ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 166 ผมจะบากหน้าไปขอน้องอยู่อาศัย

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 166 ผมจะบากหน้าไปขอน้องอยู่อาศัย

ตอนที่ 166 ผมจะบากหน้าไปขอน้องอยู่อาศัย

หลังจากเขี่ยอาหารอยู่เป็นเวลานาน ซูเถาก็ไม่ตอบรับอะไร และเซิ่งอวี๋ชิงก็ดูหมดหนทาง

หลังจากที่จวงหว่านได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอก็ไม่แปลกใจเลย

“ทุกครั้งที่เซิ่งอวี๋หลันกลับบ้าน เธอจะบอกพ่อแม่และน้องสาวของเธอถึงสิ่งดี ๆ เกี่ยวกับเถาหยาง และเธอยกย่องว่าเหมือนได้อยู่บนสวรรค์ มันมีในสิ่งที่ในโลกนี้ไม่มี ในสายตาครอบครัวของพวกเขา การได้ติดตามคุณเป็นทางออกที่ดีที่สุด”

ซูเถาโบกมือ “ไม่เหมาะ ไม่เหมาะ คุณไม่รู้ความสามารถของเซิ่งอวี๋ชิง สือจื่อจิ้นเองก็เห็นด้วย การอยู่ในเขตทหารเป็นทางออกที่ดีที่สุดของเธอ อยู่กับฉัน กิน ดื่ม และนอนไปวัน ๆ พรสวรรค์ของเธอคงไม่ได้ถูกนำมาใช้ ฉันรู้สึกแย่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้”

จวงหว่านกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องพยายามเกลี้ยกล่อม อ้อ ฉันเพิ่งให้พนักงานใหม่ผ่านขั้นตอนการเข้ารับหน้าที่ ไว้วันหลังคุณค่อยเรียกพวกเขาประชุม ฉันรู้ว่าคุณยุ่ง แต่คุณก็ต้องเจียดเวลาออกมาหน่อยนะ!”

ซูเถากล่าวว่า “ได้ค่ะ อาคารเถาฮวาไม่มีที่ว่างแล้ว ฉันจึงขอให้ผู้จัดการฝ่ายขายนำเมล็ดพันธุ์นี้ไปที่ชั้นสองและสามของอาคารเถาหลี่ เพื่อทำงานชั่วคราว ช่วงนี้พวกเขาคงต้องลำบากวิ่งไปวิ่งมาหน่อย”

จวงหว่านยิ้มและพูดว่า “งานหนักอะไรกันล่ะ พนักงานกลุ่มใหม่เห็นอาคารเถา หลี่ของเรา สายตาทุกคนก็จับจ้อง โดยเฉพาะชั้นสองและสามมีห้องประชุมขนาดใหญ่ มีห้องชงชาพร้อม”

ซูเถาเลิกคิ้วด้วยความดีใจ “เดี๋ยวฉันจะปรับปรุงอาคารเถาฮวาใหม่อีกครั้ง”

……

บ้านเหล่าซู

ซูเจี้ยนหมิงขมวดคิ้ว เขาถามลูกชายด้วยเสียงทุ้มต่ำพร้อมกับหนวดเคราที่ไม่ได้โกนของเขา

“พ่อได้ยินมาว่าเพื่อนร่วมชั้นของแกบางคนไปทำงานที่เถาหยาง? เพื่อนร่วมชั้นคนไหน ก่อนหน้านี้เขาทำอะไร? ทำไมไม่พาแกไปที่นั่น”

ซูเจิ้งหลันดูโศกเศร้า “เพื่อนที่รู้จักกันตอนที่ผมทำงานคลังสินค้า โชคดีมากที่พอไปสัมภาษณ์ก็ได้รับการตอบรับทันที มีคนบอกว่าเงินเดือนช่วงทดลองงานคือ 10,000 เหลียนปัง แม้ว่าจะไม่สูงนัก แต่รวมอาหารและเงินอุดหนุนต่าง ๆ เทียบเท่ากับ 15,000 เหลียนปัง และหลังจากที่เป็นพนักงานประจำแล้ว ก็จะได้รับพิจารณาให้เข้าพักที่เถาหยาง แล้วยังสามารถพาครอบครัวเข้าไปอยู่ด้วยได้”

“และพนักงานใหม่เหล่านี้ก็จะได้เข้าไปทำงานในสำนักงานใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นได้ทันทีที่เริ่มงาน ผมได้ยินมาว่าที่นั่นโอ่อ่ามาก มีโต๊ะและเก้าอี้ใหม่ มีครัวให้ด้วย และพวกเขายังมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ฟรีสำหรับการทำงานล่วงเวลาด้วย”

สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือการที่เพื่อนของเขาวิ่งมาเล่าให้ฟังเหมือนเป็นการโอ้อวดอย่างนั้น

พูดไปก็อายเปล่า ๆ ตอนนั้นที่เขาบอกว่าน้องสาวของเขาทำงานที่เถาหยาง เขาสามารถคุยได้

แต่สุดท้ายเขาเข้าไปที่นั่นกี่ครั้งก็ไม่ได้พบกับเธอ

ซูเจี้ยนหมิงดูแก่ลงมาก ผมของเขาเป็นสีขาวครึ่งหนึ่ง

“…สวัสดิการดีจริง ๆ ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่ให้เงินเดือนดีแบบนี้ เจิ้งหลัน ได้โปรดทำงานหนักขึ้น พ่อแก่แล้ว และครอบครัวของเรายังต้องพึ่งพาแกอยู่”

ซูเจิ้งหลันรู้สึกถึงก้อนเนื้อในอกของเขา

“พ่อครับ ผมพยายามสุดความสามารถแล้ว แต่พวกเขาไม่ให้เข้าประตูด้วยซ้ำ จะให้ทำยังไง ผมยังติดต่อกับน้องไม่ได้เลย ผมเดาว่าเธอปิดกั้นพวกเราหมดทุกช่องทางแล้ว พ่อไม่เข้าใจเหรอ เธอไม่มีทางช่วยเรา!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่หรงเหลียนวิ่งออกมาพร้อมกับอุ้มถังโต้วไว้ในอ้อมแขน และพูดด้วยตาแดงก่ำ

“แกไปหาใครก็ได้ที่เถาหยางให้ช่วยส่งข้อความถึงเธอ บอกว่าฉันกำลังจะตาย ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะมีจิตใจที่แข็งกระด้างแบบนั้น แม่ของเธอกำลังจะตาย และอยากที่จะพบเธอเป็นครั้งสุดท้าย!”

ถังโต้วอายุสี่ขวบแล้ว เธอเริ่มพูดชัดขึ้น เด็กน้อยโบกมือน้อย ๆ แล้วพูดว่า

“คุณน้าใจร้าย น้าใจร้าย!”

ซูเจิ้งหลันได้ยินสิ่งนี้และพูดกับซูเจี้ยนหมิงด้วยความโกรธ

“พ่อ! ถังโต้วตัวแค่นี้ ใครไปสอนเธอพูดแบบนี้ มันไม่น่ารักเลยจริง ๆ!”

หลี่หรงเหลียนขึ้นเสียงของเธอ “แล้วมันไม่จริงหรือไง ตอนนี้เธอรู้จักผู้ชายที่ร่ำรวยมีอำนาจ มีฐานะดี เธอกินอยู่อย่างสบายในเถาหยางและใช้ชีวิตแบบนางฟ้านางสวรรค์ แต่เธอลืมครอบครัว ลืมแม่ของเธอไปโดยสิ้นเชิงและไม่แม้แต่จะสนใจเรา แบบนี้ไม่เรียกว่าไม่มีจิตสำนึกเหรอ”

“ฉันจะทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ ชีวิตครอบครัวของเราจะพัง ชีวิตฉันแย่ ผู้ชายที่ฉันแต่งงานด้วยก็ไร้ค่า ลูกเลี้ยงก็อกตัญญู ลูกสาวคนโตเข้าร่วมกองทัพ ลูกสาวคนเล็กก็ใจจืดใจดำ”

ซูเจิ้งหลันรู้สึกว่าแม่เลี้ยงคนนี้สับสนจริง ๆ ตอนที่มีชีวิตดีๆ เธอก็ไม่รู้จักทำตัวให้เหมาะสม แต่พอชีวิตเริ่มตกต่ำก็มาคร่ำครวญ ทำตัววุ่นวายไร้เหตุผล

เขามองดูบ้านที่พังยับเยิน โดยไม่พูดอะไร และเริ่มเก็บสัมภาระ

ซูเจี้ยนหมิงมีความรู้สึกไม่ดีและถามว่า “เจิ้งหลัน แกคิดจะทำอะไร”

ซูเจิ้งหลันพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง

“ผมเหนื่อยเกินไป ไม่มีครอบครัวจะยังดีกว่า จากวันนี้ไปเรามาขีดเส้นให้ชัดเจน ผมจะบากหน้าไปขอน้องอยู่อาศัยคนเดียว ทุกคนดูแลตัวเองแล้วกัน”

เขาตัดสินใจแล้ว และไม่มีใครหยุดเขาได้ เขาสะพายกระเป๋าใบเล็กออกไปและไม่หันกลับมามอง

ข้างหลังเขาคือหลี่หรงเหลียนที่กำลังร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง และร่างที่สั่นไหวของซูเจี้ยนหมิง

……

ในช่วงบ่าย เผยตงมารับซูเถาเพื่อไปคัดเลือกผู้สมัคร

ซูเถาเข้าไปในรถและหันกลับไปหาคนที่รู้จักคุ้นเคยกันดี ที่นั่งอยู่ข้างหลังเธอคือสิงซูอวี่

ไม่ได้เจอกับเธอมานานมากแล้ว และมักจะเห็นแต่พ่อแม่ของเธอ คู่สามีภรรยาที่มีช่วงเวลาที่ดีในเถาหยาง พวกเขามักจะพูดคุยและเล่นหมากรุกกับผู้อาวุโสเหม่ยและชายชรากู้เป็นครั้งคราว มีความสุขในบั้นปลายชีวิต

ซูเถาคิดว่ามันตลก เธอจำได้ว่าอตีดผู้นำกองทัพส่งเธอมาที่เถาหยางเพื่อสืบอะไรบางอย่าง

แต่มันก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อยู่เหมือนกัน

เถาหยางก่อตั้งมาครึ่งปีแล้ว

แม้ว่าจะไม่ได้เจอเธอเป็นเวลานาน แต่สิงซูอวี่ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก ดังนั้นเธอจึงแอบบ่นว่า

“ช่วงนี้มีสงครามและกำลังคนไม่พียงพอ ฉันถูกย้ายไปแนวหน้าในฐานะเสมียนชั่วคราว ฉันเพิ่งเปลี่ยนกะเมื่อวานนี้ แต่เมื่อเช้าฉันก็ถูกเรียกตัวอีกครั้งให้ไปต้อนรับคนจากฐานเหอคัง คุณปู่ทำเหมือนว่าฉันไม่ใช่หลานของเขาอย่างนั้น ฉันเหนื่อยจะตายแล้ว”

“แต่เถาจื่อ น่าเสียดายที่คุณไม่เห็นสีหน้าของคนจากเหอคัง การได้เห็นบ้านรับรองของเราก็เหมือนกับการได้เห็นพระราชวัง ฉันล่ะงงจริง ๆ”

ซูเถากังวลเรื่องที่อดีตผู้นำไปพูดคุยกับพวกเขา “แล้วเรื่องความร่วมมือเป็นยังไงบ้าง สำเร็จไหม”

เผยตงอารมณ์ดี เห็นได้ชัดว่ากระบวนการดำเนินไปอย่างราบรื่น เธอพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม

“สำเร็จแล้ว เหอคังมีโรงงานปลูกฝ้ายและป่าน แล้วก็โรงงานพลาสติก ถึงเวลาพวกเขาจะร่วมมือกับเราในอุตสาหกรรม กิจการของตงหยางก็จะรอด”

ซูเถายิ้ม “ดีแล้ว งั้นเครื่องดื่มในตู้เย็นก็ถือว่าไม่เสียเปล่า”

สิงซูอวี่หาวและพูดว่า

“เครื่องดื่มเหล่านั้นมีส่วนช่วยอย่างมาก อันที่จริงในตอนแรก พวกเขาไม่ได้อยากจะให้ความร่วมมือมากนัก เพราะพวกเขารู้สึกว่าอุตสาหกรรมของตงหยางจะล่มสลายได้ทุกเมื่อ พวกเขาไม่ต้องการเสี่ยง แต่เมื่อเห็นว่าเรามีเครื่องดื่มมากมาย และเฟอร์นิเจอร์ใหม่เอี่ยม เราไม่ได้ปิดบัง เราแค่ตอบว่า ใช่ คุณเป็นคนสนับสนุน”

“ฐานเหอคังรู้สึกว่าตงหยางมีพันธมิตรที่ทรงพลังอย่างเถาหยาง ไม่มีอะไรที่ไม่น่าเชื่อถือ เขาตกลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ พวกเขายังต้องการมาที่เถาหยางเพื่อเยี่ยมชมอีกด้วย แต่เรายังไม่ได้ตกลง ก็ว่าจะกลับมาถามความเห็นของคุณก่อน”

ซูเถาถามว่า “พวกเขามากันกี่คน”

“มากันห้าคน ชายสาม หญิงสอง”

เผยตงกล่าวเสริม “พวกเขาน่าจะอยากซื้อของบางอย่างจากเธอ เธอสามารถเสนอให้เขาเอาผลึกนิวเคลียสมาแลกเปลี่ยน ฐานเหอคังล่าและฆ่าซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการไปไม่น้อยไปกว่าเรา”

ดวงตาของซูเถาเป็นประกายทันที เธอพูดด้วยรอยยิ้มขณะนอนอยู่บนหลังที่นั่งของเผยตง

“พี่เผย พี่เข้าใจและคิดถึงฉันอยู่ตลอดเลยจริง ๆ”

เผยตงเอามือผลักหน้าเธอออก “เอาหน้าไปไกล ๆ เลย”

สิงซูอวี่ลูบแขนของเธอ มองไปที่เถาหยางที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้วถามว่า

“เถาจื่อ ห้องของฉันอยู่ตรงไหนเหรอ ฉันเหนื่อยมาก อยากจะกลับไปอาบน้ำนอนสักหน่อย”

ซูเถาผายมือ “คุณถามพี่จวงหว่านได้เลย ฉันเองก็ลืมไปแล้วด้วยว่าคุณอาศัยอยู่ห้องไหน”

สิงซูอวี่ลงจากรถด้วยความโมโหเล็ก ๆ “ที่ฉันจ่ายไปคุ้มไหมเนี่ย”

……

ซูเถามองดูข้อมูลบุคลากรในมือ พวกเขาล้วนเป็นต้นกล้าที่อายุน้อย พื้นฐานแล้วมีอายุประมาณ 18 ปี และเมื่อเธอมองย้อนกลับไป ก็เห็นชื่อของเซิ่งอวี๋ชิง

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
คอยดูเถอะ…วันสิ้นโลกแบบนี้ฉันจะยืนด้วยด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท