลวงหาช่องทางทำกินดีกว่า ส่วนโรงเตี๊ยมเทียนเซียงของข้า ปล่อยให้เหล่าจ้างฝางดูแลไปเถอะ”
เมื่อกล่าวจบเขาก็ยื่นมือไปทางรุ่ยหนิง
รุ่ยหนิงเอื้อมมือออกไปตั้งใจจะคว้า แต่รุ่ยอานเห็นเข้าจึงตบมือเขาอย่างแรง “อย่าไปจับมือกับคนแปลกหน้า ท่านแม่เคยบอกแล้วว่ามีคนเลวมากมายที่คอยจะขโมยเด็ก”
รุ่ยหนิงถูกตีที่หลังมือเจ็บเสียจนเบ้ริมฝีปากกล่าวด้วยความเสียใจว่า “แต่ท่านแม่มิปล่อยให้ข้าถูกคนชั่วพรากตัวไปหรอก”
ไป๋ยี่เซวียนที่อยู่ด้านข้าง มิรู้ว่าควรจะแสดงสีหน้าออกมาเผชิญกับสองพี่น้องนี้อย่างไร
เจ้าหนูน้อยอายุเท่าไหร่เอง เหตุใดจึงมีความคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ได้
เขาจึงสะบัดมือออกแล้วจับไปที่ด้ามพัด เปิดมันออกพัดสองสามหน ทำท่าทางดุจดั่งนักปราชญ์มองรุ่ยอานตัวน้อยแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าหนู ข้าดูเหมือนคนร้ายหรือ?”
“ท่านดูเสแสร้งดั่งบ้านนอกเข้ากรุง” รุ่ยอานเหลือบมองเขาแล้วให้ข้อวิจารณ์ออกมา
ไป๋ยี่เซวียนชะงักลง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง
โจวกุ้ยหลานอดมิได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“โอ้ ไป๋ยี่เซวียน เจ้าตกอยู่ในมือของลูกชายข้าแล้ว มิง่ายเลย มิง่ายเลยจริงๆ ฮ่าๆ!”
“โจวกุ้ยหลาน ลูกชายของเจ้ารู้จักบ้านนอกเข้ากรุงด้วยหรือ?” ไป๋ยี่เซวียนกัดฟันเอ่ยถาม
“เขารู้สำนวนมากมาย เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเขาสามารถกล่าวออกมาได้อย่างมิหยุดหย่อน” โจวกุ้ยหลานหัวเราะจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา
มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเห็นไป๋ยี่เซวียนดูท่าทางห่อเหี่ยว อีกทั้งยังถูกบุตรชายของนางเป็นคนรังแกความรู้สึกนี้มันดียิ่งนัก
นับตั้งแต่เกิด รุ่ยอานและรุ่ยหนิงมักจะถูกให้ไปอยู่ในห้องเรียนของหลิวเกา จึงได้รับอิทธิพลถึงปรัชญาต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก บัดนี้แม้พวกเขายังอายุมิถึงสามขวบแต่ก็สามารถอ่านเรียงความตัวอักษรได้นับพันตัว หากอยู่ในยุคปัจจุบันคงจะกลายเป็นเด็กอัจฉริยะไปแล้ว
แน่นอนว่าในยุคสมัยนี้พวกเขาก็เป็นเด็กอัจฉริยะ เมื่อเทียบกันแล้ว รุ่ยหนิงอาจดูโง่เขลาเล็กน้อย
สีหน้าของไป๋ยี่เซวียนดูบิดเบี้ยว ผ่านไปพักใหญ่จึงกล่าวขึ้นว่า “มิเสียแรงที่เป็นลูกชายเจ้า”
“หึๆ” โจวกุ้ยหลานอดมิได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างมิอาจปิดบัง
ไป๋ยี่เซวียนซึ่งทำตัวมิถูกเขินอายและเสียหน้าเนื่องจากเสียงหัวเราะของนาง กล่าวว่า “เจ้าจะไปเมืองหลวงกับข้าหรือไม่?”
“ไปๆๆ มิต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่มีรถนั่ง อย่างไรข้าก็ต้องไป!” โจวกุ้ยหลานพยักหน้าแล้วฝืนยิ้มพยายามเก็บความรู้สึกขำขันเอาไว้ นางจูงมือลูกชายทั้งสองขึ้นรถม้าของไป๋ยี่เซวียนไป
ขณะที่เดินทาง นางก็เอ่ยถามไป๋ยี่เซวียนว่า “เจ้าอย่าได้ถือสาลูกชายทั้งสองของข้าเลย พวกเขาเพิ่งพบเจ้าเพียงครั้งสองครั้ง ยังมิรู้จักเจ้าดี มิรู้ว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร”
“ข้าจะไปถือสาพวกเขาได้หรือ?” ไป๋ยี่เซวียนก็มิรู้จะทำเช่นไร
ทั้งสองคนขึ้นไปบนรถม้า หลังจากที่นั่งลงแล้วไป๋ยี่เซวียนก็สั่งให้คนขับรถออกรถได้ เมื่อรถม้าขยับ เสียงเกือกมาจากด้านหลังก็ดังขึ้น โจวกุ้ยหลานเปิดผ้าม่านมองดู พบรถม้าที่อยู่ด้านหลัง
“รถม้าข้างหลังนี้ เป็นรถเจ้าด้วยงั้นหรือ?”
โจวกุ้ยหลานเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ไป๋ยี่เซวียนวางพัดลงที่ด้านข้าง “แน่นอนสิ สิ่งของของข้ามีมากมายเพียงนี้ รถม้าคันเดียวจะใส่พอได้อย่างไร”
“เจ้านำรถม้าเป็นเมืองหลวงด้วยกี่คันกัน?”