วันที่ยี่สิบเดือนห้า กงตงหนิงกับโอวหยางหมิงรวมกองทัพ วันที่ยี่สิบสองเดือนห้า กงตงหนิงรับตราแม่ทัพต่อจากโอวหยางหมิงอย่างเป็นทางการ โอวหยางหมิงนำกองทัพหนึ่งหมื่นนายถอยกลับไปที่ป้อมปราการต้าถงที่อยู่ไม่ไกลจากเยี่ยนจิง วันที่ยี่สิบห้าเดือนห้า กงตงหนิงจัดระเบียบกองกำลังใหม่และนำกองทัพทหารหนึ่งแสนสองหมื่นนายเข้าล้อมเซวียนถง วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนห้า กงตงหนิงเริ่มออกคำสั่งโจมตีเมือง วันที่ยี่สิบแปดเดือนห้า เมืองเซวียนถงแตกพ่าย จับเฉลยเผ่าตาดมองโกลได้มากกว่าสามหมื่นคน สังหารศัตรูมากกว่าเก้าพันคน ยึดม้าศึกได้สามพันกว่าตัว แต่ตั่วเหยียนผู้นำเผ่าตาดมองโกลหนีไปทางซีเป่ยโดยมีองครักษ์ทหารม้าคุ้มครองหนึ่งพันคน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข่าวมาถึง ทั้งราชสำนักและราษฎรต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ บรรดาขุนนางทยอยกันร้องขอให้กงตงหนิงเข้าวังมารับตำแหน่ง ให้กงตงหนิงทำพิธีมอบเชลยที่ประตูวังเพื่อแสดงถึงศักดิ์ศรีของต้าโจว
“หมายความว่าสงครามสิ้นสุดลงแล้ว!” สืออีเหนียงวางเข็มกับด้ายในมือลง มองสวีลิ่งอี๋ด้วยรอยยิ้มกว้าง “จิ่นเกอก็ใกล้จะได้กลับเมืองหลวงแล้ว”
“หากฮ่องเต้อนุญาตให้กงตงหนิงทำพิธีมอบเชลยที่ประตูวัง จิ่นเกอจะต้องตามกลับมาด้วยอย่างแน่นอน จะรอประจำการอยู่นอกเมืองหรือตามกงตงหนิงเข้าเมืองก็ยังไม่แน่ชัด ไม่ว่าอย่างไร แค่เพียงไปเจออย่างเงียบๆ ก็ไม่มีปัญหา” สวีลิ่งอี๋เองก็อารมณ์เบิกบานเช่นกัน พูดพลางนั่งลงข้างสืออีเหนียง มองดูผ้าไหมสีขาวที่ถูกคลึงอยู่บนโต๊ะปักผ้า พูดขึ้นมาว่า “ตัวอักษรนี้ปักมาหลายปีแล้วกระมัง เหตุใดยังปักไม่เสร็จเสียที”
“พอมีเวลาก็ค่อยปักทีละนิดทีละน้อยเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา
สวีลิ่งอี๋เพียงแต่รู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจ ยกถ้วยชาที่สืออีเหนียงดื่มไปแล้วครึ่งหนึ่งขึ้นมาจิบหนึ่งอึกแล้วพูดขึ้นมาว่า “เมื่อก่อนรู้สึกเพียงแค่ว่ากงตงหนิงกล้าหาญและเชี่ยวชาญสงคราม คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าคนคนนี้จะค่อนข้างชาญฉลาดทีเดียว” ท่าทางทอดถอนใจเล็กน้อย
เมื่อรู้ว่าบุตรชายปลอดภัยดี ทั้งกงตงหนิงก็เป็นผู้บังคับบัญชาของบุตรชาย สืออีเหนียงย่อมสนใจเรื่องของเขา “หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ตั่วเหยียนหนีไปทางซีเป่ย แต่กงตงหนิงไม่ได้มีคำสั่งให้อาศัยโอกาสที่ได้รับชัยชนะไล่ตามไป กานโจวมีทหารห้าหมื่นนายของกองทัพซื่อชวนประจำการอยู่ กงตงหนิงก็ไม่ได้ออกคำสั่งปิดล้อม เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการให้โอวหยางหมิงเป็นคนปิดฉาก จะเห็นได้ว่าในด้านการคาดเดาความคิดของฮ่องเต้เขาก็ทำได้ไม่เลวเลย เดิมทีก็เคยกังวลว่าเขาจะปรับตัวเข้ากับเยี่ยนจิงไม่ได้ ตอนนี้มองดูแล้วคงจะเป็นข้าที่คิดมากไป” ขณะที่พูดเขาก็นึกถึงยงอ๋อง…พวกเขาทำเหมืองเงินด้วยกัน กงตงหนิงเข้ามาในเมืองหลวง ยงอ๋องก็คงจะต้องดูแลเขาเป็นพิเศษกระมัง! นอกจากนี้ยังมีเรื่องการคัดเลือกรับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวอีกด้วย ยงอ๋องจะต้องเข้าไปแทรกแซงอย่างแน่นอน!
“กว่ากงตงหนิงจะฝีมือเก่งกาจแบบนี้ คงจะได้รับการฝึกฝนมาเป็นเวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จกระมัง” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “จะเห็นได้ว่าจังหวะโอกาสของคนนั้นก็มีความสำคัญเช่นกัน”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า กำลังจะเล่าตัวอย่างบางส่วนจากในกองทัพให้นางฟัง ก็มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน “ท่านโหวมีจดหมายเร็วจากเซวียนถงมาขอรับ”
ทุกคนในเรือนนอกต่างก็รู้ว่าตอนนี้จิ่นเกอกำลังติดตามกงตงหนิง จดหมายเร็วจากเซวียนถงย่อมไม่อาจรอช้าได้
สวีลิ่งอี๋คอยจับตาดูสถานการณ์สงครามของเซวียนถงอยู่เสมอ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบพูดขึ้นมาว่า “เอามา” แล้วนั่งอ่านจดหมายอยู่ตรงนั้น
สืออีเหนียงเข้าไปอ่านด้วย
หลังจากเหลือบมองเพียงครู่เดียว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นี่หมายความว่าอย่างไรกัน”
รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าของสวีลิ่งอี๋เช่นกัน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมมากขึ้น
เมื่อบ่าวรับใช้เห็นว่าสถานการณ์ไม่ปกติจึงรีบถอยออกไป เหลิ่งเซียงและคนอื่นๆ เห็นดังนั้นก็ส่งสายตาให้กันแล้วถอยตามออกไป
ในห้องพลันเงียบสงัด
“ดูเหมือนว่าฮ่องเต้ต้องการให้จิ่นเกอใช้โอกาสนี้สะสมผลงานทางทหาร” เสียงถอนหายใจของสวีลิ่งอี๋ดังชัดเจน “เพียงแต่ว่ามันมากเกินไป เกรงว่าจิ่นเกอจะรับไว้ไม่ได้”
กงตงหนิงบอกในจดหมายว่า ขันทีผู้คุมกองทัพได้รับคำสั่งลับของฮ่องเต้โดยให้เขาแต่งตั้งจิ่นเกอเป็นรองผู้บัญชาการ ให้ประจำการอยู่ที่ป้อมปราการต้าถงกับโอวหยางหมิงเพื่อล้อมและปราบปรามตั่วเหยียนที่หนีไปทางซีเป่ย
สถานการณ์โดยรวมถูกตัดสินแล้ว ทางทิศตะวันตกมีกองทัพภาคซื่อชวนกับกำลังกองทัพทหารกานโจว ข้างกายตั่วเหยียนมีกำลังพลเพียงหนึ่งพันคน แต่ในมือของโอวหยางหมิงมีกำลังพลหนึ่งหมื่นคน ซ้ำตั่วเหยียนยังเป็นผู้นำเผ่าตาดมองโกล ไม่ว่าเขาจะถูกฆ่าหรือถูกจับกุมก็ล้วนมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถสร้างผลงานได้ โอวหยางหมิงนั้นยังพูดง่าย อย่างไรเสียเขาก็เคยเป็นแม่ทัพเจิงซี แต่จิ่นเกออย่าว่าแต่นำทัพเลย ตั้งแต่เริ่มสงครามจนมาถึงตอนนี้ ไม่เคยแม้แต่จะลงไปอยู่ในสนามรบ เป็นเพียงเสมียนข้างกายของกงตงหนิงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์หรือคุณสมบัติก็ไม่เพียงพอที่จะเป็นผู้ช่วยโอวหยางหมิง
ก็เหมือนกับเป็นการแย่งผลงานมาเสียดื้อๆ!
แม้แต่ผู้ที่ไม่รู้วิธีการเดินทัพ เมื่อได้ฟังก็ยังเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแม่ทัพของทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาคผู้แข็งแกร่งที่ผ่านมาร้อยสนามรบและขุนนางเจ้าเล่ห์ในราชสำนักเหล่านั้น!
ฝ่ายตุลาการเหล่านั้นก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจเมตตา!
ถ้าเริ่มวางท่าทีโดยการแย่งผลงานทางทหารย่อมทำให้เหล่าทหารที่ต่อสู้อย่างกระหายเลือดไม่พอใจอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยถึงจะน่ารังเกียจแต่ก็จริงใจ ไม่เหมือนตอนนี้ที่ทั้งน่ารังเกียจและจอมปลอม น่าอับอายยิ่งกว่าเดิม
เมื่อคุณธรรมถูกสงสัย ในภายภาคหน้าจิ่นเกอจะมีสิทธิ์ไปยืนอยู่ในค่ายทหารได้อย่างไร แม้ว่าในวันหนึ่งเขาจะเป็นผู้บัญชาการทหาร แล้วเขาจะควบคุมทหารภายใต้อำนาจของเขาได้อย่างไร
“ฮ่องเต้จะส่งเสริมจิ่นเกอหรือว่าจะทำร้ายจิ่นเกอกันแน่” สืออีเหนียงยิ้มอย่างขมขื่น “ในเมื่อเป็นคำสั่งลับ สามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้หรือไม่ ไม่ได้บอกว่า ‘แม่ทัพที่นำกองกำลังสู้รบสามารถเพิกเฉยต่อคำสั่งที่ไม่เหมาะสมได้’ ไม่ใช่หรือ”
“ไม่น่าเป็นไปได้” สวีลิ่งอี๋ส่ายหน้า “กงตงหนิงใกล้จะเข้าเมืองหลวงแล้ว เขาไม่มีทางทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ เขาเขียนจดหมายถึงข้า ก็เพียงแค่จะบอกให้ข้ารู้ถึงเหตุผลของเรื่องนี้ เพื่อที่เขาจะได้มีคำอธิบายแก่ข้า!”
“กล่าวอีกในหนึ่งก็คือกงตงหนิงก็คิดว่าทำเช่นนี้นั้นไม่เหมาะสมเช่นกัน” สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร
ในใจของสืออีเหนียงพลันหงุดหงิดขึ้นมาทันที “หรือว่าไม่มีทางอื่นแล้วหรือ คงจะไม่สามารถดูจิ่นเกอติดตามโอวหยางหมิงไปซีเป่ยเฉยๆ ได้หรอกกระมัง”
สวีลิ่งอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เจ้าไปจวนองค์หญิงเจียงตูสักหน่อยเถิด! ลองพูดกับองค์หญิงดูว่าจะสามารถให้องค์หญิงช่วยเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้หรือไม่ ในเมื่อเป็นราชโองการลับ เมื่อถึงเวลานั้นค่อยส่งคนอื่นไปก็ได้เช่นกัน” แล้วพูดต่อไปว่า “ข้าจะเขียนจดหมายถึงกงตงหนิงให้เขาถ่วงเวลาสักสองวัน”
สืออีเหนียงก็คิดว่าไม่เลวเลย ถึงกระทั่งคิดว่าหากพูดเกลี้ยกล่อมองค์หญิงไม่ได้ก็จะเข้าวังไปขอร้องไทเฮา อย่างไรก็ไม่มีทางปล่อยให้จิ่นเกอติดตามไปด้วยอย่างแน่นอน
ใครจะไปรู้ว่าเมื่อได้พบองค์หญิง องค์หญิงจะยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสียท่านน้าหญิงก็ต้องมาหาข้า!” มีความภาคภูมิใจเล็กน้อยในรอยยิ้ม
สืออีเหนียงประหลาดใจ “หรือว่าเป็นองค์หญิง…”
“พี่สามบอกแล้วว่าท่านน้าคำนึงถึงชื่อเสียงอันดีงามมาเสมอ ไม่สนใจจิ่นเกอ เช่นนั้นพวกเราจะจัดการเอง” องค์หญิงพยักหน้า ยิ้มจนดวงตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว “ตอนที่ท่านพี่พูดกับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ยังไม่ตกลงให้จิ่นเกอเป็นรองผู้บัญชาการ บอกว่าเขาอายุน้อย จึงให้เป็นเพียงหัวหน้าทหารกองร้อย เป็นข้าที่เข้าวังไปขอร้องท่านแม่ ท่านแม่พูดกับฮ่องเต้ด้วยตัวเอง ฮ่องเต้จึงได้ตกลง” พูดพลางคล้องแขนสืออีเหนียง “ท่านน้าหญิงมาได้เวลาพอดี เมื่อไม่กี่วันก่อนสถานการณ์สงครามไม่ราบรื่น ในวังก็เกิดความหวาดระแวง ตอนนี้สถานการณ์โดยรวมได้รับการตัดสินแล้ว ท่านแม่และฮองเฮาต่างก็พากันถอนหายใจ เรียกข้ากับพี่สะใภ้สามเข้าไปพูดคุยในวัง พวกเราเข้าวังด้วยกันเถิด ท่านน้าหญิงก็จะได้ไปคารวะท่านแม่กับฮองเฮา จะได้เจอกับพี่สะใภ้สามด้วย จะว่าไปแล้วที่ให้ข้าเข้าวังไปขอให้ท่านแม่ช่วยขอร้องฮ่องเต้ก็เป็นความคิดของพี่สะใภ้สาม! มิเช่นนั้นพวกเราจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร”
เมื่อรู้ว่าไม่ใช่เจตนาของฮ่องเต้ หินก้อนใหญ่ในใจของสืออีเหนียงก็ถูกยกออกไป แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ตื่นเต้นขององค์หญิงเจียงตู นางก็รู้ว่าเวลานี้ตัวเองก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ยงอ๋องก็ดี องค์หญิงก็ดี หรือแม้กระทั้งยงอ๋องเฟย ต่างก็หวังดีกันทั้งนั้น ครั้งที่แล้วที่ปฏิเสธเรื่องให้จิ่นเกอกลับเยี่ยนจิงก็เป็นการทำให้ยงอ๋องกับองค์หญิงเจียงตูเสียใจแล้ว หากปฏิเสธอีกอาจจะทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวัง
“โชคดีที่วันนี้นับว่าหม่อมฉันแต่งตัวเรียบร้อย” สืออีเหนียงยิ้มพลางพูดขอบคุณองค์หญิงเจียงตู จากนั้นก็เข้าวังไปกับนาง
ไทเฮาไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ช่วยพูดให้จิ่นเกอ แต่กลับถามถึงเรื่องการหมั้นหมายของเขา “…เขาเองก็อายุไม่น้อยแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย ครั้งที่แล้วตอนที่ไปหมั้นหมายให้องค์ชายเจ็ด ข้าคิดว่าบุตรสาวของข่งเหวินเจี๋ยอาจารย์ในสำนักศึกษาฮั่นหลินนั้นไม่เลวเลย ซ้ำยังอายุใกล้เคียงกับจิ่นเกอ วันไหนหากข้าเรียกนางเข้าวัง เจ้าก็มาดูด้วยสักหน่อยเถิด!”
“ไม่ทราบว่าปีนี้คุณหนูสกุลข่งอายุเท่าไรหรือเพคะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราเคยดูดวงวาสนาให้จิ่นเกอ บอกว่าต้องห่างกันสามถึงสี่ปีจึงจะดี!”
เช่นนี้จิ่นเกอก็จะสามารถเลื่อนการแต่งงานออกไปได้อีกสักสองสามปี
“เช่นนั้นหรือ!” ไทเฮาผิดหวังเล็กน้อย “คุณหนูข่งกับจิ่นเกอเกิดปีเดียวกัน!”
ฮองเฮาฟังเจี่ยเอ๋อร์เองก็อยู่ที่นั่นด้วย ยิ้มพลางเหลือบมองสืออีเหนียง พูดขึ้นมาว่า “เสด็จแม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไปทาบทามคุณหนูสกุลข่งให้องค์ชายแปดดีหรือไม่! จะว่าไปแล้วองค์ชายแปดก็ถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้ว”
ไทเฮาได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย กำชับหวงเสียนอิง “พรุ่งนี้เชิญซ่งไท่เฟยมา ดูว่านางคิดอย่างไร”
หวงเสียนอิงขานรับอย่างนอบน้อม “เพคะ” จากนั้นก็เหลือบมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงรู้สึกไม่สบายใจ
หรือว่าทุกคนต่างก็คิดว่าเด็กสาวผู้นี้ดี ตัวเองดื้อรั้นเกินไปจึงทำให้สูญเสียการหมั้นหมายที่ดีอย่างนั้นหรือ
นางกล่าวขอบพระทัยไทเฮาด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย
“จิ่นเกอเป็นคนสกุลเดิมของข้า” ไทเฮายิ้มพลางพูดขึ้น “เรื่องของเขาข้าย่อมใส่ใจอยู่แล้ว” จากนั้นก็ถามถึงสุขภาพของไท่ฮูหยิน
ทุกคนพูดคุยเรื่องทั่วไป สืออีเหนียงเห็นว่าล่วงเลยเวลามามากแล้วจึงลุกขึ้นกล่าวลา
องค์หญิงเจียงตูก็ต้องการกลับจวนแล้วเช่นกัน
ไทเฮากับฮองเฮาส่งพวกเขาออกจากพระตำหนักหน่วนเก๋อด้วยตัวเอง ส่วนหวงเสียนอิงก็พาพวกนางมาส่งที่ประตูวัง
สืออีเหนียงส่งองค์หญิงเจียงตูไปก่อน จากนั้นก็กล่าวลาหวงเสียนอิง ถามถึงเรื่องของคุณหนูสกุลข่งอย่างมีนัยยะว่า “…ข้าได้ทำอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือไม่”
“ไทเฮามีความตั้งใจจะเป็นแม่สื่อให้จิ่นเกอ!” หวงเสียนอิงยิ้มแล้วพูดว่า “เห็นว่าคุณหนูข่งนั้นไม่เลวเลย ใช้ข้ออ้างว่าคุณหนูข่งอายุยังน้อย เตรียมจะเก็บไว้ให้คุณชายน้อยหก” นางพูดพลางหัวเราะ “อย่างไรก็ตาม ในเมื่อฮูหยินหย่งผิงโหวบอกว่าหากหาคนที่อายุน้อยกว่าคุณชายน้อยหกสามถึงสี่ปีจะดีที่สุด ในใจของไทเฮาก็จะได้รับรู้ไว้ ในภายภาคหน้าจะต้องหาคนที่หย่งผิงโหวฮูหยินพอใจได้อย่างแน่นอน”
สืออีเหนียงเหงื่อแตกพลั่ก
“ขอให้กูกูช่วยอธิบายแก่ไทเฮาสักหน่อยเถิด” นางคำนับหวงเสียนอิง
“ฮูหยินหย่งผิงโหวอย่างได้เก็บมาใส่ใจ” หวงเสียนอิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไทเฮารักและเอ็นดูคุณชายน้อยหกเป็นอย่างมาก”
ประตูวังไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุย สืออีเหนียงพูดอย่างถ่อมตนสองสามประโยคแล้วกลับเหอฮวาหลี่
“อย่าว่าแต่องค์หญิงเจียงตูเลย ต่อให้เป็นไทเฮาก็ช่วยอะไรไม่ได้”
นางเล่าเรื่องสถานการณ์ในวังให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
“ฮ่องเต้กตัญญูต่อไทเฮาเป็นอย่างมาก” สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปพบเฉินเก๋อเหล่า ดูว่าจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์หรือไม่!”
“คงมีเพียงทำเช่นนี้แล้วเจ้าค่ะ!”
สองสามีภรรยาต่างก็มีเรื่องกังวลใจ จนกระทั่งล่วงเลยไปถึงครึ่งคืนกว่าจะผล็อยหลับกันไป