เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ – บทที่ 1 ผู้กล้าไร้ค่า (2)

เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ

ไม่นาน ผมก็มาถึงหมู่บ้านขนาดเล็ก ที่มีทหารรายล้อมมากผิดปกติ รวมถึงชาวบ้าน ไม่ว่าจะเด็กเล็กไปจนถึงผู้ใหญ่ พากันมามุงดู เหตุผลคงเป็นเพราะการมาเยือนของสองผู้กล้า

ออร่าของผู้กล้าเปร่งประกายกว่าที่ทุกคนคิด อย่างที่บอกเอาไว้ ตัวตนของผู้กล้าเปรียบเสมือนแสงสว่าง เวอร์โก้ในชุดหนังสัตว์ที่ดูโทรม ไม่ได้ทำให้รัศมีผู้กล้าของเขาลดลงเลย กลับกัน คนสวมชุดราวกับขุนนางที่นั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้รากไม้สีเขียว ซึ่งมีดีไซน์หรูหราอย่าง– ผู้กล้าลำดับที่ 11  ‘มาสเตอร์แห่งธาตุ’ ‘อควาเรีย ยูซาริเซี่ยน’ สตรีผมสีน้ำตาลยาวผู้มีออร่าความสดใสในทุกๆอิริยาบถ สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเธอไม่ใช่ความสวยงามทางหน้าตา หรือรูปลักษณ์ แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้แย่ อยู่ในจุดที่เหนือกว่ากระทั่งสาวจากบ้านผู้ดีทั้งหลายเหมือนกัน แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุดเหนือทุกคนคือดวงตาที่ราวกับมีดวงดาวสิงสถิตอยู่ 

ความสวยงาม และท่าทางที่งดงามของเธอสะกดสายตาของชาวบ้านทุกคนเอาไว้ รวมถึงเก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ก็มาจากความสามารถธาตุของเธอ ภาพลักษณ์ของเธอ หากไม่ใช่ผู้กล้า ก็เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์จากที่ไหนสักแห่ง เป็นความน่าหลงใหลที่แตกต่างกับเวอร์โก้ ผู้กล้านักสู้ที่จะฝ่าทะลวงทุกอย่าง และเดินนำหน้าทุกคนไปไกลหลายก้าว อควาเรียจะเป็นคนที่เดินไปพร้อมกับทุกคน

พูดง่ายๆ เธอเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีกว่าเวอร์โก้ชนิดเทียบไม่ติด

“โย่ว ไม่เจอกันสามเดือนได้” เวอร์โก้ทักทาย

“อืม ดีจังเนอะที่ได้ร่วมงานกันอีก ..อ๊ะ ลีโอด้วยนะ”

“อะ อืม ไม่เจอกันนาน  ..”

ผมน่าจะไมได้เจอเธอราวหกเดือนได้ ครั้งล่าสุดที่เจอกัน ..อ่า สภาพไม่ต่างกับผมตอนนี้ที่เจอเวอร์โก้เลย คือได้รับงานให้ไปตายซ้ำแล้วซ้ำเล่ารอผู้กล้ามาช่วย แต่จะต่างกันก็ตรงที่ อคาเวียมีท่าทีอ่อนโยนกับผมมากกว่าเวอร์โก้มาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็แค่การแสดงออกภายนอก

จริงๆแล้วเธอก็คงไม่ชอบผมสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลที่คล้ายกับเวอร์โก้ ถึงอย่างนั้นก็ขอบคุณที่เธอไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจอย่างชัดเจน เหมือนกับเวอร์โก้ และคนอื่นๆ–ชาวบ้านทุกคนมองผมราวกับไม่ใช่ผู้กล้า ทหารทุกคนมองผมอย่างเย็นชา แล้วก็โดนเพ่งเร็งเป็นพิเศษด้วยผู้ติดตามของสองผู้กล้า เพราะเป็นคนจากรุ่นเดียวกัน แรงเกลียดชังเลยมากเป็นพิเศษ อีกครั้ง ด้วยเหตุผลเดียวกับเวอร์โก้

หลายคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขา แต่ก่อนเป็นสหายที่สามารถชนไหล่กันได้ แต่มาถึงวันนี้ก็ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว

ผมอึดอัดที่ต้องนั่งคุยกับพวกเขา เลยตั้งใจจะขอตัวไปพักผ่อน ทว่าก็โดนอคาหยุดไว้ก่อน

“เชิญนั่งก่อนเลย ฉันจะแจกแจงรายละเอียดงานต่อจากนี้”

“ไว้สั่งงานแยกได้มั้ย อยากจะพักก่อนน่ะ”

“อืมม ..ไม่ได้หรอก นี่เป็นงานเร่งด่วนน่ะ เวลาแค่ไม่กี่วิก็มีค่านะ”

“เรื่องนั้น–นั่นสินะ ขอโทษด้วยนะ”

สุดท้ายผมก็ไม่มีตัวเลือกปฏิเสธสถานการณ์แสนน่าอึดอัดนี้ และนั่งล้อมวงกับสามคนในฐานะผู้กล้า

“สองปีได้แล้วนะที่พวกเราไม่ได้พูดคุยกันสามคนแบบนี้”

“งานของผู้กล้ามันเยอะกว่าที่คิดนั่นแหละนะ ส่วนหนึ่ง ..ครั้งล่าสุดก็ ..อ่า”

พอพูดถึงครั้งล่าสุดที่เจอกัน ทั้งสองก็เงียบไม่พูดอะไรต่อ–ใช่ ครั้งล่าสุดคือตอนที่ผู้ติดตามของผมทุกคนตาย เป็นครั้งล่าสุดที่ได้พูดคุยกันสามคนอย่างนี้

อนึ่ง ผู้กล้าทั้งหมด 12 ลำดับ จะปรากฏตัวตามคำทำนายครั้งล่าสามลำดับ และสามปีต่อครั้ง คำทำนายว่าใครคือผู้กล้าจะโผล่มาก่อนราวห้าปี เพื่อให้อาณาจักรของพวกเราพาตัวเด็กที่ได้รับเลือกมาฝึกฝน เตรียมเป็นผู้กล้ากัน ด้วยเหตุนั้นเอง ผู้กล้าในทุกๆสองปี หรือก็คือสามลำดับต่อกันจะมีความคุ้นเคยกันเป็นพิเศษ เพราะเริ่มต้นที่สถานที่เดียวกัน ตั้งแต่ 10 ขวบ

แน่นอนรวมถึงผู้ติดตามของผู้กล้าด้วย และใช่ พวกเราในที่นี้คือผู้กล้ารุ่นเดียวกันหมด ตามปกติพวกเราควรจะคุยกันอย่างสนิทสนมมากกว่านี้ เพียงแต่

“..เข้าเรื่องดีกว่าเนอะ”

ความคุ้นเคยอันพิเศษนั้น ได้สูญหายจากรุ่นของพวกผมอย่างสิ้นเชิง เพราะการสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อสองปีก่อน ผมก้มหน้าหนีความรู้สึกผิด พลางตั้งใจฟังเนื้อหางานที่อควาเรียจะพูดต่อจากนี้

“ขุนพลจอมมาร ‘ดราแคล์’ เริ่มเคลื่อนไหวแล้วจริงๆด้วย”

….อคาเรียยื่นกระดาษที่ขีดเขียนด้วยลายมือบนรรจงมาให้ผมกับเวอร์โก้ พวกผมหยิบมันขึ้นมาอ่าน เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการปรากฏตัวของดราแคล์ ให้สรุปรายละเอียดคร่าวๆก็คือ

‘ขุนพลจอมมารดราแคล์ ปรากฏตัว และเข้าต่อสู้กับทางกองทัพ ไม่ได้มีความเสียหายมากเป็นพิเศษ เพราะต่างฝ่ายต่างล่าถอยไปก่อน’

ด้วยเหตุนั้นเลยเกิดการเรียกรวมตัวผู้กล้านั่นเอง

เวอร์โก้ อควาเรีย และตัวผม

“ขุนพลจอมมาร ดราแคล์ ปรากฏตัวครั้งล่าสุดเมื่อสิบปีก่อน นับจากสิบปีก่อนก็ไม่ได้มีบทบาทหน้าที่อะไรมากเป็นพิเศษในสงคราม เป็นขุนพลจอมมารที่สงบที่สุดในหมู่ห้าขุนพล ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่น่าตื่นตกใจ หรือต้องระมัดระวังอะไรเมื่อเทียบกับสี่ขุนพลจอมมาร แต่ว่า ..ถ้าหากมีโอกาส พวกเราผู้กล้า ยังไงก็ต้องกำราบขุนพลจอมมาร เพื่อเบิกทางไปสู่จอมมารให้ได้อยู่ดี ตอนนี้พวกเรารู้ที่ตั้ง ‘เมืองลอยฟ้า’ ของดราแคล์แล้ว”

ขุนพลจอมมาร ดราแคล์ ที่อยู่ของเธอไม่แน่นอน เพราะฐานที่ตั้งของดราแคล์ก็คือ ‘เมืองเคลื่อนที่’ ขนาดยักษ์ ที่จะเคลื่อนที่วนไปมาทั่วทั้งโลก ไม่ว่าจะบนฟ้า ดิน หรือทะเล พร้อมกับเขตุแดนพิเศษที่ยับยั้งการมองเห็นของคนทั่วไปได้ และมีความเป็นไปได้ว่าเมืองลอยฟ้าไม่ได้ลอยไปมาตามใจชอบได้ แต่ต้องถูกควบคุมโดยดราแคล์ก่อน จึงทำให้การจับตำแหน่งที่ตั้งเป็นไปอย่างยากเย็น เรื่องที่บันทึกไว้เมื่ออดีตหลายร้อยปีก่อนก็มีแค่ว่า ดราแคล์ เป็นผู้หญิงเท่านั้น แต่เพราะการปะทะกับกองทัพเมื่อไม่กี่วันก่อน ทำให้พอจะสะกดรอยตามไปได้

และเพราะมันต้องได้รับการควบคุมทิศทาง ทำให้ไม่สามารถประมาทกับการปรากฏตัวเปล่าๆได้ การที่ดราแคล์ปรากฏตัว มันจะต้องหมายถึงการคเลื่อนไหวอะไรบางอย่างที่มีนัยยะสำคัญอย่างแน่นอน

ในอีกแง่มุม การปรากฏตัวของดราแคล์ คือเรื่องที่อาจจะน่ากลัวที่สุดก็เป็นไปได้

…สงครามครั้งใหญ่ 

เมื่อพูดถึงการปะทะกับขุนพลจอมมารแล้ว มันหลีกหนีสิ่งนี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เมื่อขุนพลจอมมารได้เข้าต่อสู้กับผู้กล้า มันจะไม่ต่างอะไรกับสงครามสเกลใหญ่กว้าง ที่มีอนาคตของมนุษย์ชาติเป็นเดิมพัน ตั้งแต่ที่ผู้กล้าสามลำดับแรกได้กวัดแกว่งดาบแห่งผู้กล้า ก็เมื่อ 15 ปีก่อน ยังไม่มีขุนพลจอมมารตนใดถูกปราบลงได้ และมีการปะทะกันครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

สงครามเมื่อ 9 ปีก่อน ผู้กล้าทั้งหมดหกลำดับ กับ ขุนพลจอมมาร ‘โจ๊กเกอร์’ กับ ‘อันดาย’ จบลงโดยที่ไม่มีฝ่ายใดสูญเสียกำลังสำคัญ ไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ เพราะขุนพลทั้งสองยังอยู่ครบ หรือพูดให้ถูก เป็นหลายร้อยปีแล้วที่ขุนพลจอมมารทั้งห้ายังอยู่ครบ

การที่ยังดำรงตำแหน่งกันครบ บ่งบอกถึงความทรงพลังของขุนพลจอมมารได้เป็นอย่างดี ..แล้วก็ผมรับรู้ถึงความแข็งแกร่งนี้ดีกว่าใคร เพราะผมเป็นคนเดียวที่ได้ปะทะกับขุนพลจอมมารตรงๆในรอบสามปีมานี้

เหตุการณ์ที่ทำให้ผมสูญเสียพวกพ้องทั้งหมด–เมื่อสามปีก่อน ผมได้พบกับ ‘อันดาย’ …บางที ดราแคล์เองก็คงจะแข็งแกร่งไม่ต่างกับอันดาย ยังไงเสียก็เป็นขุนพลจอมมารเหมือนกัน ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ผมหวาดกลัว และรู้สึกขัดคอจนอยากจะอาเจียน

ตัวผมที่จมอยู่กับความกลัว ดูแตกต่างกับนิยามของคำว่าผู้กล้าเหลือเกิน ยิ่งกว่าความเจ็บปวด คืออนาคตที่แน่ชัดว่าผมจะต้องเจ็บปวด ผมจมอยู่แต่ความรู้สึกด้านลบ จังหวะนั้น—เสียงสองหมัดกระแทกกันดังขึ้น เวอร์โก้แสยะยิ้ง และโพล่งขึ้นอย่างบ้าดีเดือด

“ก็สวยสิ ได้เวลาสร้างผลงานปราบหนึ่งในขุนพลสักที!”

เขาโพล่งมันออกมาเหมือนกับเป็นเรื่องปกติ ความตึงเครียดก่อนหน้านี้ละลายหายไป เหล่าทหารพากันอึ้ง แต่ก็คล้ายจะยอมรับคำพูดของเวอร์โก้ เหล่าผู้ติดตามยิ้ม และเชื่อมันในตัวของเวอร์โก้อย่างไร้ข้อกังขา ผู้กล้าของพวกเขาคือแสงสว่างที่ปัดเป่าได้ทุกสิ่ง ทุกคนเชื่ออย่างนั้น

“นายเนี่ยนะ ระดับขุนพลจอมมารเชียวนะ พูดว่าจะปราบให้ดู แล้วมันจะปราบได้ง่ายๆได้ยังไงกันละ ถ้าทำได้ ผู้กล้าก่อนหน้าเราเป็นร้อย หรือพันปี คงทำได้ไปนานแล้วเถอะ”

“แล้วมันทำไม? จะให้ยอมรับความพ่ายแพ้ แล้วตายจากไปเฉยๆรึไง? ถ้าทำแบบนั้น ก็ไม่ต่างกับผู้กล้าเมื่อร้อยปีก่อนหน้า หรือใกล้ๆหน่อยก็เก้าลำดับก่อนหน้าพวกเรา ..ไม่เคยตั้งคำถามเลยรึไงว่าในฐานะผู้กล้า พวกแกทำอะไรกันอยู่ ถึงปล่อยให้เวลาผ่านมาเป็นสิบกว่าปีแบบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงน่ะหา?”

เวอร์โก้ลุกขึ้นยืน และแสยะยิ้ม

“ผู้กล้าจะปรากฏตัวพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง นี่คือนิยามดั่งเดิมของผู้กล้าอย่างพวกเราไม่ใช่รึไงกัน!? ดาบของฉันจะนำพามาซึ่งความสงบสุข และใช่ จะปัดเป่าความมืดให้หมดให้ดู และใช่ ฉันจะนำทางทุกคน ไปสู่ประสาทของจอมมารให้ดูเอง”

ไม่ใช่แค่ปราบขุนพลจอมมาร แต่ยังตั้งเป้าไว้ที่ประสาทจอมมาร ..เวอร์โก้คือชายที่มีความมั่นใจในตัวเอง และมีแสงสว่างอยู่ในดวงตามาโดยตลอด เรื่องที่เขาบอกว่าจะปราบจอมมาร ไม่ใช่พึ่งเคยได้ยิน แต่ได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วต่างหาก ผมเคยเชื่อในคำของเวอร์โก้มาโดยตลอด ..

อควาเรียอดยิ้มไม่ได้ แต่ไม่ได้เยาะเย้ยสิ่งที่เวอร์โก้โพล่งออกมา …

“จะดราแคล์ จะโจ๊กเกอร์ หรืออันดายก็มาเถอะ ฉันจะสะบั้นทั้งหมดทิ้งให้ดูเอง”

…..เคยเชื่อมาโดยตลอดว่า เวอร์โก้สามารถทำได้ ต่อให้ผมทำไม่ได้ แต่ถ้าร่วมมือกับเวอร์โก้ และทุกคน จะต้องทำได้แน่ๆ

แต่ว่า หลังจากวันนั้น ความเชื่อมั่นก็ได้จางหายไปอย่างสิ้นเชิง

“เป็นไปไม่ได้หรอก” ผมเผลอพูดออกไปโดยไม่รู้สึกตัว

วันที่ได้เข้าต่อสู้กับอันดาย สิ่งที่ผมเห็นมีเพียงความตายเท่านั้น เวอร์โก้ หรือว่าอควาก็ไม่ใช่คู่มือของสิ่งๆนั้น ถ้าหากเป็นขุนพลจอมมาร ก็คงจะแข็งแกร่งไม่ต่างกัน ..และใช่ ไม่มีทางชนะอยู่แล้วหากเป็นอย่างนั้น

ต่อให้มีพรของผู้กล้า หรือดาบแห่งผู้กล้า ก็ไม่สามารถก้าวข้ามขุนพลจอมมารได้ เหตุผลนั้นง่ายดาย ถ้าหากทำได้ ก็คงทำได้เป็นร้อยปีแล้ว ไม่จำเป็นต้องดำเนินสงครามแบบสูญเปล่ามาเป็นร้อยๆปีอย่างนี้หรอก

“….”

“ไม่มีทางที่จะเอาชนะระดับขุนพลจอมมารได้หรอก ..”

“ต่อให้เป็นฉัน?”

“ต่อให้เป็นเวอร์โก้ก็ไม่สามารถเอาชนะได้หรอก!”

เป็นครั้งแรกในรอบสองปีที่ผมตะโกนออกมาสุดเสียง ความหวาดกลัวผสมกับภาพเมื่อฉายซ้ำเมื่ออดีต ทั้งหมดมาจากใจจริงของผม

“ผมเห็นหมดแล้ว เรื่องเมื่อวันๆนั้น เจ้าพวกนั้นมันแข็งแกร่ง แข็งแกร่งจนเกินไป ไม่สามารถเอาชนะได้ แม้แต่จะแตะต้องยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ กะอีแค่ผู้กล้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันด้วยซ้ำ ..พวกมันไม่ได้แตกต่างอะไรกับความตายที่เคลื่อนที่ได้ ถ้าเกิดปะทะกันเข้า ทุกคนจะต้องตาย ..ไม่ผิดแน่ ใช่ สิ่งที่ผมคิดไม่ผิดแน่นอน ขอร้องละ ทั้งสองคน เชื่อในสิ่งที่ผมพูดทีเถอะ พวกเราเอาชนะไม่ได้หรอก ช่วยยกเลิกคำสั่งพวกนี้ที!”

“ลีโอ นายคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”

“….”

เวอร์โก้หรี่ตามองผมอย่างเย็นชา อควาก็ทำอย่างเดียวกัน ผมถูกมองราวกับเป็นเศษขยะ

“ถ้าผู้กล้ากลัว ทุกอย่างก็จบ”

..อ่า ใช่

ผมชำเลืองมองรอบๆ ทหารรวมถึงประชาชน ต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีหลังจากได้ยินผมพูดพล่ามอะไรก็ไม่รู้ ถ้าผู้กล้ากลัว ทุกอย่างก็จบ ..ผู้กล้าคือความเชื่อมั่นของทุกคน แต่ผมกลับ—ผมรู้สึกละอายใจอย่างช่วยไม่ได้ แต่ว่า

ผมสัมผัสลำคอของตัวเอง ความตายครั้งแรกที่ได้รับ มาจากปลายดาบของอันดาย

“..ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆเหรอ?”

เวอร์โก้ถอนหายใจ

“ก็จริงที่แกเป็นคนเดียวที่เคยเข้าปะทะกับขุนพลจอมมาร แต่ว่านะ ลีโอ ความสามารถของแกมันก็แค่ระดับต่ำสุดเท่าที่ผู้กล้าจะเป็นไปได้ ดีหน่อยก็ไม่ได้ต่างอะไรกับทหารชั้นเลิศคนหนึ่ง แต่ว่า ระหว่างทหารชั้นเลิศ กับพลังในฐานะผู้กล้า มันต่างกันคนละโลก อยู่คนละระดับชั้น เทียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำ” เวอร์โก้พูด “การที่เอาสายตาของแกมาตัดสิน มันจะมีค่าอะไรกัน ไอ้ผู้กล้าจอมปลอม!!”

เสียงตะคอกของเวอร์โก้ ทำให้ผมหน้าซีด และเผลอลุกจากเก้าอี้ด้วยความหวาดกลัว ..ผมตัวสั่นไม่หยุด

“ฉันจะไม่ยอมรับการกระทำที่ทำให้ผู้กล้าเสียความเชื่อมั่นโดยเด็ดขาด ..ลีโอเก็บเอาสิ่งที่ตัวเองคิดกลับเข้าหัวของแกคนเดียว และอย่าไปพล่ามให้ใครได้ยินอีก ไม่อย่างนั้นฉันฆ่าแกทิ้งแน่”

“…”

ผมไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ ทุกอย่างที่เวอร์โก้พูดคือความจริง

“ก็จริงที่เวอร์โก้ออกจะมั่นหน้าไปหน่อย แต่ว่า ลีโอ พวกเราเป็นผู้กล้านะ” อควาเรียพูดขึ้นอย่างไร้อารมณ์ “ถ้าเกิดพวกเขาเห็นนายในตอนนี้ คงจะเศร้ากันน่าดู”

คงจะอย่างนั้น ถ้าพวกเขาเหล่านั้นมองมาที่ผม สิ่งเดียวที่ผมจะทำก็คือหลบสายตาของคนที่เคยเชื่อมั่นในตัวผมที่สุด

ผมมันก็แค่ผู้กล้าจอมปลอม และเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมั่นให้ใครไม่ได้ทั้งนั้น เป็นตัวตนที่ล้มเหลวเพียงหนึ่งเดียวจากทั้งหมด ผมแตกต่างกับพวกเขา แตกต่างกับผู้กล้าที่แท้จริง ตัวผมก็แค่ผู้กล้าที่โดนบดขยี้จนไม่เหลือสิ่งใดแล้ว

เศษสวะไร้ค่า

ผมปล่อยตัว นั่งเหม่อลอยอยู่เฉยๆ ปล่อยให้การประชุมดำเนินต่อไป ทำอย่างกับว่า ณ ที่แห่งนี้ มีผู้กล้าเหลืออยู่เพียงแค่สองคน

****

การประชุมจบหลังจากดำเนินได้ราวสามชั่วโมง พวกเราไม่ได้คุยแค่เรื่องภารกิจต่อจากนี้ แต่ยังพูดไปถึงเรื่องสำคัญอื่นๆมากมายเกี่ยวกับหน้าที่ของผู้กล้า ทั้งสองต่างมีไฟที่ร้อนแรง ผิดกับผมที่ตลอดการประชุม ทำตัวอย่างกับซอมบี้ เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ที่แวบหนึ่งผมจะเผลอคิดว่าตัวเองไม่ได้ต่างอะไรกับซอมบี้ดราก้อนเลย

ผมเดินสะเปะสะปะไปมา มองหาแคมป์พักผ่อนของตัวเอง ..ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้จัดเตรียมไว้ให้ผม ส่วนของคณะผู้กล้าแต่ละคนก็ล้วนแต่เตรียมมาเอง ของทหารก็เช่นเดียวกัน ทำให้ผมที่มาตัวเปล่าไม่มีที่นอนไปโดยปริยาย ผมยืนนิ่งอยู่เฉยๆไปพักใหญ่ๆ

“ไม่มีที่นอนเหรอ?”

น้ำเสียงของเด็กสาวที่แสนคุ้ยเคยดังขั้นจากข้างหลัง–ผมหันหลังกลับไปดู และพบกับ ..น้องสาวแท้ๆของตัวผมเอง ‘มาเรีย’ ผู้น่ารัก สีผมเช่นเดียวกับผมยาวประบ่า ส่วนสูงไม่ต่างกับผมมาก หากมองแบบง่ายๆ เธอเสมือนกับตัวผมที่เป็นผู้หญิง บ่อยครั้งที่ผมถูกเรียกว่าชายหน้าหวาน พวกเราคล้ายกันถึงขนาดนั้นเลยละ เธอดำรงหน้าที่ในตำแหน่งนักบวช ของคณะผู้กล้าเวอร์โก้

“….”

“เป็นยังไงบ้างเหรอ ช่วงนี้”

จู่ๆผมก็ถามออกไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้มาเรียทำหน้าฉงนใส่

“ทำไมจู่ๆถึง”

“แค่สงสัยน่ะ”

“..ทุกอย่างไปได้ด้วยดีนะ ทุกคนทำงานได้เข้าขากันมากๆ แล้วก็ผู้กล้าเวอร์โก้เป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมมาก ไม่มีวันไหนที่หนูรู้สึกลำบากใจเลย หรือหวาดกลัวในอนาคตข้างหน้าเลย”

ผิดกับทางผม เชื่อว่าคำนี้ติดอยู่ในลำคอของมาเรีย

ในฐานะพี่ชาย การโดนน้องสาวดูถูก เป็นอะไรที่ดูไม่ได้ที่สุดเลยละ ผมไม่อยากจะพูดคุยไปมากกว่านี้–

“ที่พี่ชายบอกว่าไม่ไหวน่ะ ..ทำไมถึงคิดแบบนั้นเหรอ? เพราะว่าพ่ายแพ้มา หรือว่าเพราะยังเจ็บปวดจากแผลเก่าอยู่”

“…”

บางทีอาจจะทั้งสองอย่าง มาเรียรุกเดินมาข้างหน้า เธอส่งสายตาราวกับอ้อนวอนอะไรบางอย่าง

“เชื่อในตัวทุกคนเถอะนะ เชื่อในผู้กล้าทั้งสองคน หนูอยากให้พี่เชื่อในตัวพวกเขา”

ผมฟังเรื่องที่มาเรียพูด ครุ่นคิดอยู่ในหัว แต่ก็อาจจะเป็นอย่างที่มาเรียพูด ทั้งความตายที่ได้รับ กับแผลเก่ามันทำให้ผมไม่สามารถเชื่อมั่นในคนอื่นได้ ..กับอีแค่เชื่อมั่นในตัวเองตอนนี้ยังทำไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ ผมน่ะนะ

อย่างน้อยๆ ก็ไม่อยากให้ มาเรีย ต้องตาย

สุดท้ายผมก็เดินไปต่อ ไม่เหลียวหลังกลับมาหามาเรีย—จะให้คณะผู้กล้าทั้งสองเข้าต่อสู้กับดราแคล์ไม่ได้เด็ดขาด ผมไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นอย่างแน่นอน

ผมกัดฟันกรามแน่น และออกวิ่ง—ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ผมจะหยุดยั้งการต่อสู้ในอนาคต

ผมจะ—ทรยศต่อความคาดหวังของมวลมนุษย์

เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ

เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ

Status: Ongoing
ผู้กล้า ลีโอนาร์ ยูซาริเซี่ยน ตัวเขาที่ควรจะตายกลับมีพรในฐานะผู้กล้าคือ อมตะ พรที่ราวกับคำสาป จุดเปลี่ยนของเขาได้มาถึง เมื่อได้พบกับ ขุนพลจอมมาร ‘ดราแคล์’ ผู้เชื้อเชิญให้เขาทรยศมนุษยชาติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท