เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ขณะที่สืออีเหนียงกับสวีลิ่งอี๋กำลังรับประทานอาหารเช้า เติงฮวาก็รีบเดินเข้ามา “ท่านโหว มีจดหมายจากแม่ทัพกงขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋รีบรับมา อ่านดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยให้เห็นสีหน้าที่ขมขื่น “พบร่องรอยของตั่วเหยียนใกล้กับเมืองอวี๋หลินเมื่อเช้าสองวันก่อน เขาได้มีคำสั่งให้โอวหยางหมิงนำทัพทหารหนึ่งหมื่นนายไปยังอวี๋หลิน จิ่นเกอตามไปในฐานะรองผู้บัญชาการ ทางด้านของเฉินเก๋อเหล่าไม่ต้องไปหาแล้ว!”
ยิ่งไปทางด้านตะวันตกเท่าไรก็ยิ่งเข้าใกล้ฉ่าวหยวน ยิ่งห่างไกลจากต้าถง และโอกาสที่ตั่วเหยียนจะหนีไปได้อย่างราบรื่นก็มีมากขึ้นด้วย หากไม่รีบไล่ตามเกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสแล้ว!
แม้พวกเขาจะต้องการหยุดจิ่นเกอ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว!
สืออีเหนียงถอนหายใจยาว “การกระทำขึ้นอยู่กับคน ความสำเร็จขึ้นอยู่กับฟ้า หวังว่าจิ่นเกอจะรู้สถานการณ์ของตัวเอง ให้ความร่วมมือกับโอวหยางหมิงอย่างดี มีโอวหยางหมิงอยู่เบื้องหน้า ทุกคนก็จะให้ความสนใจเขาน้อยลง”
เมื่อเทียบกับการปกป้องของฮ่องเต้ที่มีต่อโอวหยางหมิง จิ่นเกอนั้นสำคัญน้อยกว่ามาก
สวีลิ่งอี๋ก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน สายตาของเขาเผยให้เห็นถึงความชื่นชม “ทานข้าวเสร็จแล้วข้าจะไปจวนหวังลี่สักหน่อย บางเรื่องให้พวกเขาทำจะได้สะดวกกว่า”
สืออีเหนียงพยักหน้า จับตาดูข่าวของทางด้านอวี๋หลินอยู่ตลอดเวลา
ในวันที่สองเดือนหก โอวหยางหมิงตามตั่วเหยียนทันที่ฉินเหอซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอวี๋หลิน ในขณะที่โอวหยางหมิงคิดว่าตั่วเหยียนอยู่ในกำมือแล้ว ทันใดนั้นก็มีทหารม้าเผ่าตาดมองโกลจำนวนสองหมื่นคนโผล่มา…
นิ้วมือของสวีลิ่งอี๋บีบจดหมายจนสีขาวซีด “เผ่าตาดมองโกลสองหมื่นคน…กล่าวคือเผ่าตาดมองโกลที่หนีออกจากต้าถงในตอนนั้นไม่ได้กลับไปที่ฉ่าวหยวนเลย แต่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ต้าถงเพื่อรอโอกาสลงมืออย่างนั้นหรือ”
คนที่มารายงานจดหมายแก่สวีลิ่งอี๋คือหูซานผู้ติดตามคนสนิทของกงตงหนิง อายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี เป็นคนใจเย็น ได้รับความไว้วางใจจากกงตงหนิงอย่างยิ่ง สายตาของสวีลิ่งอี๋กดดันจนเขาแทบหายใจไม่ออก เขาพยักหน้าอย่างลำบากใจ ไม่กล้ามองหน้าของสวีลิ่งอี๋
“ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร” สวีลิ่งอี๋ถามหูซานหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่
หูซานไตร่ตรองแล้วพูดว่า “ใต้เท้าโอวหยางฆ่าศัตรูแปดพันคน ได้รับบาดเจ็ดสาหัส ตอนนี้สลบไปยังไม่ฟื้นขึ้นมา” เขาพูดเสียงเบา แต่อธิบายอย่างชัดเจน “ใต้เท้าสวีนำทหารของกองทัพอวี๋หลินสามพันนายไล่ตามไป!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นในหัวของหูซานก็ปรากฏใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของกงตงหนิงก่อนที่เขาจะมาที่นี่ น้ำเสียงแหบพร่าของกงตงหนิงดังขึ้นในหูของเขา ‘…หย่งผิงโหวมีพระคุณกับข้าอย่างยิ่ง ซ้ำยังมอบบุตรชายที่รักที่สุดแก่ข้า ข้าไม่เพียงแต่ดูแลเด็กคนนั้นได้ไม่ดี ซ้ำยังทำเด็กคนนั้นหลุดมือไป…หากไม่ใช่เพราะมีคำสั่งทหาร ข้าก็จะไปที่เยี่ยนจิงเพื่อรับโทษกับหย่งผิงโหวด้วยตัวเอง เจ้าไปแล้วก็อย่าลืมโขกศีรษะคำนับท่านโหวแทนข้าด้วย บอกกับท่านโหวว่ารอให้ข้าคืนตราแม่ทัพก่อนแล้วจะกลับไปรับโทษกับเขา เมื่อถึงเวลานั้นจะตีหรือจะด่าก็แล้วแต่ท่านโหวจะจัดการ จะไม่มีความขุ่นเคืองใดๆ ในใจ’ เขาอดตัวสั่นไม่ได้ รีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านโหว ใต้เท้าของพวกเราได้ส่งหัวหน้าหน่วยหลี่ที่เก่งกาจในการรบมากที่สุดให้พาทหารม้าในกองทัพทั้งหมดไล่ตามไปแล้ว เชื่อว่าอีกไม่กี่วันจะมีข่าวดีขอรับ…”
ไม่รอให้เขาได้พูจบ สวีลิ่งอี๋ก็โบกมือให้เขาช้าๆ “แม้ว่าจะเป็นเพราะติดกับดักของเผ่าตาดมองโกล แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้แล้ว มีเพียงจับตัวตั่วเหยียนได้เท่านั้นจึงจะสามารถใช้ผลงานชดเชยความผิดได้ ต่อให้ไล่ตามเขาไป คาดว่าเขาก็คงจะไม่กลับมากับพวกเจ้าอยู่ดี”
หูซานเงยหน้ามองสวีลิ่งอี๋ด้วยความประหลาดใจ
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ แต่มีร่องรอยของความโศกเศร้าในแววตาของเขาอยู่แวบหนึ่ง
หูซานนึกถึงข่าวลือที่แพร่กระจายอยู่ในค่ายทหารเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นของสวีลิ่งอี๋ ในใจพลันรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าเกินหน้าที่ของตัวเอง แต่ก็อดพูดไม่ได้ว่า “ท่านโหว ไม่มีทางขอรับ หัวหน้าหน่วยหลี่ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญด้านการรบ ซ้ำยังเชี่ยวชาญด้านการเจรจาต่อรอง เขาจะสามารถเกลี้ยกล่อมใต้เท้าสวีได้อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นใต้เท้าของพวกเราก็คงไม่ให้หัวหน้าหน่วยหลี่ไป ใต้เท้าของพวกเราก็พูดแล้วว่าแม่ทัพที่เป็นผู้นำกองทัพในครั้งนี้คือใต้เท้าโอวหยาง ใต้เท้าสวีเป็นเพียงรองผู้บัญชาการ แม้ว่าจะมีความผิด แต่นั้นก็เป็นความผิดของใต้เท้าโอวหยาง เมื่อถึงเวลานั้นใต้เท้าสวีก็แค่นอนอยู่เฉยๆ ข้างกายใต้เท้าของพวกเราสักสองสามปี เมื่อทางด้านซีเป่ยมีการเคลื่อนไหวค่อยไปเทียบความแข็งแกร่งกับพวกเขาเพื่อเอาชื่อเสียงกลับคืนมา” หากเป็นเวลาสถานการณ์ปกติ สวีลิ่งอี๋ไม่มีทางพูดกับคนอย่างหูซานแน่นอน แต่วันนี้เรื่องที่มั่นใจกลับเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เมื่อกลับไปเขาจะเผชิญหน้ากับสืออีเหนียงผู้มีดวงตาสุกใสได้อย่างไร…ใจของเขาแทบจะหยุดเต้นไปครู่หนึ่ง
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าจิ่นเกอเป็นเด็กที่ดื้อดึงเพียงใด” เขาพูดตะกุกตะกัก “ตราบใดที่ยังมีความหวังแม้เพียงแค่เส้นบางๆ เขาก็จะไม่ยอมปล่อยไป ยิ่งไปกว่านั้นใต้เท้าของพวกเจ้ายังให้หัวหน้าหน่วยหลี่นำทหารม้าทั้งหมดในกองทัพไปด้วย…ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางกลับไปอย่างแน่นอน!”
หูซานเงียบไป
ขณะที่อยู่ข้างกายกงตงหนิงเขาพอเข้าใจนิสัยของจิ่นเกออยู่บ้างเล็กน้อย
“เอาล่ะ ต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืน เจ้าเองก็คงเหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนเถิด!” สวีลิ่งอี๋โบกมือจบบทสนทนาในครั้งนี้
หูซานคำนับด้วยความเคารพ แล้วค่อยๆ ถอยออกไป
สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างห้องหนังสือ เขาจ้องมองแหวนสีเขียวมรกตที่อยู่ในอ่างกระจกอย่างเหม่อลอย จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดเขาจึงได้ถอนหายใจยาว วางจดหมายลงในกล่องไม้ที่อยู่ข้างๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียงเตา หลังจากเดินไปเพียงสองก้าว เขาก็หันกลับมาอีกครั้ง เอาจดหมายที่อยู่ในกล่องไปวางไว้ในช่องขนาดเล็กมุมด้านขวาของชั้นวางของที่ไม่สะดุดตามากที่สุด แล้วไปที่ห้องหลัก
ต่างจากความเหงาเมื่อไม่กี่วันก่อน วันนี้ห้องหลักจุดไฟสว่างไสว บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้เดินไปมาอย่างขวักไขว่ โคมไฟสีแดงส่องประกาย สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความสุข
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจ
หันเซี่ยวออกมาต้อนรับ “ท่านโหว รีบเข้ามาในห้องเถิด! ฮูหยินรอท่านอยู่นานแล้วเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกใจไม่ดี
หรือว่าสืออีเหนียงจะรู้อะไรมา
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว ก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
หากสืออีเหนียงรู้เรื่องของจิ่นเกอแล้ว ในเรือนจะมีกลิ่นอายของการเฉลิมฉลองเช่นนี้ได้อย่างไร!
ขณะที่กำลังครุ่นคิด เขาก็พยักหน้าให้หันเซี่ยวด้วยสีหน้าเรียบเฉย สาวเท้าเข้าไปที่ห้องชั้นใน
สืออีเหนียงเอนกายพิงหมอนอิงอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่าง กำลังพูดคุยกับหู่พั่วด้วยสีหน้าอ่อนโยน เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวนางก็หันมา สีหน้าเผยให้เห็นถึงความเขินอายเล็กน้อย “ท่านโหวกลับมาแล้วหรือ!”
หู่พั่วรีบลุกขึ้นคำนับสวีลิ่งอี๋ เรียกเหลิ่งเซียงเข้ามาปรนนิบัติสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้า
สืออีเหนียงนอนอยู่บนเตียงไม่ขยับไปไหน
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจเล็กน้อย เดินไปนั่งลงข้างเตียง “เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“เปล่าเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงสีหน้าแดงก่ำ ท่าทางของนางผิดปกติเล็กน้อย “ข้าสบายดี!” แล้วพูดต่ออีกว่า “ท่านโหวรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด! ข้าจะให้บรรดาสาวใช้ยกสำรับมาวางประเดี๋ยวนี้”
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองด้วยหางตาก็เห็นว่าหู่พั่วกำลังเม้มปากยิ้ม
“เกิดอะไรขึ้น” สวีลิ่งอี๋มองหู่พั่วด้วยความสงสัย
หู่พั่วเหลือบมองสืออีเหนียง ยิ้มพลางย่อเข่าคำนับ “ยินดีกับท่านโหว ผลตรวจของฮูหยินออกมาว่ากำลังตั้งครรภ์เจ้าค่ะ!”
ตั้งครรภ์…
สวีลิ่งอี๋ตกตะลึงอยู่นานก่อนจะได้สติกลับมา “จริง จริงหรือ!”
น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
จิ่นเกออายุสิบกว่าปีแล้ว เขาเองก็ล้มเลิกความตั้งใจไปนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมี…มีความรู้สึกเหมือนได้สิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมา พลอยทำให้ยิ่งรู้สึกปิติยินดีมากขึ้นไปอีก
“เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือไม่” เขาเอามือไปสัมผัสที่ท้องของนาง “มีอะไรที่อยากทานเป็นพิเศษหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋นึกถึงอาการไม่สบายของนางตอนที่ตั้งครรภ์จิ่นเกอ น้ำเสียงของเขากังวลเล็กน้อย
“ไม่มีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงใบหน้าแดงก่ำ “หากไม่ใช่เพราะหู่พั่วเตือนข้า ข้าก็คงคิดไม่ถึง เมื่อไม่กี่วันก่อนเอาแต่เป็นกังวลเรื่องจิ่นเกอ!” เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็มีสีหน้าจริงจัง “ทางด้านของจิ่นเกอมีข่าวอะไรหรือไม่ จากที่คำนวณเวลา ควรจะมีข่าวจากอวี๋หลินได้แล้ว”
“ยังไม่ได้รับข่าวอะไรเลย หากมีข่าวข้าจะบอกเจ้าทันที” สวีลิ่งอี๋พยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้เสียงของตัวเองดูผ่อนคลายและสงบเหมือนปกติ “เจ้าไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนจริงๆ หรือ” เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ลูบท้องของสืออีเหนียงเบาๆ “ท่านแม่รู้หรือยัง” น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นอย่างมาก
หู่พั่วเห็นดังนั้นก็รีบส่งสายตาให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติในห้องพากันถอยออกไป
“ยังเลยเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงก้มหน้า “ข้าไม่รู้จะบอกท่านแม่อย่างไรดี...จวงเกอก็วิ่งไปทั่วได้แล้ว…”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางกอดสืออีเหนียงไว้ในอ้อมแขน “มีอะไรน่าอายกัน! อย่างมากก็แค่ท่านอาอายุน้อยกว่าหลาน แสดงให้เห็นว่าตระกูลของเรารุ่งเรือง!”
เมื่อได้ยินเขาพูดว่า ‘ท่านอาอายุน้อยกว่าหลาน’ สืออีเหนียงก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่แน่อาจจะเป็นบุตรสาวก็ได้! คราวที่แล้วตอนตั้งครรภ์จิ่นเกอไม่เคยรู้สึกสบายตัวเลยแม้แต่วันเดียว แต่ครั้งนี้แม้แต่ตั้งครรภ์แล้วก็ยังไม่รู้ตัว!”
“บุตรสาวก็ดี!” สวีลิ่งอี๋ไม่ได้สนใจ “บุตรสาวก็เหมือนกับมารดาที่รู้จักใส่ใจ มีบุตรสาวก็จะได้มีคนดูแล!”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น!” น้ำเสียงของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความปรารถนา “คงเป็นเพราะสวรรค์คิดว่าจิ่นเกอดื้อเกินไปจึงส่งคนที่เชื่อฟังมาชดเชยให้ข้ากระมัง!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ แต่ในใจกลับรู้สึกหนาวสั่น
จิ่นเกอเข้าไปในฉ่าวหยวนเพื่อไล่ล่าตั่วเหยียนตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน…หลังจากที่รอบุตรมาหลายปี ก็ไม่มาสักที แต่สืออีเหนียงกลับมาตั้งครรภ์ในเวลานี้…หรือว่าเป็นเพราะสวรรค์สงสารพวกเขาจริงๆ จึงได้ชดเชยให้พวกเขา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดแทงก็ไม่ปาน แต่กลับไม่กล้าแสดงออกต่อหน้าสืออีเหนียงแม้แต่นิดเดียว ยังคงยิ้มพลางพูดคุยกับนาง “ระวังจิ่นเกอรู้เข้า เมื่อถึงเวลานั้นก็จะมาซักไซ้พวกเรา เพราะว่าเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองดื้อเลย!”
เมื่อนึกถึงท่าทางขมวดคิ้วด้วยความฉุนเฉียวของบุตรชาย สืออีเหนียงก็หัวเราะออกมา พูดด้วยความกังวลว่า “ท่านว่าหากจิ่นเกอรู้ว่าตัวเองกำลังจะมีน้องชายหรือน้องสาว จะรู้สึกผิดหวังหรือไม่”
“เหตุใดเขาถึงต้องรู้สึกผิดหวังด้วยเล่า” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างไม่เข้าใจว่า “เขามีน้องสาวน้องชายร่วมท้อง ก็จะได้มีคนช่วยสนับสนุนเพิ่มขึ้น จะผิดหวังได้อย่างไร”
จิ่นเกอเป็นที่โปรดปรานเสมอมา หากมีน้องสาวหรือน้องชายร่วมท้อง ความสนใจของนางก็จะถูกกระจายออกอย่างแน่นอน และให้ความสนใจเขาน้อยลง…แต่อย่างไรก็ตาม คำพูดของสวีลิ่งอี๋ก็สมเหตุสมผล บนโลกใบนี้ให้ความสำคัญว่ายิ่งมีบุตรเยอะก็ยิ่งมีวาสนา ไม่แน่หากจิ่นเกอรู้เข้าอาจจะดีใจก็ได้!
“พวกเราเขียนจดหมายถึงจิ่นเกอดีหรือไม่!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เวลากลับมาที่จวนเขาจะได้ไม่ต้องตกใจ”
“พรุ่งนี้ค่อยเขียนเถิด!” สวีลิ่งอี๋สีหน้าเรียบเฉย “วันนี้ทานข้าวก่อน จากนั้นก็ไปคารวะท่านแม่ แล้วค่อยไปจุดธูปบูชาบรรพบุรุษ…”
สืออีเหนียงพยักหน้าแต่ในใจกลับเอาแต่คิดว่าหากจิ่นเกอกลับมาแล้วจะบอกเรื่องนี้กับเขาอย่างไรดี!
******
ไม่กี่วันต่อมาทุกคนต่างก็รู้ข่าวว่าสืออีเหนียงตั้งครรภ์แล้ว
หลินฮูหยิน คุณนายสามสกุลหวง โจวฮูหยินต่างก็มาเยี่ยมเยียนนาง สืออีเหนียงเตรียมอาหารและสุราต้อนรับ ในเรือนมีคนเข้าออกอยู่เสมอ บรรยากาศครื้นเครงเป็นอย่างมากอยู่หลายวัน
สืออีเหนียงกลับค่อยๆ เริ่มสงสัย
เหตุใดคนที่มาเยี่ยมนางเหล่านี้ ไม่มีใครถามถึงจิ่นเกอเลยสักคน