บทที่ 216 : ไป๋หยานมาแล้ว (4)
อาจเป็นเพราะนางวิ่งมาตลอดทางผิวขาว ๆ ของนางจึงเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ยามนี้นางกำลังหอบแฮ่ก ๆ
”อ๋องคัง… อ๋องคังอยู่ที่ใด ?”
ตงรั่วหลานเร่งฝีเท้าวิ่งเข้ามาอีกสองก้าวนางหยุดเมื่อเห็นว่าวิ่งต่อไปไม่ได้แล้ว นางวางมือไว้บนท่อนขา ยามนี้น้ำเสียงของนางอ่อนล้ามาก
องครักษ์ต่างตกตะลึงพวกเขาเริ่มมีท่าทีลังเล “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่า ท่านอ๋องคังอยู่ที่ใด เพราะท่านอ๋องแลดูรีบร้อนมาก เหตุใดฮูหยินหลานไม่ไปที่คฤหาสน์โบราณของแม่นางไป๋ และรออยู่ที่นั่นล่ะ ท่านอ๋องน่าจะไปที่นั่นในไม่ช้า”
ตงรั่วหลานยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับส่ายศีรษะ “ข้าเพิ่งมาจากที่นั่น เจ้ามีวิธีติดต่อท่านอ๋องบ้างหรือไม่ล่ะ ?”
เห็นได้ชัดว่าการที่สตรีผู้นี้มาที่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีนัก ทั้งความแข็งแกร่งของนางก็มิใช่ต่ำต้อย เช่นนั้นนางต้องมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือบางอย่างจากอ๋องคังเป็นแน่ !
อ๋องคังห่วงใยแม่นางไป๋มากนั่นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเพิกเฉยกับเรื่องนี้
”ฮูหยินหลานโปรดรอสักครู่ ข้าจะเชิญท่านอ๋องมาที่นี่”
ครั้นองครักษ์เห็นสีหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของตงรั่วหลานเขาก็ไม่มีอาการลังเลอีกต่อไป เขาหยิบพลุสื่อสารออกมา จากนั้นก็จุดพลุ พลุพุ่งขึ้นแตกเป็นประกายบนท้องฟ้า ชั่วขณะนั้นเอง ทั่วทั้งท้องฟ้าก็ย้อมไปด้วยแสงสีแดง
ด้านนอกเมืองหลวง
ภายในป่าฮัวหยูยืนเงียบ ๆ อยู่ข้างหลังอ๋องคัง เขามองอ๋องคังอย่างระมัดระวัง “ราชา ลูกน้องของข้าติดตามร่องรอยลมหายใจที่ยังตกค้างขององค์หญิง กระทั่งมาถึงสถานที่แห่งนี้ ท้ายสุดร่องรอยขององค์หญิงก็หายไป … ”
อ๋องคังเม้มปากไม่อาจเข้าใจได้ว่าใบหน้าหล่อร้ายราวปีศาจนั่นกำลังคิดสิ่งใด
”แล้วหญิงสาวจากเผ่าอสรพิษนั่นล่ะเจ้าหานางพบรึยัง ? น้ำเสียงของเขาฟังดูเคร่งขรึม ขณะก้มศีรษะลงเล็กน้อย
”ข้าน้อยไร้ประโยชน์จริงๆ จนถึงตอนนี้ข้าน้อยก็ยังหาตัวนางไม่พบ”
ครั้นกล่าวจบฮัวหยูก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ลมหายใจของเจ้านายเขาเคร่งเครียดขึ้นอีก ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกหายใจได้ลำบากยิ่งกว่าเดิม
เพียงไม่นานลมหายใจหนัก ๆ ก็กลับมาสงบนิ่งเฉกเช่นเดิม น้ำเสียงของอ๋องคังกลับมาเย็นชา และราบเรียบตามแบบฉบับ
”ค้นหาต่อไป!”
”พ่ะย่ะค่ะองค์ราชา”
ที่สุดฮัวหยูก็ผ่อนคลายลงแรงกดดันจากองค์ราชานั้นรุนแรงเกินไป คงมีเพียงว่าที่องค์ราชินีเท่านั้นจึงสามารถรับมือราชาองค์นี้ได้
ยามนี้กลิ่นอายของตี้คังพลันเย็นชาและมืดมนลงอีกครั้ง
”พลุสื่อสารของข้าถูกจุดขึ้น!”
พลุสื่อสารใช้พลังฉีของเจ้าของเป็นสื่อเพื่อส่งผ่านข้อมูล หากพลุถูกจุดขึ้นเจ้าของพลุจะรู้ได้ทันทีไม่ว่าจะอยู่ที่ใด
เขาเคยสั่งการไว้ว่าจะใช้พลุสื่อสารนี้เรียกตัวเขาได้ ก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไป๋หยานเท่านั้น เช่นนั้นหากเป็นเรื่องปกติธรรมดา ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าใช้พลุสื่อสารนี้ !
”องค์ราชาหรือว่าราชินี ?” ฮัวหยูเงยหน้าขึ้น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ดูเหมือนว่าต้องมีใครบางคนกำลังจะโชคร้ายอีกแล้ว
”เจ้าค้นหานางต่อไป!”
ครั้นกล่าวจบประโยคร่างของตี้คังในชุดเสื้อคลุมสีม่วงเรือนผมสีเงินวาวก็หายไปต่อหน้าต่อตาฮัวหยู
ฮัวหยูมองตามทิศทางที่ตี้คังหายตัวไปพลันร่างของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นวิหคเพลิงขนาดใหญ่ เพียงชั่วอึดใจ นกยักษ์ก็บินลับหายเข้าไปในป่าทันที
ช่วงเวลาเดียวกันนี้ณ ลานหน้าบ้านสกุลหลาน ไป๋หยานกำลังอมยิ้ม ขณะมองมู่ชิงเกอที่กำลังเผชิญหน้ากับนางอยู่
”ข้าจะไม่ถามว่าเหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่เพียงอยากรู้ว่าเจ้ามีจุดประสงค์ใดที่มาที่นี่มากกว่า ?”
มู่ชิงเกอกระพริบตาที่เย็นเยือกของนาง”ข้าเพียงอยากประลองกับเจ้า ผู้ที่แพ้จะต้องรามือจากตี้คัง ทว่าในเมื่อเจ้าลงมือกับคนจากหุบเขาเพลงพิณของข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจละเว้นเจ้าได้”
ไป๋หยานยกมือขึ้นกอดอกพร้อมกับแสยะยิ้ม “เจ้ามีความสามารถพองั้นรึ ?”
ประโยคนี้เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองยิ่งทำให้สีหน้าของมู่ชิงเกอนั้นดูไม่ได้มากขึ้นไปอีก
บทที่ 217 : ข้ายอมตามใจเพียงนางเท่านั้น (1)
”เมื่อสองปีก่อนข้ารู้มาว่าฮัวหลัวได้นายคนใหม่ หากแต่ข้าก็มิได้พยายามหาข่าวคราวเพิ่มเติม” อารมณ์ของมู่ชิงเกอคลายลง ทว่าริมฝีปากของนางยังเหยียดราวกับจะเยาะเย้ย “ไม่คาดคิดว่าคนผู้นั้นจะเป็นเจ้า !”
”นอกจากนี้ข้ายังรู้มาว่าเจ้าเป็นหมอปรุงยา ! เพียงเพื่อยาอายุวัฒนะแล้ว หญิงคณิกาเช่นฮัวหลัว ย่อมยอมรับนับถือเจ้าราวกับเทพเจ้าเลยทีเดียว แต่เจ้าคิดหรือว่า เจ้าจะสามารถใช้ฮัวหลัวรับมือข้าได้ ?”
การแสดงออกของมู่ชิงเกอแลดูเฉยเมยทว่าน้ำเสียงของนางหยิ่งยโสยิ่งนัก นัยน์ตาที่เฉยชาของนางมองไป๋หยานอย่างเย็นชา มันเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย
”เจ้าคิดว่าข้าต้องใช้พลังของฮัวหลัวกระนั้นรึ ?” ไป๋หยานกอดอกพร้อมกับยิ้ม
รอยยิ้มของไป๋หยานไม่ต่างจากหนามแหลมทิ่มแทงทะลุร่างของมู่ชิงเกอใบหน้างดงามของมู่ชิงเกอพลันขรึมลงทันที
”เป็นเพียงเม็ดไข่มุกเผยอคิดจะแข่งแสงสุริยัน-จันทรา ไป๋หยาน ก้มมองตัวเองซะบ้าง !” มู่ชิงเกอหัวเราะเยาะ นางดึงดาบยาวออกมาถือไว้ในมือ “ข้าให้โอกาสกับเจ้าหลายต่อหลายครั้ง ทว่าเจ้ากลับไม่รับ เช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าไม่เกรงใจ”
ทันทีที่จบคำร่างเงาที่สวยงามพลันม้วนตัวเข้าหาไป๋หยานราวกับสายลม ไป๋หยานชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว ดาบยาวพลิ้วสะบัดราวกับมังกรและหงส์กำลังเต้นระบำในมือของนาง ภายใต้คมดาบนี้ไม่มีผู้ใดสามารถหลบซ่อน
”เสร็จแน่”
ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกนั้นเสียงของไป๋เสี่ยวเฉินก็ดังลอยมาจากด้านข้าง
ครั้นจบประโยคใบหน้าของหลานฮูหยินผู้เฒ่าพลันเปลี่ยนเป็นขาวซีดด้วยความหวาดกลัว นางยื่นมือที่สั่นเทาออกไป ขณะเดียวกันร่างของนางก็ผงะแทบจะหงายหลังล้ม
”มาเร็วมาช่วยหลานสาวข้าเร็ว !”
โชคดีที่ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานตาไว เขาเอื้อมมือออกไปช่วยพยุงภรรยาไว้ได้ทันท่วงที เขารีบหันไปพูดกับหลานเสี่ยวหยุนที่นิ่งงันอยู่ “หยุนเอ๋อ ดูแลย่าของเจ้าด้วย ข้าจะเข้าไปช่วยหยานเอ๋อ”
”ได้”
หลานเสี่ยวหยุนกลับมารู้สึกตัวนางรับร่างหญิงชราจากท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานทันที ยามนี้นางกำลังกัดริมฝีปากแน่น ขณะมองไป๋หยานต่อสู้กับมู่ชิงเกออย่างใจจดใจจ่อ
ครั้นภรรยาถูกส่งตัวไปให้หลานสาวแล้วท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานก็ก้าวออกมาข้างหน้า
ทว่าจู่ๆ เสียงที่ไร้เดียงสาของไป๋เสี่ยวเฉินก็ดังขึ้นอีกครั้ง
”ท่านตาทวดจะทำอะไร ?”
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานกำหมัดแน่นขณะเดียวกันก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าไม่หยุด เขาไม่คิดจะหันหลังกลับด้วยซ้ำ “แน่นอนว่า ทวดจะไปช่วยมารดาของเจ้า ไม่มีผู้ใดฆ่าหลานสาวของข้าในบ้านของข้าได้ !”
ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบตาเขาเอียงคอน้อย ๆ “หม่ามี้ไม่ชอบให้ผู้ใดช่วยนาง ในยามที่นางต่อสู้”
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานยังคงก้าวต่อด้วยสีหน้ามั่นคง”ก็เจ้าบอกเองว่า มารดาของเจ้าเสร็จแน่ แล้วจะให้ข้านั่งนิ่งเพิกเฉยอยู่ได้เช่นไร ข้าไม่สนใจกฎการต่อสู้ของนาง ข้ารู้เพียงว่าข้ามิอาจทนดูนางถูกทำร้ายได้”
ทันทีที่ตาทวดกล่าวจบไป๋เสี่ยวเฉินก็นิ่งอึ้ง ความประหลาดใจฉาบทั่วใบหน้าที่น่าเอ็นดูของเขา
”แต่เฉินเอ๋อไม่ได้ว่าหม่ามี้เสร็จแน่ที่เฉินเอ๋อพูดหมายถึงหญิงสารเลวคนนั้นน่ะเสร็จแน่ !”
หญิงสารเลวคนนั้นไม่รอดแน่? กล้ายั่วโมโหหม่ามี้ของข้า ทั้งยังกล้าบอกว่า หม่ามี้เป็นไข่มุกไม่อาจแข่งแสงสุริยัน-จันทราเช่นนางเสียอีก
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานหยุดฝีเท้าลงอย่างสมบูรณ์เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหันกลับไปมองการต่อสู้อีกครั้ง
บูม!
ไป๋หยานคว้าจับดาบยาวของมู่ชิงเกอไว้ได้อย่างชำนิชำนาญด้วยมือที่แข็งแกร่งของนาง ดาบของมู่ชิงเกอพลันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยคามือ เศษฝุ่นลอยล่องไปบนท้องฟ้าสีคราม
มู่ชิงเกอตกตะลึงดาบของนางทำมาจากเหล็กนิล เหตุใดถึงกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้ ?
บทที่ 218 : ข้ายอมตามใจเพียงนางเท่านั้น (2)
มู่ชิงเกอกัดฟันพร้อมกับยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตากู่ฉิน (พิณจีนโบราณชนิดหนึ่ง มี 7 สาย) พลันปรากฏขึ้นในมือของนาง
จากนั้นเสียงกู่ฉินอันไพเราะเพราะพริ้งก็ดังขึ้นจากปลายนิ้วของนางครั้นเสียงดนตรีบรรเลง ต้นไม้พลันเหี่ยวเฉา ใบไม้ก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง
”ฉิน?” ครั้นไป๋หยานเห็นมู่ชิงเกอนำกู่ฉินออกมา ใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มเป็นประกาย “น่าเสียดายจริง ๆ พ่อบุญธรรมของเฉินเอ๋อเล่นเก่งทั้งฉินทั้งขลุ่ย ข้าเองก็ได้เรียนรู้มาจากเขาบ้าง แม้ว่าข้าจะไม่เชี่ยวชาญนัก ทว่าก็พอจะทำให้เจ้าเข้าใจได้ว่าเพลงพิณที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร !”
เดิมทีครั้นเห็นว่าเสียงพิณไม่สามารถทำอะไรไป๋หยานได้ มู่ชิงเกอก็ทำได้เพียงยืนเซ่อ นางทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว แล้วจู่ ๆ กู่ฉินที่อยู่เบื้องหน้านางก็ถูกมือข้างหนึ่งของไป๋หยานคว้าไปวางลงบนตักของตนเอง
”เจ้า… ” ใบหน้าของมู่ชิงเกอเปลี่ยนไปอย่างมาก นางอยากแย่งกู่ฉินของนางกลับคืน
ทันใดนั้นเองเสียงดนตรีก็ดังขึ้นจากปลายนิ้วของหญิงสาว บทเพลงช่างอ่อนโยน อีกทั้งยังเข้าถึงจิตใจ แม้แต่มู่ชิงเกอก็ลืมสิ่งที่คิดจะตอบโต้ นางจ้องมองสตรีในอาภรณ์สีแดงจนแทบจะลืมหายใจ
หญิงผู้นี้มิใช่มีเพียงความงดงาม? ข้าเกรงว่า คนเช่นนางจะมีเพียงหนึ่งเดียวในโลก !
ยามนี้เสียงพิณแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายราวกับมีดาบยาวนับพันเล่มที่มองไม่เห็น เจาะทะลุร่างของมู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว
ภายใต้การโจมตีของเพลงพิณมู่ชิงเกอถึงกับกระอักเลือด นางผงะถอยหลังกลับไปสองสามก้าว ก่อนที่จะหยุด ใบหน้าของนางซีดขาว
”เจ้า… เป็นไปได้อย่างไร เจ้าอยู่ขั้นจุนเจี่ย (ขั้นจอมราชัน) ได้อย่างไร ?”
หากเทียบกันแล้วในอาณาจักรนี้ ฮ่องเต้คือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสามารถปกครองประเทศทั้งประเทศ ทว่าระดับจุนเจี่ยยิ่งใหญ่กว่านั้น ระดับนี้ถือว่าอยู่เหนือกว่าฮ่องเต้ทุกอาณาจักร
หากสำนักใดมีผู้อยู่ในระดับจุนเจี่ยสำนักนั้นก็จะสามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็นสำนักระดับกลางได้ โดยจะเป็นรองก็เพียงดินแดนเกาะศักดิ์สิทธิที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น
แน่นอนว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดของสำนักระดับกลางมิได้มีเพียงระดับจุนเจี่ยเป็นแน่ ทว่าระดับจุนเจี่ยก็ถูกจัดให้เป็นมาตรฐานสำหรับสำนักระดับกลาง !
เจ้านายของฮัวหลัวอยู่ระดับนี้เช่นนั้นหอบุปผาย่อมต้องถูกปรับระดับขึ้นสู่สำนักระดับกลางแล้ว !
มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ นางยิ้มเยาะให้กับตนเอง “ข้าคิดว่า ฮัวหลัวยอมรับเจ้าเพียงเพราะเจ้าเป็นหมอปรุงยา หากแต่ข้าไม่คาดคิดว่า ฮัวหลัวจะยอมรับเจ้าเพราะความแข็งแกร่งของเจ้า ! นอกจากนี้ หากเจ้าไม่แข็งแกร่งมากพอ เจ้าจะใช้นางทำงานให้เจ้าได้เช่นไร ? ”
ไป๋หยานกวาดสายตามองอย่างเงียบๆ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ครั้งที่ฮัวหลัวยอมรับนับถือข้านั่น พลังของข้ายังไม่ถึงหวังเจี่ย (ระดับราชา) ด้วยซ้ำ”
เหนือจากระดับหวังเจี่ย(ระดับราชา) ! ก็คือระดับจุนเจี่ย (จอมราชัน) ! และการจะเป็นผู้นำของหอบุปผาได้นั้นขั้นต่ำควรต้องอยู่ในระดับหวังเจี่ย !
หากแต่ไป๋หยานกลับบอกว่านางยังไม่ถึงระดับหวังเจี่ยเมื่อเป็นเช่นนั้นเหตุใดฮัวหลัวจึงยอมมอบความภักดีต่อนาง ?
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองด้วยทีท่าตกตะลึง”ฮัวหลัวเข้าถึงระดับหวังเจี่ย (ระดับราชา) ได้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน หากแต่เจ้ากลับมาเป็นเจ้านายของนาง เพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นางยอมศิโรราบให้เจ้าได้อย่างไร ? หรือเพียงเพราะเจ้าเป็นหมอปรุงยา ?”
”เจ้าเดาผิดอีกครั้งแล้วเมื่อครั้งที่ฮัวหลัวยอมรับข้านั้น นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าสามารถปรุงยาได้” ไป๋หยานมองแววตาที่งุนงง พร้อมกับริมฝีปากที่เม้มแน่นของมู่ชิงเกอ
”เช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใด?”
หากมิใช่เพราะการปรุงยามิใช่เพราะความแข็งแกร่ง เช่นนั้นฮัวหลัวยอมรับนับถือนางได้เช่นไร ?
ไป๋หยานยิ้ม”นั่นเป็นเพราะข้าช่วยชีวิตของฮัวหลัวไว้ไง”
เหตุผลง่ายมากนางช่วยชีวิตฮัวหลัว ฮัวหลัวก็มอบชีวิตให้นาง
”ไม่มีทางฮัวหลัวเป็นเพียงผู้หญิงที่มีราคีนางย่อมเห็นแก่ผลประโยชน์เหนือกว่าสิ่งอื่นใด … ” มู่ชิงเกอลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับส่ายศีรษะ สีหน้าของนางยังแลดูเหมือนไม่เชื่อ
”แม้ว่าหอบุปผาจะเป็นสถานรื่นรมย์? ทว่าฮัวหลัวก็ไม่เคยรับแขกเอง อีกทั้งหอบุปผาก็ไม่เคยบังคับฝืนใจผู้ใด” รอยยิ้มของไป๋หยานเย็นชาลงเรื่อย ๆ “แล้วที่เจ้าพร่ำพูดว่าพวกพ้องของตนเป็นนางฟ้าอยุู่ในหุบเขาเพลงพิณ ไม่ทราบว่าพวกเจ้าทำการค้าใดกันกระนั้นหรือ ?”
บทที่ 219 : ข้ายอมตามใจเพียงนางเท่านั้น (3)
ใบหน้าของมู่ชิงเกอเริ่มซีดขาวลงเรื่อยๆ “อย่างน้อยพวกเรา หุบเขาเพลงพิณก็มิได้ขายเรือนร่างเป็นสินค้า !”
หุบเขาเพลงพิณและหอบุปผา ต่างก็มีชื่อเสียงในเรื่องสตรี ทว่าเมื่อผู้คนพูดถึงหอบุปผาพวกเขาก็มักจะดูถูกดูหมิ่นพวกนาง แต่ครั้นพูดถึงหุบเขาเพลงพิณ จะมีผู้ใดบ้างเล่าที่ไม่กล่าวชื่นชมสรรเสริญ ?
เช่นนั้นสตรีในหุบเขาเพลงพิณต่างก็ภาคภูมิใจในตนเองราวกับนั่งชูคออยู่ในหอคอยงาช้างก็ไม่ปาน !
”หากเจ้าไม่สนใจที่จะขายเรือนร่างเช่นนั้นข้าก็จะไม่เซ้าซี้ อย่างนี้แล้วกัน ข้าจะส่งเจ้าไปช่วยฮัวหลัวคอยเรียกแขกดีหรือไม่ ?” แววตาของไป๋หยานเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
มู่ชิงเกอสวยมากในเมื่อนางเป็นถึงหัวหน้าของหุบเขาเพลงพิณ เช่นนั้นนางอาจจะเป็นตัวทำเงินก็เป็นได้
”ไม่!” มู่ชิงเกอก้าวถอยหลังสองก้าว ใบหน้าของนางซีดขาวขึ้นเรื่อย ๆ “ไป๋หยาน เจ้าไม่กลัวอ๋องคังจะรู้เรื่องนี้กระนั้นหรือ ? หากเขาเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้า เขาจะต้องหนีห่างจากเจ้าเป็นแน่”
หลังจากมู่ชิงเกอกล่าวจบน้ำเสียงเย็น ๆ ก็ลอยลมมา ทำให้ใบหน้าของไป๋หยานเคร่งขรึมลงทันที
”มีอะไรที่ข้าไม่รู้กระนั้นรึ?”
เสียงนี้ทำให้ร่างที่บอบบางของมู่ชิงเกอสั่นสะท้าน นางหันกลับไปมองอย่างช้า ๆ ทันใดนั้นเองร่างหล่อเหลาราวเทพบุตรก็ปรากฏต่อสายตานาง
ใบหน้าที่หล่อเหลาของบุรุษผู้นั้นมีรอยยิ้มนัยน์ตาเรียวคมของเขาหรี่ลงเล็กน้อยแลดูชั่วร้ายราวปีศาจ ริมฝีปากสีแดงของเขาดุร้ายกระหายเลือด เพียงเขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อยก็ทำให้นางหายใจแทบไม่ออกแล้ว
หลังจากผ่านนานหลายเดือนบัดนี้ได้มาเห็นบุรุษที่ทำให้นางเฝ้าฝันหวานอยู่ทุกราตรีอีกครั้ง นัยน์ตาของนางก็พลันพร่าพราย
นางรู้สึกว่าหัวใจของนางเต้นแรงกระทั่งแทบจะโลดออกนอกอก นางไม่สามารถละสายตาจากชายผู้นั้นได้เลย
ทว่า…
ชายผู้นั้นเดินผ่านหน้านางไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองเขาเดินตรงไปหาไป๋หยาน
”ผู้ใดทำให้เจ้าโกรธ?”
ไป๋หยานปล่อยมือจากกู่ฉินนางยกมือขึ้นจับสาบเสื้อของอ๋องคัง กล่าวพร้อมรอยยิ้มเย็น ๆ ว่า “แม่ดอกท้อเน่าของท่านมาสร้างปัญหาที่บ้านสกุลหลาน หากข้ามาที่บ้านสกุลหลานช้าเกินไป ทำให้ที่นี่ต้องตกอยู่ในอันตราย ข้าจะไม่มีวันปล่อยท่านเป็นแน่”
อ๋องคังกวาดตามองไป๋หยานที่ยามนี้มือของนางกำลังจับสาบเสื้อเขาไว้โดยไม่มีทีท่าโกรธเคืองแต่อย่างใดเขายิ้มมุมปาก “ไม่มีวันปล่อยข้าไปงั้นรึ ? บนเตียงเลยมั้ย ? รึเราจะลองทำอะไรที่ตื่นเต้นดู เป็นต้นว่าในอากาศ รึในน้ำดี ?”
”อ๋องคัง!”
ชายผู้นี้พูดไปพูดมาก็จบลงบนเตียง จะมีบ้างมั้ยที่ไม่ชวนขึ้นเตียง ?
อารมณ์หงุดหงิดของไป๋หยานบรรเทาลงขณะจ้องมองตี้คัง “ข้าจะหนีไปพร้อมบุตรชายของท่าน เพื่อที่ว่าท่านจะได้ไม่ต้องพบเจอหน้าพวกเราสองแม่ลูกอีก”
ใบหน้าของตี้คังมืดมนลงทันทีพลันผู้คนทั้งหมดที่เหลือก็ราวกับถูกเมฆหมอกปกคลุม
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานและคนอื่นๆ เพิ่งจะสงบจิตสงบใจลงจากความหวาดกลัวก่อนหน้าได้ พลันกลับถูกกลิ่นอายที่มืดมนของอ๋องคังทำให้หวาดกลัวขึ้นอีกครั้ง พวกเขาจึงรีบกระพริบตาส่งสัญญาณให้ไป๋หยาน
”หยานเอ๋อข้าคิดว่าตี้คังไม่รู้เรื่องนี้ เขาจริงใจกับเจ้ามาก เจ้าควรจะพูดจากับเขาดี ๆ อย่าทำให้เขาโมโห”
ไป๋หยานนิ่งเงียบขณะมองบุรุษตรงหน้านัยน์ตาสีดำของนางแลดูล้ำลึก
“ไป๋หยานดูเจ้าจะมั่นใจในตัวเองเหลือเกินนะ” มู่ชิงเกอรู้สึกได้ถึงความโกรธของอ๋องคัง นางจึงกล่าววาจาเย้ยหยัน “เจ้าไม่รู้รึว่า การเป็นที่รักของบุรุษที่ดีเช่นตี้คังนั้นยอดเยี่ยมสักเพียงใด หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่มีวันทำให้เขาโกรธ !”
บูม!
ครั้นนางจบประโยคบุรุษที่อยู่เบื้องหน้าก็ยกมือขึ้น แสงสีขาวพวยพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เร็วกระทั่งมู่ชิงเกอไม่มีเวลาจะตอบสนองใด ๆ
จากนั้นก็มีเสียงกระแทกดังตามมา
มู่ชิงเกอเห็นเพียงแสงสีขาวเข้ามาใกล้ตัวจากนั้นก็ปะทะเข้ากับอกของนางเพียงครู่ร่างของนางก็ไม่ต่างจากลูกธนูที่ถูกยิงออกจากคันศรก่อนจะร่วงลงสู่พื้นสะเปะสะปะ
บทที่ 220 : ข้ายอมตามใจเพียงนางเท่านั้น (4)
”ตี้คังท่าน… ” นางเงยหน้าซีด ๆ ขึ้นจ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ ไม่มีถ้อยคำใดมากไปกว่านั้น
ภายใต้สายลมแผ่วเบาเส้นผมสีเงินยวงของชายหนุ่มก็ยิ่งเปล่งประกาย นัยน์ตาเรียวราวหงส์ของเขาส่องแสงทอประกาย ราวกับจะสามารถครอบงำทุกสิ่ง
”นับจากนี้จะไม่มีหุบเขาเพลงพิณอีกต่อไป !”
คำประกาศิตนี้หมายถึงจุดจบของทุกชีวิตในหุบเขาเพลงพิณ!
มู่ชิงเกอกระอักเลือดใบหน้าขาวซีดของนางเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ “ทำไม”
ริมฝีปากของอ๋องคังเชิดขึ้นปรากฏรอยยิ้มเย็นชาบนมุมปากอีกครั้ง
”ภรรยาของข้าเกือบจะสังหารข้า ทั้งยังคิดจะพาตัวบุตรชายของข้าหนีจากข้า เหตุใดเจ้าจึงยังกล้าเอ่ยถามคำถามนี้อีก ?”
ร่างของมู่ชิงเกอสั่นเทานางลุกขึ้นจากพื้นด้วยความอับอาย “นี่ท่านเชื่อจริง ๆ หรือว่าเด็กนั่นเป็นบุตรชายของท่าน ? ท่านเคยรู้จักการพิสูจน์เลือดพ่อลูกรึไม่ ?”
“ข้าจะไม่รู้เลยหรือว่าเด็กคนไหนเป็นลูกชายของข้า? ไยจึงต้องพิสูจน์ความสัมพันธ์ด้วยเลือดอีกเล่า ? นี่ ! เจ้าคิดว่าข้าโง่เง่าถึงเพียงนั้นเลยรึ ?”
ตี้คังหัวเราะเยาะเจตนาสังหารค่อย ๆ แผ่กระจายออกจากนัยน์ตาเรียวยาวของเขา
ยามนี้หัวใจของมู่ชิงเกอราวกับถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ จนเลือดไหลอาบ
”ท่านไม่รู้หรือไรว่านางเป็นอสรพิษ? หอบุปผาเป็นสถานเริงรมย์ นางต้องการขายข้าให้กับหอบุปผา หญิงมากพิษร้ายกาจเช่นนี้มีคุณสมบัติใดควรคู่ที่จะเป็นชายาของท่าน”
”ยิ่งนางเป็นหญิงมากพิษข้าก็ยิ่งชอบนาง มีอะไรมั้ย … ” อ๋องคังเย้ยหยัน “ข้าคิดว่า ความคิดของหยานเอ๋อยอดเยี่ยมทีเดียว แทนที่จะให้เจ้าตายอย่างเสียเปล่า สู้ส่งเจ้าไปรับแขกที่หอบุปผายังจะมีประโยชน์มากกว่า”
มู่ชิงเกอตัวสั่นสะท้าน”ท่านว่ากระไรนะ ?”
ชายผู้นี้จะส่งนางไปที่หอบุปผากระนั้นรึ? เขาโหดร้ายกับนางเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ?
อ๊อก!
ลำแสงสีขาวแทงทะลุเข้าสู่หัวใจของมู่ชิงเกอทำลายจุดตันเถียนของนางจนแตกละเอียด
ทันทีที่จุดตันเถียนแตกเลือดก็ไหลทะลักออกมาเต็มปากนาง ใบหน้าของนางซีดไม่ต่างกับคนตาย
”ข้าไม่เคยคิดเลยว่าบุรุษที่ข้าเฝ้ารอคอยมาเนิ่นนานจะใจร้ายกับข้าได้ถึงเพียงนี้”
น่าเสียดายที่นางพบคนผิดทั้งยังรักคนผิดอีกด้วย
ชายผู้นี้คู่ควรกับความรักความจริงใจของนางหรือไม่?
ครั้นนึกถึงการปกป้องของเขาที่มีให้ไป๋หยานนางก็ยิ่งอิจฉา ราวกับมีกรงเล็บจิกลงกลางใจ ทำให้หัวใจของนางเจ็บปวดอย่างรุนแรง
”ส่งนางไปที่หอบุปผา”
อ๋องคังถอนมือกลับพร้อมออกคำสั่งอย่างเย็นชา
องครักษ์ออกมาจากเงามืดเขาป้องมือคำนับ “พ่ะย่ะค่ะ…”
กล่าวจบองครักษ์ก็ลากมู่ชิงเกอไปที่ประตู
ตี้คังไม่มองมู่ชิงเกออีกต่อไปเขาหันหลังกลับ จากนั้นก็ก้าวไปทางไป๋หยาน
ครั้นเห็นใบหน้าที่น่ารังเกียจของตี้คังไป๋หยานก็ก้าวถอยหลังหนีสองก้าว ก่อนจะกระแอมขึ้น “จะทำอะไรข้าอีก ?”
“เจ้าคิดจะพาลูกชายของข้าหนีใช่หรือไม่?” ตี้คังกล่าว
”ข้า… เพียงล้อเล่นน่ะ”
“ข้าไม่ชอบการล้อเล่นเช่นนี้!” ตี้คังกดร่างของไป๋หยานแนบต้นไม้ใกล้ ๆ โดยไม่สนใจสายตาผู้ใด เขาบดขยี้ริมฝีปากของนางอย่างดุเดือด “ครั้งต่อไปพบกันบนเตียง !”
ใบหน้าของไป๋หยานงอง้ำ”ต่อหน้าผู้คนตั้งมากมาย นี่ท่านเคยคิดจะสนใจบ้างหรือไม่ ?”
“เจ้ารู้จักกลัวด้วยกระนั้นรึ? หวังว่าต่อไปเจ้าคงไม่กล้าขู่ข้าอีกนะ !”
ตี้คังหรี่นัยน์ตาเรียวคมขณะกดร่างของไป๋หยานแนบแน่น พร้อมกับกล่าววาจาประสงค์ร้าย
”แค่กๆ” ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานกระแอมไอ เขาขยิบตาให้หลานเสี่ยวหยุน “พวกเจ้ายังมัวทำอะไรกันอยู่ ท่านย่าของเจ้าตกใจหมดแล้ว พยุงนางไปพักผ่อนเร็ว ข้าเองก็จะไปดื่มชากับสหายเช่นกัน ”
หญิงชราตกใจกลัวจริงๆ จะว่าไปแล้วนางไม่ได้หยุดหวาดกลัวเลยด้วยซ้ำ
นับแต่ไป๋เสี่ยวเฉินพูดจบนางก็คิดว่าไป๋หยานไม่อาจรับมือมู่ชิงเกอได้เป็นแน่ นั่นก็ทำให้นางเกือบเป็นลม