บทที่ 383 เรื่องราวในงานเลี้ยง
“ใช่แล้ว เสี่ยวตวนอยู่ที่บ้านข้า” เถ้าแก่ร้านตอบ
ถังหลี่เข้าไปที่ร้านของเถ้าแก่เห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารขนาดใหญ่
เขาดื่มสุราทานอาหารอย่างสบายใจ เมื่อถังหลี่มาเมืองหลวง หยานเสี่ยวตวนก็ตามมาด้วยเช่นกัน ตอนที่นางซื้อเขามาเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีเท่านั้น ผ่านไปสามปีเขาอายุสิบแปดปีแล้ว แต่ลักษณะนิสัยของเขาไม่เปลี่ยนไปเลย ถังหลี่ซื้อเขามาเพื่อให้เป็นเพื่อนกับบุตรชาย แต่เขากลับกลายเป็นนายน้อยที่เอาแต่ใจ หยานเสี่ยวตวนเงยหน้า พอเห็นถังหลี่ก็ยิ้มออกมา
“ผู้อาวุโสถัง มาทานข้าวเร็วข้าสั่งอาหารอร่อยๆ มาเต็มโต๊ะเลยทีเดียว” หยานเสี่ยวตวนทักทายอย่างอบอุ่น
ถังหลี่แค่นหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ ทำท่าราวกับประหนึ่งเป็นเจ้าของบ้านเชื้อเชิญแขกแบบนี้ ช่างกล้าหาญไม่กลัวตายจริงๆ ไม่ใช่ว่าอาหารทั้งหมดนี่เป็นของนางหรอกหรือ?
ถังหลี่เดินไปนั่งตรงข้ามกับเขา แม้ว่านิสัยเขาะไม่เปลี่ยน หากรูปร่างหน้าตาเขากลับเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย เมื่อสามปีที่แล้วเขายังดูเป็นเด็กหนุ่มอ่อนเยาว์ แต่เวลาผ่านไปเขาเติบโตขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ใบหน้าดูคมคายแต่เหมือนเด็กในร่างผู้ใหญ่
“หยานเสี่ยวตวนพ่อแม่ของเจ้าอยู่ไหนหรือ?” ถังหลี่ถาม
ก่อนหน้านี้หยานเสี่ยวตวนดูเหมือนจะรอให้ใครสักคนมารับเขา ถังหลี่รู้ว่าเขารอบิดามารดามารับ เขาไม่ใช่เด็กกำพร้าแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้น นางมีความรู้สึกว่าเขาไม่ได้มาจากครอบครัวธรรมดา ตัวตนของบิดามารดาคงไม่ใช่ชาวบ้านสามัญทั่วไป แต่ผ่านไปสามปีแล้วเหตุใดจึงยังไม่มีใครมาตามหาเขาอีก ถังหลี่รู้สึกว่านี่คงจะเป็นเรื่องลึกลับที่หยานเสี่ยวตวนไม่อยากบอกใคร บางครั้งทุกคนล้วนมีความลับ เป็นเขาเองที่ไม่อยากเปิดเผย นางจึงไม่ได้เคี่ยวเข็ญที่จะถามเขาต่อไปอีก
ในดวงตาของหยานเสี่ยวตวนฉายให้เห็นแววผิดหวังอยู่ลึกๆ ในไม่ช้าเขาก็ยิ้มออกมาอย่างเฉยเมย
“ข้าเคยเห็นความสัมพันธ์ที่จอมปลอมของบิดาและบุตรมาอยู่บ้าง ข้าจึงไม่ปรารถนา เพียงอยากเป็นนักพเนจรที่ท่องไปทั่วหล้าเท่านั้น” เขาพูดขึ้นมาพร้อมวางท่าราวกับผู้รู้แจ้ง
“เจ้าอยากเป็นคนโดดเดี่ยวพเนจรย่อมเป็นได้ แต่อย่ามาใช้เงินข้า!”
หยานเสี่ยวตอนเปลี่ยนเป็นสีหน้าประจบขึ้นมาทันที
“พี่สาว ท่านท่านเป็นพี่สาวข้า ท่านอยากเห็นข้าร่อนเร่อยู่กลางถนน ใช้ชีวิตอย่างลำบากจริงๆ หรือ?”
“ทำไมข้าจะทนไม่ได้ล่ะ?” ถังหลี่ตอบอย่างโหดเหี้ยม
“พี่สาว กั๋วจื่อเจี้ยนกำลังจะเลิกแล้วเราไปรับเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยกันเถอะ!”
หยานเสี่ยวตวนรีบเปลี่ยนเรื่อง พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าเขามีคุณสมบัติที่เหมาะสม ซานเป่าเอามือปิดปากยิ้มให้เขา ท่านน้าเสี่ยวตวนเป็นคนตลกมาก ถังหลี่เองก็รู้สึกขบขันกับเขาเช่นกัน นางไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเขา แต่เขาเป็นคนที่สร้างเสียงหัวเราะอยู่เสมอ
ทั้งสามคนเดินออกจากร้านไปที่กั๋วจื่อเจี้ยน สำนึกศึกษาจะตั้งอยู่บริเวณสุดถนนแห่งนี้ ที่เบื้องหน้าของพวกเขามีกำแพงสูงตั้งตระหง่าน พวกเขาต้องเดินเลาะไปก่อนจะถึงทางเข้าหลัก กั๋วจื่อเจี้ยนมีขนาดใหญ่มาก สมกับเป็นสำนักศึกษาของเมืองหลวงที่เหล่าบัณฑิตใฝ่ฝันที่จะเข้ามาเรียน
ในยุคสมัยนี้ช่องว่างทางการศึกษามีมากเกินไป ศิษย์ที่มีฐานะธรรมดาแม้ผลการเรียนจะดีเยี่ยม แต่จะไม่สามารถเข้าเรียนที่นี่ได้ ยกเว้นว่าพวกเขาเป็นลูกหลานของผู้มีฐานะหรือตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง
ถังหลี่เดินลัดเลาะไปตามกำแพง
“ท่านแม่ดูนั่น” ซานเป่าเรียก
เมื่อถังหลี่เงยหน้าขึ้น นางเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังปีนกำแพงโดยที่เท้าข้างหนึ่งห้อยออกมา กำแพงสูงมากเกินไปทำให้เด็กชายตัวตัวสั่นด้วยความกลัว ทันใดนั้นเองร่างชองเขาก็เอียงหงายหล่นลงมา
“อ๊า!” เด็กชายร้องเสียงดังพริบตาเขากลับตกลงมาในอ้อมแขนของใครบางคน ใบหน้าเขามึนงง แขนข้างหนึ่งโอบรอบคอของถังหลี่เอาไว้ไม่เจ็บ!
นี่เขาไม่ได้หล่นลงมากระแทกพื้นหรอกหรือ?
ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าตนเองกำลังถูกหญิงสาวผู้หนึ่งอุ้มเอาไว้ ใบหน้าเขาเป็นสีแดง เขาดิ้นรนพยายามจะลงไปที่พื้น
“เจ้าปล่อยข้า เดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงของเขาฉุนเฉียว เด็กชายผู้นี้หน้าตาน่ารัก ดวงตาเขาเหมือนแมวน้อย
“เจ้าเป็นคนกอดคอข้า” ถังหลี่พูด
เด็กชายหน้าแดง รีบชักมือออก จากนั้นถังหลี่ถึงได้ปล่อยเขาลง เขายืนอยู่ที่พื้นด้วยความละอายและโกรธ หลังจากกวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่เห็นใคร จึงได้เบาใจลง
“โอ้ นายน้อย ท่านอยู่นี่เอง”
เด็กหนุ่มอายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปีวิ่งมาหาเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเด็กชายคนนี้ปลอดภัยดี เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ไม่มีใครยอมเปิดประตูให้ ข้าจึงต้องปีนกำแพงออกมา ข้าเบื่อแล้วอยากกลับบ้าน!” หลังจากพูดจบเขาก็หันหลังทำท่าจะจากไป แต่แล้วกลับชะงักฝีเท้าหันกลับมาที่ถังหลี่พูดอย่างดุดัน
“ห้ามปริปากเรื่องวันนี้อย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้า”
“ข้าไม่พูด” ถังหลี่กล่าว
“ฮึ่ม!” เด็กชายหันหลังวิ่งจากไปทันที
หยานเสี่ยวตวนมองไปที่ด้านหลังของคนทั้งสองก่อนจะพูดว่า
“ทำไมเด็กคนนี้ทำตัวก้าวร้าวข่มขู่ผู้มีพระคุณของเขาเช่นนี้เล่า?”
“เขาเป็นองค์ชาย” ถังหลี่พูดกับหยานเสี่ยวตวน
“องค์ชาย…เขาควรจะเรียนหนังสือกับอาจารย์ในวังหลวงไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงต้องมาเรียนที่นี่ด้วยเล่า”หยานเสี่ยวตวนอยู่ในเมืองหลวงมานาน เขามีสหายเที่ยวดื่มกินด้วยกันจึงทำให้รู้เรื่องราวต่างๆ ในเมืองหลวงเป็นอย่างดี
ถังหลี่ส่ายหน้า แม้ว่านางจะมีหน่วยข่าวกรอง แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจแทรกซึมเข้ามายังเมืองหลวงได้ ไม่ต้องพูดถึงในวังหลวงเลยด้วยซ้ำ นางจึงไม่มีความแน่ชัดถึงเรื่องคลื่นใต้น้ำและการแย่งชิงอำนาจในวังหลวง
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นองค์ชาย?” หยานเสี่ยวตวนอดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้
“เป็นเพราะเขาเผลอหลุดปากพูดแทนตนเองว่า ‘ข้าองค์ชาย’ ขึ้นมานะสิ อีกทั้งหยกที่เขาห้อยเอาไว้ยังเป็นลายมังกรอีกด้วย”
ตามธรรมเนียมปฏิบัติในแคว้นต้าโจว มังกรของฮ่องเต้จะมีห้าเล็บ ขององค์รัชทายาทจะมีสี่เล็บ หากเป็นองค์ชายจะมีเพียงสามเล็บเท่านั้น คนผู้นี้คงเป็นองค์ชายอย่างแน่นอน
หยานเสี่ยวตวนตกตะลึง เขายกนิ้วให้นาง เถ้าแก่เนี้ยถังยังคงเป็นผู้ที่รอบรู้เสมอ!
ถังหลี่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ นางเดินต่อไปจนกระทั่งพบกับประตูทางเข้าของกั๋วจื่อเจี้ยน
ประตูทางเข้ามีขนาดใหญ่มากและมีบทความและบทกวีมากมายเขียนไว้ลงบนกระดานทั้งสองข้าง ทุกชิ้นล้วนเป็นผลงานของศิษย์ในสำนักทั้งสิ้น
ตอนนี้พวกเขายังไม่เลิกเรียน ถังหลี่จึงได้พาซานเป่ามารอที่ด้านนอก
หยานเสี่ยวตวนส่ายหัวในยามที่มองบทความและบทกวีชิ้นเอกเหล่านั้น หลังจากมองสักพักเขาก็มึนหัวมากแล้ว เขาชื่นชมเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ย น้องชายทั้งสองคนผู้นี้สามารถอยู่กับตัวหนังสือได้ทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่นึกเบื่อหน่าย
….
ภายในสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน
หลังจากที่เลิกเรียน บรรดาศิษย์ทั้งหลายกำลังเก็บข้าวของออกจากสำนักทีละคนเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน
ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น มีร่างเพรียวสูงโดดเด่นอยู่สองคน พวกเขาเป็นเด็กหนุ่มมีท่าทางเป็นผู้รอบรู้ งดงามราวกับไข่มุกที่เป็นประกายแวววาว
ราชวงศ์ต้าโจวเปิดกว้าง ทำให้มีศิษย์สตรีจำนวนมากในกั๋วจื่อเจี้ยน
ศิษย์สตรีและศิษย์บุรุษต่างสวมชุดเครื่องแบบเหมือนกัน พวกเขาสวมเสื้อผ้าและหมวกของบัณฑิต
สายตาของศิษย์หญิงหลายคนจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มทั้งสอง มีศิษย์หญิงผู้หนึ่งท่าทางกล้าหาญ นางเดินไปขวางทางเด็กหนุ่มสองคนเอาไว้
“เว่ยจื่ออั๋ง ข้าลองเขียนบทกวีมา ท่านจะช่วยดูและติชมให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อยื่นซองจดหมายให้กับเขา