“สถานฝึกฝนอัศวินเวทมนตร์อัลเฟรีย” – หรือที่รู้จักกันในชื่อโรงเรียนอัศวินเวทย์
ทั้งที่ชื่อทางการไม่มีคำว่า”โรงเรียน”อยู่แท้ๆ แต่ทุกคนก็เรียกที่นี่ว่าอย่างนั้น
สถานฝึกฝนที่รวบรวมคนหนุ่มสาวที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นอัศวินจากทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่แบกความมั่นคงของมนุษยชาติไว้บนบ่า
ชื่อของสถานฝึกฝนนั้นมาจากเซนต์คนแรก อัลเฟรีย ผู้ใดที่สามารถผ่านการฝึกฝนที่เข้มงวดมาได้ จะถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นอัศวินชั้นเยี่ยม
ผู้ที่ผลลัพท์ยอดเยี่ยมจะได้รับเลือกให้เข้าร่วมองครักษ์ประจำเซนต์ เรียกได้ว่าเป็นอาชีพในฝันสำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นกำลังหลักให้แก่อนาคตของมนุษยชาติ
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นสถานศึกษา แต่จุดรวมพลนักเรียนใหม่นั้นควรจะเรียกว่าโบสถ์ใหญ่เสียมากกว่า
ทั้งเพดานและกำแพงถูกทาไว้ด้วยหลากสีสันทั้งขาว ฟ้า แดง เหลือง และเขียว สร้างเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบ
นักเรียนทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ต้องผ่านการสอบเข้าสุดหฤโหด มีผู้ที่สอบผ่านอยู่เพียงหยิบมือเมื่อเทียบกับผู้ที่สมัคร
บรรยากาศรอบตัวพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและอารมณ์ที่หลากหลาย
เวอร์เนลอายุ 17 ก็นั่งอยู่ท่ามกลางนักเรียนเหล่านี้
“ว่าแล้วเชียว บรรยากาศนี่มันต่างกันจริงๆ…”
นี่ไม่ใช่แค่วันที่สำคัญสำหรับนักเรียนใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นใหม่
พวกเขาสามารถผ่านคอขวดและสอบเข้ามาได้แล้ว หลังจากนี้ไป ทุกคนที่นี่จะกลายเป็นทั้งสหายและคู่แข่ง
ในหมู่นักเรียนเหล่านี้ เพียงแค่หนึ่งในสิบเท่านั้นที่จะได้รับยศอัศวิน ส่วนที่เหลือจะถูกกระจายให้ไปรับตำแหน่งที่ต่ำกว่านั้น
อัศวินเวทมนตร์เป็นทั้งหอกและโล่ในการต่อกรแม่มดร่วมไปกับเซนต์ วีรชนที่นักสู้ทุกคนฝันจะเป็น
เพราะเช่นนั้น เส้นทางในการเป็นอัศวินนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย สามในสิบของทหารประจำการล้วนมาจากผู้ที่ไปไม่ถึงฝั่งฝันและไม่อาจกลายเป็นอัศวินได้
นอกจากนี้ ยังมีคนเพียงน้อยนิดที่ถูกรับเลือกให้เป็นองครักษ์รับใช้ข้างกายเซนต์
และนั่นคือจุดมุ่งหมายสูงสุดที่เวอร์เนลอยากจะเป็น
ตั้งแต่วันที่เซนต์เอลริสช่วยเขาไว้ เขาไม่เคยหยุดฝันที่จะได้ต่อสู้เคียงข้างเธอ
เขาไม่เคยถอดจี้เส้นนี้ออก เพราะนี่คือหลักฐานแห่งคำสัญญา
และในที่สุด เขาก็มาถึงจุดเริ่มต้นจนได้
ในอดีตเขาเคยสิ้นหวังในทุกๆอย่าง สาปแช่งทุกๆสิ่ง
เธอเป็นผู้ที่ช่วยเขาไว้ด้วยอ้อมกอดนั้น
เธอมอบแสงสว่างให้แก่ชีวิตที่เคยถูกล้อมรอบไปด้วยความมืดมิด
ในตอนนั้นเขาได้ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาจะไม่ยอมถูกล่อลวงด้วยความมืดอีกเป็นอันขาด
เขาจะเดินบนเส้นทางแห่งแสงที่เธอคนนั้นเป็นผู้สร้าง
เด็กสาวจ้องไปที่เวอร์เนล เด็กคนนั้น…เอเทอร์น่าเป็นเพื่อนจากหมู่บ้านเดียวกัน ยิ้มแห้งๆด้วยความรู้สึกที่ปนเป
“นายดูมีความสุขดีนะเวอร์”
“ดูเป็นอย่างนั้นเหรอ? ไม่ได้การล่ะ…เพิ่งจะยืนอยู่หน้าจุดเริ่มต้นแท้ๆ ผมต้องเริ่มควบคุมตัวเองบ้างแล้วสิ จะมาพอใจกับแค่นี้ไม่ได้ ผมจะต้องรีบแข็งแกร่งขึ้น เพื่อจะสามารถยืนเคียงข้างคนคนนั้นได้”
เอเทอร์น่าพบกับเวอร์เนลเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 14 ปีหลังจากที่เขาเดินทางมาถึงหมู่บ้านของเธอได้ไม่นาน
เธอมีผมสีเงินสลวย และมีชื่อเสียงในฐานะสาวสวยที่สุดในเมือง
นั่นไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด
เพราะเกิดในหมู่บ้านที่ยากจนจึงไม่มีโอกาสได้บำรุงรักษาผิวพรรณและเส้นผม ความงามตามธรรมชาติของเธอเลยหมองลงไปเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้น ความงามโดยรวมของเธอก็ไม่แพ้กระทั่งเซนต์เอลริสเลย
เธอให้ความสนใจเวอร์เนลที่อยู่ด้วยกันมาตลอดสามปีนี้
เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือเปล่า…
แต่ในหมู่บ้านของเธอ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ผู้ชายและผู้หญิงอายุใกล้เคียงและสนิทสนมกันจะแต่งงานกัน เป็นสิ่งที่เอเทอร์น่าหวังเล็กๆว่าจะเกิดขึ้นกับเธอและเวอร์เนล
เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยในความคิดของเธอ
แต่ตลอดเวลามานี้ สายตาของเวอร์เนลนั้นมองในสิ่งที่ไกลออกไป และในดวงตานั้น สะท้อนรูปลักษณ์ของผู้หญิงคนอื่นอยู่
“ที่นี่มีคนเยอะเลยนะ…”
“ก็หมายความว่ามีคู่แข่งอยู่เยอะไงล่ะ”
ก่อนหน้านี้ ผู้คนที่ต้องการจะเป็นอัศวินไม่ได้มีเยอะขนาดนี้
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จำนวนของผู้ที่สมัครเข้าเรียนเพื่อเป็นอัศวินได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ต้นเหตุของเรื่องนี้ก็คือเซนต์เอลริส ผู้ถูกยกย่องว่าเป็นเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ทหารเกณฑ์ที่ถูกช่วยให้รอดพ้นจากปีศาจในสนามรบ ได้ฝึกฝนตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจก่อนที่จะมาที่นี่
เด็กสาวที่แผลเป็นทั้งทางกายและทางใจได้ถูกรักษา กลายเป็นยอดพลธนูและเดินทางมาที่นี่เพื่อตอบแทนบุญคุณ
เด็กหนุ่มผู้มีพลังความมืดอยู่ในร่างกาย ผู้สิ้นหวังในทุกสิ่งจนกระทั่งได้รับมอบแสงสว่าง ได้มายังโรงเรียนแห่งนี้
ผู้คนมากมายที่ถูกช่วยเหลือไว้โดยเซนต์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้มาอยู่ที่นี่กัน และรวมไปถึงพวกที่เคยเห็นเธอจากเพียงระยะไกลก็ด้วย
หนุ่มสาวทั้งหลายได้เดินทางมายังโรงเรียนนี้แบบไม่ขาดสาย ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ได้กลายเป็นยุคสมัยที่เปี่ยมไปด้วยผู้มีพรสวรรค์มากมายอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
“ณ บัดนี้ ท่านเซนต์เอลริส จะทำการกล่าวต้อนรับนักเรียนใหม่”
และแล้วเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้ก่อกำเนิดเหล่าผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้ได้เดินทางมาถึงเวที
ทุกคนแทบจะลืมหายใจเมื่อได้เห็นรูปโฉมนั้น
เส้นผมสีทองส่องประกายยาวถึงเอว ผิวขาวเปล่งปลั่ง และดวงตาที่คล้ายคลึงกับอัญมณี
ชุดสีขาวบริสุทธิ์เหมาะสมราวกับมีไว้ให้เธอเท่านั้นที่ใส่ได้ ดอกไม้สีขาวที่ประดับอยู่บนศีรษะยิ่งเพิ่มพูนเสน่ห์ของเธอเข้าไปอีก
อายุของเธอนั้นหยุดอยู่ที่ 14 ปีไปชั่วนิรันดร์ ตัวตนที่ละทิ้งการแก่เฒ่า เต็มไปด้วยความรู้สึกเยาว์วัย เธอไม่เปลี่ยนไปเลยจากครั้งก่อนที่เวอร์เนลได้พบกับเธอ
กระทั่งเวลาก็ยังตั้งจำนนแก่ปาฏิหารย์นี้ อายุมิอาจบั่นทอนความงดงามของเธอลงได้เลย
ราวกับร่างถูกฟ้าผ่า เหล่านักเรียนใหม่ไม่อาจละสายตาออกจากเซนต์ที่ราวกับหลุดมาจากเทพนิยายคนนี้ได้เลย
“ขอแสดงความยินดีกับทุกๆท่านที่ผ่านการสอบเข้าอันยากลำบากมาได้ ชั้นขอแสดงความเคารพต่อความทุ่มเทของพวกท่านจากใจจริงค่ะ”
เสียงที่ดังราวกับกระดิ่งกังวาลก้องในหูของเหล่านักเรียน
แต่สิ่งที่เธอพูดต่อจากนี้ ไม่มีใครจะคาดคิดได้
“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้นี่อาจจะเป็นการทำลายความฝันของพวกท่าน แต่อัศวินไม่ใช่อาชีพที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ท่านวาดฝันไว้หรอกค่ะ อัศวินคือผู้ที่ต้องสู้อยู่แนวหน้า เป็นอาชีพที่อันตรายและมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตสูง ความเป็นจริงที่โหดร้ายก็คือถึงแม้ท่านจะเสียชีวิตอย่างสมเกียรติในหน้าที่ สถานการณ์โดยรวมก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย [ความตายอย่างสมเกียรติ]ก็คือความตาย ส่วนเกียรติยศที่ได้มานั้นก็ไม่สามารถเอาไปใช้ทำอะไรได้”
เป็นการปฏิเสธหน้าที่ของอัศวินจากเซนต์ที่สมควรเป็นผู้ได้รับการปกป้อง
อัศวินไม่ใช่อาชีพที่มั่นคงแบบที่คุณคิด
กล่าวถึงความอันตรายที่มากับอาชีพและความเป็นจริงอันโหดร้าย
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังพูดอย่างชัดเจนว่าการตายในฐานะอัศวินนั้นไร้ความหมาย
“ก่อนที่ทุกท่านจะเริ่มเดินบนเส้นทางนี้ กรุณาคิดให้ดีๆ ว่ามันดีแล้วหรือ? ต้องมาสละชีวิตเพื่อปกป้องคนอย่าง[เซนต์]? ชั้นอยากจะเห็นพวกท่านมีชีวิตต่อเพื่อปกป้องครอบครัวมากกว่าเอาชีวิตไปทิ้งอย่างสมเกียรติแบบนั้น ไม่ควรมีชีวิตไหนต้องมาเสียไปเพื่อเป็นโล่ปกป้องชั้น”
อัศวินคือโล่ หอก และตัวตายตัวแทนสำหรับเซนต์
อัศวินมีไว้เพื่อยืดชีวิตเซนต์
อัศวินคือเบี้ยสังเวยเพื่อให้เซนต์สามารถต่อสู้กับแม่มดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะใช้คำสลวยอย่าง “วีรชน” “เกียรติของนักรบ” หรือ “ความตายอย่างสมเกียรติ” สุดท้ายใจความก็ไม่ต่างกัน
อัศวินคือเครื่องสังเวย อัศวินคือตัวตายตัวแทน
ผู้ที่ยืนยันสิ่งนี้คือตัวของเซนต์เอง
เมื่อได้เห็นเธอที่เป็นแบบนั้น เวอร์เนลก็เพียงคิดว่าเธอไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนนั้นเลย…และหัวเราะออกมา
เขาเข้าใจดี และเขาก็เตรียมใจมาพร้อมแล้วด้วย
เขามาอยู่ที่นี่ในวันนี้ก็เพราะยอมรับเงื่อนไขนั้นแล้ว
สำหรับเซนต์แล้ว ยิ่งมีตัวตายตัวแทนเยอะเท่าไรก็น่าจะยิ่งดี แต่เธอกลับไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
เพราะอย่างนั้นเธอถึงต้องการจะผลักไสพวกอัศวินออกห่าง…ถึงแม้จะไม่มีอัศวินอยู่ข้างกาย เธอก็ยังจะสู้กับแม่มดต่อด้วยตัวคนเดียว
เขาอยากจะปกป้องเธอที่เป็นเช่นนั้น
นี่เป็นความรู้สึกที่ทุกคนที่นี่แชร์ร่วมกัน
“การปราบปีศาจไม่ใช่การต่อสู้เดียวที่ท่านสามารถทำได้ค่ะ ปกป้องครอบครัว ให้กำเนิดบุตรหลาน และเลี้ยงดูคนรุ่นใหม่ก็เป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน เพียงเท่านั้นชีวิตของพวกท่านก็มีค่ามากกว่าตัวชั้นแล้ว กรุณาคิดอีกครั้งเถอะค่ะ ว่าท่านพร้อมจะใช้ชีวิตของท่านไปกับเรื่องนี้จริงๆหรือ?”
เป็นสุนทรพจน์ที่เหมือนกับจะสนับสนุนให้นักเรียนลาออก
แต่ก็ไม่มีใครที่ลังเลหลังจากได้ฟังแบบนั้น
ไม่มีใครลุกออกจากที่นั่ง
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว
ถึงจะตายไปสักคน ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อโลก อย่างมากก็เป็นได้แค่การ”เสียชีวิตอย่างสมเกียรติ”เหมือนคนอื่นๆ
แล้วมันยังไงล่ะ?
ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็พร้อมจะอุทิศตนรับใช้เซนต์ในฐานะเบี้ยสังเวย
ผลลัพท์ก็คือ สุนทรพจน์ของเอลริสทำให้นักเรียนเพียงส่วนน้อยรู้สึกงงงวย นั่นรวมถึงเอเทอร์น่าด้วย แต่กลับเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีสำหรับคนอื่นๆที่เหลือ
.
ฮ่าา——-ไม่ชอบเลยนะแบบนี้
อยากตายกันมากขนาดนั้นเลยรึไง?
ไม่มีใครออกเลยทั้งที่อุตส่าห์บอกว่าอัศวินก็แค่เครื่องสังเวยที่ไม่ได้อะไรตอบแทนคืนสักอย่างแท้ๆ
ตั้งแต่แรกแล้ว ชั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้โล่มนุษย์ซะด้วยสิ
ชั้นบินได้นะ จำไม่ได้เหรอ? แล้วพวกนายจะปกป้องชั้นยังไงล่ะนั่น?
ถ้าพวกนายบินไม่ได้ก็เป็นได้แค่ตัวถ่วง
ฮ่าา——-ไม่ชอบเลยนะแบบนี้
อา เริ่มจะหมดแรงจูงใจแล้วสิ
ในฐานะคนที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนยังไง ชั้นน่ะเป็นคนที่นิสัยเลวมาก ปกติก็เลยไม่รู้สึกผิดกับเรื่องขี้ผงแบบนี้หรอก
แต่จะให้คนแปลกหน้ามาตายอย่างไร้ค่าเพื่อตัวเองก็นี่มันก็…นิดนึงนะ มันคงเหมือนมีรสแปลกๆเหลือติดลิ้นหลังกินข้าวล่ะมั้ง?
ไม่อ่ะ โทษที ชั้นน่าจะไม่รู้สึกอะไรเลยนั่นแหละ
ปกติถ้าดูทีวีแล้วเห็นข่าวคนตายในอุบัติเหตุ ก็คงจะคิดแบบว่า “น่ามสานนะ” แล้วในอีกไม่กี่วิต่อมาก็คงลืมชื่อคนตายไปแล้ว จากนั้นวันถัดไปก็จะลืมกระทั่งว่าเคยเห็นข่าวนี้ด้วย
ความตายของพวกอัศวินก็ได้แค่ประมาณนั้นแหละสำหรับชั้น
ยิ่งมาตายเพื่อชั้นนี่ก็ยิ่งไร้ความหมายไปอีก
เอาคนมาทำเป็นโล่มนุษย์น่ะมันสิ้นเปลือง
ยังไงก็ตาม ตอนนี้จะทำตัวสบายๆไม่ได้ เพราะจากนี้ไป ในโรงเรียนนี้จะมีอีเวนต์เกิดขึ้นมากมายไงล่ะ
ก็นะ ถึงชั้นจะไม่ได้ทำอะไรมาก ตัวเอกของเราเวอร์เนลก็คงแก้ปัญหาทุกอย่างได้ด้วยตัวเองแบบเปรี้ยงเปรี้ยง จากนั้นก็เพิ่มค่าความชอบของพวกนางเอกทั้งหลายแบบป้างป้าง จากนั้นก็ตกหลุมรักทำลูกกันแบบป๊าบป๊าบ แต่มันก็มีอีเวนต์บางอันที่ปล่อยไว้เฉยๆไม่ได้
พวกอีเวนต์ที่ชะตาชีวิตของตัวละครหลักหรือตัวประกอบจะเปลี่ยนไปตามตัวเลือกของผู้เล่น
แต่จะว่าไงดีล่ะ ต่อให้เลือกถูกก็เถอะ บางครั้งพวกตัวประกอบนี่ก็ยังจะตายกันง่ายๆอยู่ดี
ถ้าเวอร์เนลคุงเก่งพอจะเลือกข้อที่ถูกต้องตลอดก็คงจะดี แต่บางครั้งก็มีตัวเลือกที่”โดยปกติ”แล้วจะไม่เลือก แต่จริงๆแล้วเป็นข้อที่ถูก แต่เราไม่สามารถรู้ได้โดยเฉพาะคนที่เล่นครั้งแรก หรือมีกระทั่งบางตัวเลือกที่จะไม่ปรากฏให้เห็นในเซฟแรกเลย
นางเอกบางคนน่ะถูกกำหนดไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องตายในเซฟแรก
ชั้นพูดถึงเธออยู่นะเอเทอร์น่า ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ในเซฟแรกเธอจะต้องกลายเป็นลาสต์บอสอยู่ดี
เออ แต่จริงๆเธอก็ยังตายในฉากจบที่แท้จริงของเซฟสองสามสี่อยู่ดีอ่ะนะ เด็กคนนี้จะน่าสงสารเกินไปแล้ว
มีนางเอกบางคนที่จะตายในทุกรูทที่ไม่ใช่รูทตัวเองอยู่ด้วย อย่างเช่น แม่มด แม่มด แล้วก็แม่มด
แล้วก็มีครูคนสวยในโรงเรียนนี้ที่ชื่อฟาร่า คนคนนี้ก็จะตายทุกครั้งในเซฟแรก
เพราะอะไรบางอย่าง ฟาร่าซังพยายามจะสังหารเอเทอร์น่าจนถูกหยุดไว้โดยเวอร์เนลในเซฟแรก พอสู้เสร็จบุคลิกของเธอก็จะเปลี่ยนไป เธอขอโทษขอโพยในสิ่งที่ทำลงไป แล้วก็กระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย
ในเซฟสองขึ้นไป ผู้เล่นจะสามารถพาเอเทอร์น่าไปสู้ด้วยได้ พลังของเอเทอร์น่าจะแสดงให้เห็นว่าฟาร่าซังโดนแม่มดควบคุมอยู่ จากนั้นก็ใช้พลังเซนต์เพื่อปลดปล่อยเธอออกมา
เหตุการณ์นี้จะทำให้ความจริงที่ว่าเอเทอร์น่าคือเซนต์ถูกค้นพบเร็วกว่ากำหนด นำไปสู้อีเวนต์ความล่มสลายของเอลริส และทำให้เอเทอร์น่าไม่ตกลงสู่ความมืด
หรือก็คือ นี่เป็นอีเวนต์สำคัญที่เกี่ยวพันถึงการรอดชีวิตของฟาร่าและการหยุดเอเทอร์น่าไม่ให้ตกลงสู่ความมืด
…หรือก็คือ การพยายามสังหารเอเทอร์น่าในครั้งนี้เพราะว่าคุณรู้ตัวอยู่แล้วว่าเอลริสเป็นตัวปลอมใช่มั้ย แม่มดชัง?
ก็เป็นถึงแม่มดที่เป็นขั้วตรงข้ามของเซนต์ทั้งที ก็น่าจะพอรู้อะไรบ้างแหละ?
ไม่ดิ ต่อให้ไม่ใช่แม่มดก็น่าจะรู้อยู่นะ
ในตอนนี้ก็ต้องคิดไว้ก่อนว่าแม่มดรู้ตัวจริงของชั้น
ต่อไป ถ้าฟาร่าซังโดนปลดปล่อยจากการควบคุมของแม่มด อีเวนต์ก็น่าจะยังดำเนินต่อ แต่ชั้นไม่กังวลอะไรมากนัก
ตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ชั้นกลายมาเป็นเอลริสก็ไม่เคยทำอะไรชั่วๆเลย
ชั้นพยายามเพิ่มชื่อเสียงและความศรัทธาในตัวเซนต์ เพื่อให้หมู่บ้านของเอเทอร์น่าไม่โดนทำลายและเธอไม่ตกลงสู่ความมืดหลังจากที่เธอได้รับตำแหน่งคืนไป
แต่เพื่อความชัวร์ คงต้องคอยจับตาดูคนร้ายไว้ไม่ให้เธอทำอะไรโง่ๆ
ไงก็ตาม ชั้นรู้ดีว่าฟาร่าซังจะพยายามสังหารเอเทอร์น่าตอนไหน
ที่ต้องทำก็แค่เข้าไปขัดขวางกลางอีเวนต์ แล้วก็บอกว่าฟาร่าซังโดนควบคุมอยู่
วะฮ่าฮ่า นี่แหละชัยชนะของชั้น ไปอาบน้ำดีกว่า