นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 387 ต่างสถานที่
โจวกุ้ยหลานเพิ่มฟืนลงไปในเตาไฟหนึ่งท่อน เมื่อเงยหน้าขึ้น ยังคงเห็นท่าทางของพวกเขาดูไร้เรี่ยวแรง เธอก็ทำอะไรไม่ถูก
“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ การเรียนคิดเลขก็ไม่ได้มีผลกระทบมากขนาดนั้นหรอก การจัดสอบคัดเลือกช่วงสันต์ก็ไม่ได้ทดสอบแล้ว พวกเจ้าควรคิดถึงเรื่องการเตรียมสอบอย่างไรจะดีกว่าหรือไม่?”
“เช่นนั้นเจ้าก็สอนข้าสิ” อาจารย์กล่าว
โจวกุ้ยหลานหาคำอธิบายความรู้สึกของตนเองไม่ได้เลย ท้ายที่สุดก็หมดหนทาง ทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ คืนส่งท้ายปีเก่านี้ โจวกุ้ยหลานนั่งอยู่ข้างๆ กองไฟ และสอนคนกลุ่มนั้นท่องสูตรคูณ
ในตอนเริ่มแรก ทุกๆ คนไม่เข้าใจว่านี่หมายความว่าอะไร โจวกุ้ยหลานก็เริ่มบรรยายถึงวิธีคูณเลขและวิธีหารเลข สิ่งเหล่านี้ พวกเขาเข้าใจบ้างเล็กน้อย เพราะมีจุดทับซ้อนกับการคิดเลขของพวกเขาในตอนนี้
โจวกุ้ยหลานอธิบายหลักการอย่างชัดเจน และให้พวกเขาท่องสูตรคูณด้วยตนเอง
ระยะเวลาคืนเดียว ก็เพียงพอให้พวกเขาจำสูตรคูณได้
รอจนไก่ขัน โจวกุ้ยหลานกับทุกๆ คนจึงแยกย้ายกันไปนอน
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏอยู่ในดวงตา คือสภาพแวดล้อมที่มืดมิด
นางคิดว่าตนเองยังไม่ตื่น จึงหลับตาลง และลืมตาอีกครั้ง แต่สภาพแวดล้อมตรงหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ห้องขังที่สกปรก แสงมืดสลัว เสียงหนูร้องขึ้นเป็นบางครั้งบางคราว
ทุกสิ่งทุกอย่างเตือนสตินางเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ ว่ามันเหลือที่จะทนขาดไหน
โจวกุ้ยหลานต้องการจะลุกขึ้นนั่ง จึงพบว่าศีรษะนั้นหนักอึ้งจนเหมือนไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกาย
นางนวดๆ ที่ขมับของตนเอง และมองพิจารณาไปรอบๆ ห้องขัง คาดไม่ถึงว่าจะเห็นผู้หญิงชุดดำคนหนึ่ง
เธอค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมา ศีรษะหนักแต่เท้าเบาเดินเข้าไป เมื่อพลิกร่างของคนนั้นขึ้นมา ทันทีที่เห็นใบหน้า นางก็ต้องปิดปากของตนเองเอาไว้ เกรงว่าจะตะโกนออกมา
คนคนนี้ คือเสี่ยวจิ่ว
ผู้หญิงที่งดงามและเย็นชาคนนั้น
ด้วยแสงที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่างบานเล็ก จึงทำให้เห็นเลือดที่มุมปากของนางได้รางๆ
ฉับพลัน ก็มีกลิ่นคาวเลือดโชยออกมา
โจวกุ้ยหลินอยากจะเรียกเพื่อปลุกนาง แต่กลัวว่าจะมีคนเข้ามา จึงทำได้เพียงจับมือของนาง คิดที่จะเขย่าเบาๆ เพื่อปลุกนางให้ตื่น
เพิ่งจะยื่นมือเข้าไป บนมือก็รู้สึกได้ถึงความอุ่น นางยกมือขึ้นมาดู สิ่งที่เห็นก็คือ มือนั้นเต็มไปด้วยเลือด
นางยื่นมือไปคลำอีกครั้ง ความอุ่นนั้นยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
โจวกุ้ยหลานรู้สึกสับสนอลหม่านอยู่ครู่หนึ่ง ต่อจากนั้น นางจึงรีบปลดเสื้อคลุมผ้าฝ้ายด้านนอกของเสี่ยวจิ่วออก และในเสื้อสีขาวบริเวณหน้าอกก็ถูกย้อมไปด้วยสีแดง
นางรีบถอดเสื้อคลุมผ้าฝ้ายของตนเองออก และรีบปลดเสื้อชั้นกลางและชั้นในของเสี่ยวจิ่วออก จึงเผยให้เห็นบาดแผลด้านในที่น่าสะพรึง
หากบาดแผลนั้นลึกลงไปอีกครึ่งหนึ่ง ก็คงจะถึงหัวใจเลย
โจวกุ้ยหลานบังคับตนเองให้สงบจิตใจลง แล้วกัดฟันแน่น นำเสื้อคลุมผ้าฝ้ายของตนเองคลุมร่างของเสี่ยวจิ่วเอาไว้ ฉีกผ้าชิ้นใหญ่ออกจากเสื้อชั้นกลางของตนเอง กดลงบนบาดแผลของเสี่ยวจิ่ว ออกแรงสองมือ อุดเลือดไว้ ต้องการให้เลือดหยุดไหล
เลือดค่อยๆ เปื้อนผ้าขาวในมือของนางจนเป็นสีแดง ความรู้สึกของชีวิตที่กำลังจะสูญเสีย ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นในใจ
แม้ว่าจะเคยเห็นความตายมาหลายครั้งหลายครา นางยังคงจนปัญญาที่จะทนได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เสี่ยวจิ่วได้ไอออกมา จากนั้นก็ไออยู่หลายครั้ง จึงลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ
ชั่วขณะที่เห็นโจวกุ้ยหลาน นางก็ผ่อนคลายลงมา : “คุณ……คุณฮุหยินน้อย……”
“เจ้าอย่าเพิ่งพูด ข้ากำลังห้ามเลือดให้เจ้า!”
โจวกุ้ยหลานตอบกลับนางหนึ่งประโยค ดวงตาทั้งคู่ยังคงจับจ้องอยู่ที่บาดแผลตรงนั้น
เสี่ยวจิ่วทำเสียง”อืม”อย่างอ่อนแรง ดวงตาทั้งคู่ปิดลงอีกครั้ง เพียงแต่ลมหายใจมีแรงมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
เมื่อโจวกุ้ยหลานไม่ได้รู้สึกถึงเลือดที่ไหลออกจากบาดแผลอีกแล้ว นางจึงโล่งอก และนั่งลงบนพื้น
ตอนนี้ แผ่นหลังของตนเองเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
“ขอบคุณ……คุณฮูหยินน้อย……”
เสี่ยวจิ่วลืมตาขึ้นมา เห็นโจวกุ้ยหลานนั่งอยู่บนพื้น จึงได้กล่าว
โจวกุ้ยหลานใช้แขนเช็ดใบหน้า ฝืนยิ้มและกล่าวว่า : “นี่ไม่ใช่เวลามาเกรงใจนะ เราต้องคิดว่าจะออกไปได้อย่างไร”
มองไปรอบๆ ห้องขังนี้มีเพียงพื้นที่ใกล้ๆ กับหลังคา ที่มีช่องขนาดเล็กเท่ากำปั้นอยู่หนึ่งช่องเท่านั้น แสงสว่างเพียงเล็กน้อยส่องผ่านเข้ามาได้จากทางนั้น ส่วนที่เหลือ คือกำแพงทั้งหมด
ในเมื่อพวกนางถูกจับเข้ามา แสดงว่าจะต้องมีประตูอย่างแน่นอน
โจวกุ้ยหลานสงบลงอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน คลำหาเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปทางด้านเหนือของกำแพง สัมผัสที่มือแตกต่างออกไป ความเย็น ความเกลี้ยงเกลา เหมือนว่าจะเป็นประตูเหล็ก
นางคลำมันไปมา ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่า นี่คือประตูเหล็กบานหนึ่ง
โจวกุ้ยหลานหยุดชั่วขณะ จากนั้นก็คลำไปที่กำแพงด้านข้าง
เมื่อวนอยู่หนึ่งรอบ ก็มีแค่ประตูบานนั้น
ถึงแม้ว่านางไม่อยากจะยอมรับ ก็จะต้องยอมรับว่าที่พวกนางอยากจะหนีออกไปในเวลานี้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ
“พวกเรา…..ถูกขังจริงๆ …..”
โจวกุ้ยหลานหันไปมองเสี่ยวจิ่วอย่างจนปัญญา
เสี่ยวจิ่วอยากจะตอบกลับ แต่ก็สำลักน้ำลายจนไอออกมา และร่างกายก็อ่อนแออย่างมาก
เมื่อเห็นเช่นนี้ โจวกุ้ยหลานก็ไม่อยากคิดมากอีก ทุบประตูเหล็กหลายๆ ครั้งอย่างรุนแรง และตะโกนออกไปด้านนอกว่า : “พวกเรากระหายน้ำจะตายแล้ว รบกวนส่งน้ำมาให้เราดื่มด้วย!”
เสี่ยวจิ่วมองดูการกระทำของนางอย่างตาปริบๆ อยากจะห้ามปราม แต่ก็ไม่ทันแล้วจริงๆ
บางที ภารกิจของนางอาจจะต้องล้มเหลวเสียแล้ว…..
วินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตู นางอดไม่ได้ที่จะมองออกไป และเห็นระหว่างประตูเหล็กนั้นมีช่องเล็กๆ ช่องหนึ่ง จู่ๆ ก็เปิดออกอย่างกะทันหัน และถ้วยน้ำร้อนก็ถูกส่งเข้ามาทันที
รับน้ำมาด้วยสองมือ ช่องหน้าต่างเล็กๆ ที่ประตูนั้นก็ถูกปิดลงอีกครั้ง เพื่อปิดกั้นแสงด้านนอกเอาไว้
โจวกุ้ยหลานถือน้ำ และค่อยๆ เดินเข้าไปข้างๆ เสี่ยวจิ่ว นำน้ำถ้วยนั้นวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็โอบศีรษะของเสี่ยวจิ่วขึ้นมาอย่างแผ่วเบา และนำถ้วยส่งไปที่ปากของนาง
เสี่ยวจิ่วส่ายหัว
โจวกุ้ยหลานปลอบโยนนาง : “ดื่มเถอะ ไม่ได้ถูกวางยาหรอก หากพวกเขาต้องการจะฆ่าเรา คงจะลงมือไปนานแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เสี่ยวจิ่วรู้สึกประหลาดใจ แต่ยังคงก้มหน้าดื่มน้ำร้อนนั้น
เมื่อน้ำร้อนลงไปถึงท้อง ร่างกายก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างมาก และดูมีชีวิตชีวากว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย
นางส่ายๆ หัว บ่งบอกว่าตนเองไม่ดื่มแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงวางถ้วยลง และค่อยๆ นำนางวางลงบนพื้น
ช่วยนางดึงเสื้อคลุมผ้าฝ้าย มาคลุมร่างกายของนาง
“ที่นี่อะไรก็ไม่มี เราทำได้เพียงยอมรับมัน หากเจ้าหิวหรือกระหาย ก็แค่บอกกับข้า”
“เจ้าทำอย่างนี้ พวกเขาจะรู้ถึงสถานการณ์ของเรานะ” เสี่ยวจิ่วพูดอย่างมีแรงมากกว่าเดิม อย่างน้อยก็ติดต่อกันเป็นคำๆ
โจวกุ้ยหลานส่ายหัว ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย : “ข้าเพิ่งจะตรวจสอบทุกอย่างแล้ว เราไม่มีโอกาสที่จะหลบหนีออกไปเลย ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ขอจากพวกเขาเลยจะดีกว่า ยังสามารถทำให้เราสบายใจได้บ้าง”
โดยเฉพาะเสี่ยวจิ่ว สถานการณ์ในตอนนี้มันย่ำแย่จริงๆ
“ขอโทษนะ ที่ข้าปกป้องเจ้าได้ไม่ดีพอ” เสี่ยวจิ่วหลุบสายตาลง
ถึงแม้ว่าจะเป็นการขอโทษ แต่น้ำเสียงยังคงเหมือนเมื่อก่อน ที่เย็นชา และแข็งกระด้าง
หากไม่ตั้งใจฟัง ยังคิดว่านางกำลังพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจอยู่
ชั่วพริบตาโจวกุ้ยหลานก็เข้าใจ และย้อนถามนางว่า : “ก่อนหน้านี้เจ้าปกป้องข้ามาตลอดเลยหรือ?”
เสี่ยวจิ่วปิดปากเงียบ
นางไม่พูด โจวกุ้ยหลานก็คาดเดาเองได้ มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่? ตอนที่ข้าเข้าเมืองหลวง? หรือ……หรือว่าตอนที่สวีฉางหลินมาหาเรา?