บทที่ 18 รักษาเว่ยฉิงได้
ถังหลี่เท้าเอวยืนมองหลี่ชุนฮวากับพรรคพวกจากไป ด้านข้างของนางมีเว่ยฉิงที่ยืนพิงกำแพงถือขวานเล่มใหญ่ไว้ในมือ ราวกับว่าหากผู้ใดคิดที่จะดาหน้าเข้ามาต้องเอาชนะขวานในมือของเขาให้ได้เสียก่อน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีประโยชน์สักเท่าใดนัก ในเมื่อภรรยาของเขาเก่งกาจกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิด หากให้เปรียบละก็..คงเหมือนพวกเม็ดพริกไทยเล็ก ๆ ที่แสบร้อน สิ่งนี้ทำให้เว่ยฉิงรู้สึกพอใจในตัวนางมากขึ้นไปอีก
หญิงสาวรับรู้ถึงสายตาที่จับจ้องมาที่นาง เมื่อหันไปมองดูต้นตอก็พบเว่ยฉิงจ้องมองมาที่ตนเองราวกับหมาป่าที่จ้องเหยื่อของมัน
ดวงตาของถังหลี่หรี่ลงทำให้ชายหนุ่มทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย ตอนที่ลุกออกมาจากบ้านอย่างรีบร้อนทำให้เสื้อผ้าของเว่ยฉิงไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก สาบเสื้อของเขาเปิดออกกว้างเผยให้เห็นกล้ามเนื้ออันแข็งแรง จนถังหลี่แทบจะละสายตาจากภาพตรงหน้าไม่ได้ นางกระแอมไอเบา ๆ ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ
“ใส่เสื้อผ้าดี ๆ สิ”
“ขอรับ… ภรรยา” เว่ยฉิงจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อยก่อนกระซิบเบา ๆ
“ให้เจ้าดูคนเดียวเท่านั้นแหละ ไม่ได้ให้คนอื่นมองหรอกนะ”
“ข้าไม่ได้อยากเห็น!” ถังหลี่ใบหน้าเห่อร้อน …ก็แค่กล้ามเนื้อสวย ๆ เพียงแปดก้อน นางไม่ได้สนใจอยู่แล้ว!
ถังหลี่เดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมมื้อเช้า ส่วนชายหนุ่มก้มลงล้างหน้าให้สดชื่น จากนั้นเขาก็นั่งลงที่บริเวณลานหน้าบ้านแล้วเริ่มทำงานต่อ ไม้ไผ่เมื่อวานที่เตรียมไว้ถูกใช้จนหมดแล้ว ตอนนี้เว่ยฉิงเลยต้องนั่งใช้ขวานค่อย ๆ ตอกไม้ไผ่เป็นเส้นเพิ่มขึ้น
ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยก็ลุกออกจากเตียงแล้วเช่นกัน เด็กสองคนช่วยเว่ยฉิงแบกไม้ไผ่เพื่อลดภาระที่ต้องขยับตัวของบิดา
โจ๊กฝีมือถังหลี่และมันเทศนึ่งเสร็จเรียบร้อย ข้าวสารและแป้งหมี่ เริ่มร่อยหรอลงเรื่อย ๆ นางไม่รู้เลยว่าภาวะการขาดแคลนอาหารจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ตอนนี้เหลือแค่เนื้อตากแห้ง หัวไชเท้า และกะหล่ำปลีที่เติบโตอยู่ในสวนเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเหลืออีกแล้ว เนื่องจากเว่ยฉิงได้รับบาดเจ็บ ทั้งครอบครัวจึงไม่มีเนื้อสัตว์ให้กิน ฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามาแล้ว นายพรานล่าสัตว์เริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ เนื้อสดถูกส่งไปให้ตระกูลใหญ่ ๆ หลายแห่ง ไม่เหลือขายในตลาดเลย
เมื่อคิดถึงเนื้อสัตว์นางก็เกิดความปรารถนาอันแรงกล้า ลูก ๆ ของนางเป็นเพียงเด็กตัวน้อย ๆ พวกเขากำลังโตกำลังต้องการอาหารที่มีประโยชน์ ถังหลี่ต้องหาเนื้อสัตว์มาเพิ่มให้ได้!
หลังจากมื้อเช้าผ่านพ้นไป หญิงสาวเดินไปรอบ ๆ บริเวณและในที่สุดก็มองเห็นแม่น้ำ ปลาหลี่เติบโตอยู่ในมิติลับเป็นจิตวิญญานที่ก้ำกึ่งระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์ทำให้แตกต่างจากปลาทั่วไป ดังนั้นปลาธรรมดาก็เหมือนประหนึ่งเป็นบริวารที่ไม่คณามือของนางแต่อย่างใด
ถังหลี่นั่งยอง ๆ อยู่ริมแม่น้ำในมือถือไม้ปลายแหลมพร้อมสายตาที่จับจ้องลงไปในแม่น้ำเบื้องหน้า หญิงกลางคนที่มาซักเสื้อผ้าเห็นถึงความแน่วแน่ของถังหลี่จึงเอ่ยขึ้นอย่างใจดีว่า
“แม่นาง…ปลาทั้งหมดในแม่น้ำนี้ไม่มีหรอก มีคนจับปลาสองสามคนในหมู่บ้าน มาลองจับดูหลายครั้ง แต่ก็กลับไปมือเปล่าทั้งนั้น เจ้าอย่าเสียแรงเปล่าเลย”
ทันที่หญิงกลางคนเอ่ยจบ ไม้ในมือของถังหลี่ก็พุ่งปักลงไปในแม่น้ำ และเมื่อยกขึ้นมาอีกครั้งบนปลายแหลมก็ปรากฏปลาที่ตัวโตหนักมากกว่าหนึ่งชั่ง
“……”
นางจับปลาได้จริงๆ!!
หญิงกลางคนถึงกลับตะลึง ถังหลี่วางปลาลงในตะกร้าที่เตรียมมา ยิ้มให้ท่านป้าคนนั้นแล้วนั่งนิ่ง ๆ รอจังหวะเพื่อแทงปลาตัวถัดไป
หลังจากเกือบทั้งวัน นางจับปลาได้ห้าตัวและมอบให้ป้าที่มาซักผ้าไปตัวหนึ่ง
ปลาสี่ตัว…อืม น้ำแกงปลา…ปลานึ่ง
ถังหลี่น้ำลายสอเมื่อคิดถึงเมนูที่จะทำ หญิงสาวเดินกลับพร้อมตะกร้าที่ใส่ปลา เมื่อกลับถึงบ้านต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยกำลังเรียนรู้วิธีสานตะกร้าอยู่
“ต้าเป่า เข้าไปในหมู่บ้านซื้อเต้าหู้มาให้แม่ที” ถังหลี่ตะโกน มีคนในหมู่บ้านทำเต้าหู้เอง และขายมันในราคาที่ก้อนหนึ่งไม่กี่อีแปะ[1]เท่านั้น ต้าเป่ารับเงินจากมารดาและวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านทันที
ต้องทุบปลาตะเพียนพวกนี้ ขอดเกล็ดและล้างให้สะอาด … คราวที่แล้วถังหลี่ซื้อเครื่องปรุงมาจากตลาด นางเทเครื่องปรุงลงบนตัวปลา ราดเหล้าที่หมักจากข้าวและนึ่งปลาในซึ้ง ส่วนอีกสองตัวถังหลี่แล่เนื้อมันออกมา หมักปรุงรสไว้ราว ๆ หนึ่งก้านธูป นำไปทอดในน้ำมันก่อนใส่ลงในน้ำแกง จากนั้นก็ค่อย ๆ เติมเต้าหู้ที่ซื้อมาลงไป
ไม่นานกลิ่นหอมก็โชยออกมาจากครัวของถังหลี่…
เด็ก ๆ เริ่มน้ำลายสอและแม้แต่เว่ยฉิงก็ยังจับจ้องไปที่ครัวอย่างตั้งตารอ ถังหลี่ผัดกะหล่ำปลีอีกหนึ่งจาน และนำหัวไชเท้าที่ดองไว้ออกมา รวมเป็นกับข้าวถึงสี่อย่างด้วยกัน
เด็ก ๆ ทุกคนพากันล้างมือในอ่างน้ำอย่างกระตือรือร้นก่อนจะนั่งที่โต๊ะอาหารอย่างเชื่อฟัง เว่ยฉิงนั่งลงตามไปติด ๆ ชายหนุ่มแบ่งน้ำแกงปลาออกมาหนึ่งชาม ตักส่วนที่ดีที่สุดของปลาให้กับถังหลี่ จากนั้นก็แจกจ่ายไปให้เด็กทั้งสี่คน ก่อนตักให้ตัวเองเป็นคนสุดท้าย
ถังหลี่มองชามน้ำแกงตรงหน้าที่เต็มไปด้วยเนื้อปลา เมื่อมองไปทางชามของเว่ยฉิงที่มีแต่น้ำแกงแล้วไม่มีแม้แต่เศษของเนื้อปลาเลย
ในยุคนี้ผู้คนไม่เห็นความสำคัญของน้ำแกงว่าดีกว่าเนื้อสัตว์อย่างไร น้ำแกงคือแก่นแท้ของอาหารเพราะรสชาติของเนื้อสัตว์จะอยู่ในน้ำแกง ถึงแม้ในส่วนของเนื้อจะมีประโยชน์ก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็อุทิศเนื้อปลาแก่นางจนหมด ชามของเขาแทบจะไม่มีเนื้อปลาเลย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังทำร้ายนางทางอ้อม แม้ความจริงแล้วมันคือการมอบสิ่งที่มีประโยชน์ทางโภชนาการที่สุดให้แก่ถังหลี่ก็ตาม
ถังหลี่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี…
หญิงสาวตักเนื้อปลาในชามของตัวเองมอบให้เว่ยฉิง
“เจ้ากินเนื้อไปสิ” เว่ยฉิงห้ามนาง
“อาหารชามนี้ความอร่อยอยู่ที่น้ำแกง ! เนื้อมันไม่อร่อยหรอก ข้าจะให้เจ้ากินแทน!” ถังหลี่กล่าวอ้างจนเว่ยฉิงไม่สามารถเอาชนะนางได้ เว่ยฉิงมองเนื้อปลาในชามตัวเองก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาราวกับคนโง่
เป็นการกลั่นแกล้งที่น่าเอ็นดูจริงๆ …
ในขณะที่ถังหลี่และเว่ยฉิงเถียงกัน เด็ก ๆ เริ่มลงมือกินอาหารไปก่อนแล้ว เมื่อน้ำแกงปลาเข้าไปในปาก รสชาติที่อร่อยกลมกล่อมและกลิ่นที่หอมหวนกระจายฟุ้งไปทั่วทั้งปาก รสชาติของมันช่างเลอเลิศจนยากที่จะบรรยายออกมาได้ ซานเป่าซดน้ำแกงแล้วแลบลิ้นเลียบนชาม เอ้อร์เป่าก็อยากจะเลียแบบน้องสาวบ้างแต่เมื่อคิดได้ว่าตัวเองโตแล้วจึงนิ่งชะงัก เด็กชายเปลี่ยนมากินปลานึ่งแทน เนื้อปลานุ่มลิ้นมาก มันสดอีกทั้งไม่มีกลิ่นคาวแถมยังอร่อย ยิ่งกินคู่กับหัวไชเท้าดองรสเปรี้ยว ทำให้กระตุ้นต่อมรับรสได้ดียิ่งขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะเติมข้าวอีกถ้วย
สวี่เจวี๋ยไม่เคยกินอาหารดี ๆ เช่นนี้มาก่อน เขากินเยอะมากจนตอนนี้ท้องของเขาป่องออกมา ทำให้เด็กชายอายเล็กน้อย ถังหลี่จะคิดว่าเขาเลี้ยงยากเกินไปหรือไม่นะ?
หลังจากกินอาหารเสร็จสวี่เจวี๋ยรีบเขาไปยืนเขย่งให้เพื่อล้างจานที่วางอยู่ เขาช่วยล้างจานชามจนสะอาด สวี่เจวี๋ยขยับไปหาถังหลี่ข้าง ๆ แล้วเอ่ยว่า
“พี่สาว ข้าขอเรียนทำอาหารกับท่านได้หรือไม่?”
แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับทำกินเองแน่ ๆ เด็กชายแตกต่างจากต้าเป่าและลูกคนอื่นของถังหลี่ เขาเป็นเด็กที่ชื่นชอบการกินและดื่ม นางมองไปที่เด็กชายก่อนจะลูบหัวเบา ๆ
“ข้าจะหาอะไรให้เจ้าทำ ที่ไม่ใช่การทำอาหาร”
นี่คือบัณฑิตที่จะโด่งดังไปทั่วหล้าในภายภาคหน้า หากยังมาเรียนทำอาหารกับถังหลี่จนฝีมือพัฒนาเป็นพ่อครัวชั้นยอดอีก ก็จะเกินมนุษย์ไปแล้ว
ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยมีอายุเกือบ 7 ปีแล้ว ในวัยนี้เป็นวัยกำลังกินกำลังนอน และตอนนี้การกินของพวกเขากำลังจะเกิดขัดสน อีกทั้งยังไม่มีเงินเพื่อจ่ายค่าเสื้อผ้าให้เด็กทั้งสองได้
ดูเหมือนถังหลี่จะต้องคิดวิธีหาเงินแล้ว
……
วันถัดมา
ถังหลี่เดินทางไปที่บ้านของหมอซูในตอนเช้า
“ถังหลี่ เจ้ามาแล้วหรือ? ข้าเตรียมยาที่เจ้าต้องการเสร็จแล้วนะ” หมอซูหยิบถุงยาออกมาจากในห้องแล้วยื่นให้กับนาง ถังหลี่มองไปที่ลักษณะของยาและรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยาตัวนี้ลักษณะคล้ายพลาสเตอร์ยาสมัยใหม่ที่ห่อด้วยผ้าก๊อซสีขาว มันดูสะดวกต่อการใช้งานมาก
“เจ้าใช้ยานี้กับเว่ยฉิงทุกเช้า และข้าจะนำยาไปให้กินด้วย ภายในสองหรือสามเดือนก็หายแล้ว” หมอซูกล่าว ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกาย นี่คือข่าวดี! ขาของเว่ยฉิงสามารถรักษาให้หายขาดได้ และเขาจะไม่ใช่บุรุษพิการอย่างในนิยาย
“ข้านำรากและลำต้นของหญ้าระฆังเงินมาทำยา ส่วนใบของมันข้าต้มให้ภรรยาข้าดื่มแล้วล่ะ เมื่อคืนนางไม่มีอาการไอเลย”
หมอซูกล่าว ดวงตาของหมอวัยกลางคนแดงเล็กน้อย ภรรยาของเขาไม่ได้หลับสนิทมาหลายปีแล้ว นางไอทุกคืน จนร่างกายซูบผอม อาการทรุดลงเรื่อย ๆ เมื่อคืนเมื่อได้เห็นว่าภรรยานอนหลับสบายอยู่ข้างกาย หมอซูรู้สึกเหมือนฝันไป ชายร่างใหญ่ถึงกลับร่ำไห้เงียบ ๆ อยู่บนเตียง
—————————-
[1] เงินปลีกโบราณ