บทที่ 567 หลบหนี
ถังหลี่กลับไปที่ห้องนอน เปิดลิ้นชักออกมา ในนั้นมีจดหมายที่สามีของนางส่งมาให้หลังจากที่ไปถึงมณฑลวั่งเซี่ยน จดหมายจึงได้ถูกส่งมาเมื่อคืนนี้ ถังหลี่อ่านมานับครั้งไม่ถ้วน
หญิงสาวหยิบจดหมายออกมา นั่งบนเก้าอี้เริ่มอ่านอีกครั้ง จดหมายฉบับนี้ไม่ยาวนัก นางอ่านมันทีละคำ ในจดหมายไม่ได้กล่าวอะไรถึงคดีที่เกิดขึ้น แต่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันมากกว่า และกล่าวถึงสภาพท้องถิ่นและประเพณีบางอย่างในมณฑลวั่งเซี่ยนเท่านั้น หากเพียงอ่านเนื้อหาของจดหมาย ใครๆ ก็คิดว่าเว่ยฉิงไปเพียงเยี่ยมชมมณฑลวั่งเซี่ยนเท่านั้น แต่สายตาของถังหลี่ตกอยู่ที่คำว่า ‘อ้านฮ่าว’[1]
ดียิ่งนัก!
หวังว่าการเดินทางของเขาจะปลอดภัยและกลับมาในไม่ช้า หญิงสาวลูบที่หน้าท้องกลมๆ ของนาง ตอนนี้ถังหลี่และลูกคิดถึงเว่ยฉิงทั้งคู่
…..
สวี่เจียวมาถึงที่อยู่ที่สามีนางให้มา มันเป็นบ้านหลังเล็กๆ ท่ามกลางกลุ่มบ้านที่แน่นขนัด ห่างไกลเล็กน้อยและไร้ผู้คน ประตูบ้านถูกลงกลอนเอาไว้ นางขุดที่ต้นไม้เอากุญแจออกมาจากโคนต้น หญิงสาวใช้กุญแจเปิดประตู
เมื่อมองจากภายนอก บ้านหลังนี้ดูธรรมดาแต่ด้านในไม่เหมือนใคร มีสนามหญ้าใหญ่โต และมีต้นหอมหมื่นลี้กลิ่นหอมเย้ายวนปลูกไว้ในสวนเป็นร่มเงา
สวี่เจียวเดินไปที่ต้นไม้ใช้มือลูบไล้ลำต้นของต้นหอมหมื่นลี้ นางจำได้ว่าตอนที่อยู่ในสำนักศึกษามีต้นหอมหมื่นลี้ปลูกอยู่ ที่ใต้ต้นไม้ต้นนั้นนางและสามีได้พบกันครั้งแรก
วันนั้นเป็นฤดูร้อน อากาศร้อนมากจนทำให้นางเข้าไปนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นหอมหมื่นลี้ เพลิดเพลินกับความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ หญิงสาวอ่านตำราอยู่สักพัก จากนั้นจึงได้หันไปเจอกับชายหนุ่มรูปงามหน้าตาสดใสกำลังเดินเข้ามา เขาสวมชุดสีขาวงดงามเหมือนภาพวาด สวี่เจียวตกตะลึงไปในทันที
สวี่เจียวเดินสำรวจบ้านหลังเล็กๆ นี้ แม้จะเป็นบ้านหลังเล็ก ทว่ามีเครื่องเรือนครบครัน มีบ่อน้ำในสวนที่สามารถตักน้ำมาทำความสะอาดได้
หลังจากที่ทำความสะอาดไป บ้านรกร้างก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
หลังจากสวี่เจียวทำความสะอาดเสร็จนางนั่งอยู่ใต้ต้นหอมหมื่นลี้ที่มีกลิ่นหอมหวานอย่างเหม่อลอย นางไม่รู้ว่าสามีจะมาหาเมื่อไหร่ สวี่เจียวอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ทำอาหารและทำงานบ้านทุกวัน
ในวันที่สามสามีของนางก็มาหา เสิ่นชิงหลิวสวมเสื้อผ้าธรรมดา สวมหมวกฟางอยู่บนหัว ใส่บางอย่างยัดเข้าไปในเสื้อผ้าทำให้ลำตัวดูพองออกมา ท่าทางเขาดูเหมือนชาวนาทั่วไป เขาเปิดประตูเข้ามาถอดหมวกออกเผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลา
สวี่เจียวที่กำลังกวาดลานบ้านมองเขาอย่างตกตะลึง
ผู้ชายที่นางเห็นในเสี่ยวหงโหลวดูแปลกตา แต่เสิ่นชิงหลิวในวันนี้เหมือนกับนางได้พบกับสามีคนเดิมของนางอีกครั้ง เขาเดินเข้ามาหาหยิบไม้กวาดไปจากมือของภรรยา
“ข้ากวาดเอง”
สวี่เจียวกลับมาได้สติอีกครั้ง
“ใกล้เที่ยงแล้ว ข้าจะไปทำอาหารให้เอาหมูเปรี้ยวหวานที่เจ้าชอบดีไหม”
“อืม” มุมปากของเสิ่นชิงหลิวโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
สวี่เจียววิ่งเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหาร ตอนเที่ยงวันนั้นพวกเขานั่งกินอาหารด้วยกัน เสิ่นชิงหลิวกินอาหารด้วยท่าทางสุภาพ จู่ๆ สวี่เจียวก็รู้สึกแสบจมูกในตอนที่ถือชามข้าว นานเพียงใดแล้วที่พวกเขาไม่ได้กินข้าวร่วมกัน
เสิ่นชิงหลิวหลุบสายตาลง เบ้าตาเป็นสีแดงระเรื่อ หลังจากที่กินอาหารเสร็จแล้วเขาเก็บชามนำมันไปล้าง สวี่เจียวนั่งอยู่ที่ใต้ต้นหอมหมื่นลี้ นางเงยหน้าขึ้นเห็นดอกหอมหมื่นลี้กำลังจะบาน เมื่อดอกไม้บานทั่วทั้งลานบ้านแห่งนี้คงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมตลบอบอวล
หลังจากที่เสิ่นชิงหลิวล้างจานเสร็จ เขานั่งลงข้างๆ ภรรยาจับศีรษะของนางพิงลงบนไหล่ของเขา ทั้งสองคนนั่งเงียบๆอยู่เช่นนั้น ตอนนี้หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าตัวเองฝันไป เป็นความฝันที่งดงามเหลือเกิน นางไม่อยากคิดด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้น ได้แต่อยากหยุดเวลาเอาไว้แค่ตอนนี้
“เจียวเจียว เจ้ามาเมืองหลวงได้อย่างไร สามปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่ดีนัก…สามี… ข้าไม่สบายใจตอนที่ท่านไม่อยู่ ข้ารอเจ้าที่บ้านอยู่ถึงสองปี รอท่านกลับมา แต่ละวันล้วนผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย จากนั้นข้าจึงมาเมืองหลวงตามหาท่าน ข้าเกือบตายด้วยฝีมือของพวกอันธพาลในเมืองหลวง แต่ว่าฮูหยินอู่แห่งจวนอู่โหวช่วยข้าไว้”
“ฮูหยินอู่…”
สวี่เจียวเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาทนไม่ได้จนต้องกระชับโอบกอดนางเอาไว้ เจียวเจียวของเขาต้องทนทุกข์ทรมานมาก
“ไม่เป็นไร สามี…ตอนนี้ข้าได้พบท่านแล้วทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยดี”
สวี่เจียวยิ้มอย่างร่าเริงนางเริ่มวางแผนในหัว
“สามี บ้านหลังนี้ไม่เลวเลย ท่านนั่งตรงนี้และดีดพิณได้ ข้าร่ายรำตรงนั้น ตรงนั้นข้าคิดว่าเราควรปลูกต้นไม้ เรามาปลูกต้นท้อกันไหม ท่านชอบผลท้อมาก แล้วเราก็ทำชิงช้าได้ ส่วนข้างๆ ก็ปลูกดอกไม้”
หัวใจของเสิ่นชิงหลิวเต้นแรงกระหน่ำจินตนาการช่างสวยงามยิ่งนัก…
“สามี…พวกเราออกจากเมืองหลวงกันเถอะ?” จู่ๆ สวี่เจียวก็เงยหน้าขึ้น มองเขา ออกจากเมืองหลวง…เป็นความล่อใจที่ยิ่งใหญ่ จะทำให้พวกเขาได้ครองคู่อยู่ด้วยกัน
หัวใจของเสิ่นชิงหลิวเต้นแรงขึ้นทุกที แต่เมื่อคิดถึงบางอย่างได้ ธารน้ำแข็งเย็นเยียบก็ไหลอาบหัวใจของเขาอีกครั้ง ทำให้เขาเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
“เจียวเจียวเจ้าไปเถอะ” เสิ่นชิงหลิวพูดขึ้นอย่างตัดใจ
“องค์หญิงผู้ชั่วร้ายผู้นั้นใช้ข้าขู่เจ้าหรือ?” สวี่เจียวถาม
“เจียวเจียวไม่…” เสิ่นชิงหลิวรีบพูดทันที เขาไม่อยากให้ภรรยาของเขาโทษตนเองในตอนนี้
“สามี..ข้าคิดในมุมของเจ้าว่า เหตุใดเจ้าถึงยอมทนแบบนี้ พ่อแม่ของเจ้าเองก็จากไปแล้ว จุดอ่อนของเจ้ามีเพียงข้าเท่านั้น” สวี่เจียวเข้าใจดี ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดง น้ำตาไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้ สามีของนางต้องทนแบกรับความอดสูเช่นนี้เพราะเห็นแก่นาง
เมื่อคิดแบบนั้นหัวใจของนางก็ปวดร้าว เสิ่นชิงหลิวถอนหายใจเบาๆ นางรู้จักเขาดีเกินไป…เขาปิดบังโกหกภรรยาไม่ได้เลย
“สามี ออกจากเมืองหลวงกันเถอะ…นะ” สวี่เจียวพูดชวนขึ้นอีกครั้ง เสิ่นชิงหลิวลังเล
“สามี ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไรแต่ข้าจะยอมสู้เพื่อความหวังที่ริบหรี่ดีกว่าจมปลักอยู่เช่นนี้ ถ้าแพ้เราจะตายด้วยกัน”น้ำเสียงที่หนักแน่น แววตาเด็ดเดี่ยว จริงจังของภรรยาทำให้เขาลังเล หรือว่าอาจจะมีโอกาสสำหรับพวกเขาจริงๆ
ไม่ใช่ว่าตลอดเวลาหลายปีมานี่เขาไม่ทำอะไรเลย บางทีเขาอาจจะ…
“ตกลง” เสิ่นชิงหลิวกล่าว ดวงตาของสวี่เจียวสว่างวาบทันที
“เจียวเจียว เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะพาเจ้าหนีออกไปหลังจากที่จัดการอะไรเรียบร้อยแล้ว” เสิ่นชิงหลิวกล่าว
เสิ่นชิงหลิวกลับไปที่วัง กลายเป็นคุณชายลิ่วเยว่อีกครั้ง เขาสวมชุดสีขาว รวบผมเอาไว้ สีหน้าของเปลี่ยนเป็นเย็นชาเฉยเมย มีความประหม่าบนใบหน้าเจือปนอยู่ เมื่อถูกเรียกตัวออกไปที่ห้องบรรทมขององค์หญิงใหญ่ เขายังได้ยินเสียงคนด้านในคุยกันอยู่ จึงรออยู่ที่ด้านนอก
“อู่อวี้รู้อะไรไหม?”
“…จัดการเรียบร้อยแล้วพะย่ะค่ะ ทรงเบาพระทัยได้”
เสิ่นชิงหลิวทำท่าไม่ใส่ใจ แต่คำที่ได้ยินนั่น…อู่อวี้…ฮูหยินอู่… เขาก้มหัวลง ไม่นานนักประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า เมื่อองค์หญิงใหญ่เห็นเขานางรีบจูงมือเขาเข้าไปในห้องทันที ในตอนนั้นเองเสิ่นชิงหลิวได้วางแผนลอบออกจากเมืองหลวงด้วยบัตรผ่านปลอมสองใบและหารถม้าไว้แล้ว ตราบใดที่องค์หญิงใหญ่ไม่อยู่ในวัง เขาจะแอบปลอมตัวออกไปพร้อมกับเจียวเจียว
ในพริบตานั้น เทศกาลไหว้พระจันทร์ก็ใกล้เข้ามาถึง องค์หญิงใหญ่จะต้องไปที่วังหลวงเพื่อเฉลิมฉลองอย่างแน่นอน แผนของเสิ่นชิงหลิวถูกวางไว้แบบนี้
เสิ่นชิงหลิวบอกสวี่เจียวถึงแผนของเขา สามีภรรยาเฝ้ารออย่างใจจดจ่อ
พริบตาเดียวก็ถึงวันที่สิบสี่ องค์หญิงใหญ่เสวยพระกระยาหารค่ำร่วมกับคุณชายลิ่วเยว่ นางทอดพระเนตรไปที่ใบหน้าเย็นชาของเขา
“พ่อครัวที่ทำอาหารในวันนี้มาจากมณฑลชิงเหอ เป็นอาหารพื้นเมืองของชิงเหอด้วยเจ้าชอบหรือไม่?” ลิ่วเยว่พยักหน้า
องค์หญิงใหญ่เชิดพระหนุขึ้น “แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ไม่ยิ้มเลย” นางยื่นหัตถ์มาเชยคางลิ่วเยว่ขึ้น
“ยิ้มสิ”
ลิ่วเยว่ฝืนยิ้มออกมาอย่างเชื่อฟัง แต่รอยยิ้มของเขาดูแข็งทื่อไม่เป็นธรรมชาติมองแล้วให้ความรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ
“เจ้าอยากกลับไปที่ชิงเหอหรือไม่” องค์หญิงใหญ่ตรัสถามขึ้น
ในตอนนั้นเองที่เขาคิดว่าองค์หญิงใหญ่ค้นพบบางอย่างเข้าให้แล้ว เขารู้สึกว่ากำลังตกลงไปใต้ธารน้ำแข็งร่างกายของเขาหนาวเหน็บ แข็งทื่อ ความคิดสับสนวุ่นวาย
“หากมีเวลาว่าง ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่ชิงเหอ” ลิ่วเยว่มองไปที่นาง แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“องค์หญิงจะพากระหม่อมไปที่ชิงเหอหรือพะย่ะค่ะ”
“ใช่ เจ้ามีความสุขไหม?” ลิ่วเยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“กระหม่อมมีความสุข” ลิ่วเยว่กล่าวพร้อมกับผุดยิ้มที่งดงามออกมา ในที่สุดนางรับรู้ว่าได้รับความโปรดปรานจากหนุ่มรูปงาม นางเองก็มีความสุขเช่นกัน
“ข้าต้องเข้าวังหลวง พรุ่งนี้คงอยู่ร่วมงานเทศกาลไหว้พระจันทร์กับเจ้าไม่ได้” องค์หญิงใหญ่ตรัสพลางขยี้ศีรษะเขา
ลิ่วเยว่ไม่พูดอะไร เขาก้มหน้ากินอาหาร
หลังจากมื้อค่ำจบลงนางก็เข้าไปที่วังหลวง ลิ่วเยว่รออยู่สักพัก องค์หญิงใหญ่จะอยู่ในวังหลวงจนถึงวันที่สิบหก ภายในหนึ่งวันสองคืนนี้เขาและเจียวเจียวจะมีโอกาสที่จะหลบหนีได้
เมื่อได้คำนวณเวลาดู ป่านนี้องค์หญิงใหญ่น่าจะเสด็จถึงวังแล้ว เขาจึงปลอมตัวออกจากวังไปอย่างเงียบๆ
เมื่อรถม้าขององค์หญิงใหญ่มาถึงหน้าประตูพระราชวัง ด้วยลางสังหรณ์บางอย่างที่ผุดขึ้นมาพระนางรู้สึกไม่สบายพระทัย หลังจากหลับพระเนตรอยู่สักครู่ หวนคิดถึงยามที่นางไต่ถามเขาเรื่องเมืองชิงเหอ สีหน้าเขาแปลกออกไป นางขมวดพระขนงเอ่ยตรัสกับคนขับรถม้าว่า
“กลับไปที่วังข้า”
[1] ปลอดภัยดี