บทที่ 583 ชะตากรรมขององค์หญิงใหญ่
ท่ามกลางเพลิงพิโรธของฝ่าบาท องค์หญิงใหญ่ไม่หวั่นเกรงหรือแม้แต่หวาดกลัวพระราชอำนาจ พระนางไม่ยับยั้งความทะเยอะทะยานหรือแม้แต่ความละโมบ นางทรงเปลี่ยนไปเป็นองค์หญิงใหญ่ที่สง่างามและน่าเกรงขามอีกครั้ง แม้ฉลองพระองค์จะเรียบง่ายราวกับสามัญชนแต่กระนั้นก็ไม่อาจปิดยังความยโสที่มีแต่เดิมของพระนางลงได้
ทรงถอนพระปัสสาสะเบาๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้คิดไปไกลถึงเพียงนั้น หม่อมฉันใคร่จะรอจนกว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์ก่อน จากนั้นหม่อมฉันจะได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้หญิงองค์แรกในประวัติศาสตร์ของแคว้นต้าโจว แต่ทำไมท่านจึงได้เข้าไปตรวจสอบวั่งเซี่ยนซ้ำยังยื่นพระหัตถ์ไปจัดการกับกองกำลังทหารของหม่อมฉันด้วยเล่า?”
“พวกเรายังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันอีกหรือไม่?” ฮ่องเต้ชี้ไปที่องค์หญิงใหญ่ ทรงกริ้วจนหายใจหอบหนักราวกับจะขาดพระทัยไปเสียเดี๋ยวนั้น ในขณะที่คนอื่นกำลังตกตะลึงอยู่นั้น เต๋อชุนรีบหยิบยามาให้ฮ่องเต้เสวย พระองค์จึงได้มีพระอาการดีขึ้น
องค์หญิงใหญ่ทอดพระเนตรอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้ห้ามการทำของเต๋อชุนแต่อย่างใด
ฮ่องเต้ยังต้องชีวิตอยู่จึงจะมีประโยชน์ต่อนาง
“ฝ่าบาท ได้โปรดพระราชทานพระบรมราชโองการให้ข้า” องค์หญิงใหญ่ตรัสขึ้น
“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าอาศัยคนแค่ไม่กี่คนจะมาบังคับให้ข้าออกราชโองการแต่งตั้งเจ้าขึ้นครองบัลลังก์ได้”
“ฝ่าบาท ท่านคิดว่าข้ามีคนไม่กี่คนจริงๆ หรือ? ข้าทำงานหนักมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าส่งคนของข้ามากมายเข้ามาในวัง” องค์หญิงใหญ่แย้มสรวล
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่มอบความไว้วางพระราชหฤทัย”
“ข้ายังมีทหารรักษาพระองค์อยู่อีกเป็นหมื่น” ฮ่องเต้ตรัสขึ้น
“ตอนนี้ทหารม้าหมื่นนายที่ข้าได้เลี้ยงไว้ที่มณฑลวั่งเซี่ยน คงกำลังใกล้จะถึงแล้ว ฝ่าบาทคิดหรือว่าข้ามีทหารอยู่เพียงแค่สามหมื่นนายเท่านั้น ข้ายังมีกองทหารที่เลี้ยงไว้ที่อื่นอยู่อีก” องค์หญิงใหญ่ทรงรอการมาถึงของทหารม้าของพระองค์
ที่จริงแล้วการเดินทางมายังเมืองหลวงจะใช้เวลาเพียงแค่ห้าวันเท่านั้น แต่เนื่องจากต้องเดินทางอย่างลับๆ จึงใช้เวลานานมากขึ้น
“บริวารของเจ้าและผู้คนที่เคยสวามิภักดิ์ถูกกำจัดไปสิ้นแล้ว ไม่มีใครในราชสำนักจะสนับสนุนเจ้าอีก” องค์หญิงใหญ่หยุดชะงักไป แล้วทรงพระสรวลออกมา
“ขุนนางเหล่านั้นล้วนขี้ขลาด แค่ขู่ก็ยินยอมแล้ว”
“บรรดาแม่ทัพจะไม่ยอมจำนนแก่เจ้า!”
“ครอบครัวของพวกเขาล้วนอาศัยอยู่ในเมืองหลวงทั้งสิ้น พวกเขาล้วนอยู่ในกำมือของข้า” องค์หญิงใหญ่ใช้สายพระเนตรชำเลืองมองราวกับว่าตนเองจะชนะศึกในครั้งนี้
“ฝ่าบาทได้โปรดพระราชทานพระบรมราชโองการให้ข้าเถิด” องค์หญิงใหญ่ตรัสอีกครั้ง ฮ่องเต้แย้มสรวล
“จ้าวหยูหลาน เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่เขลาที่เจ้าจะหลอกเล่นได้หลายครั้งหรือ? ไม่คิดบ้างหรือว่าเหตุใดข้าถึงยอมให้เจ้าเข้าพบได้ง่ายๆ ยอมตามใจเจ้ามาที่ตำหนักเฉิงเย่กับเจ้าอย่างไม่คิดระแวงสงสัย?”
พระพักตร์ขององค์หญิงถอดสีเปลี่ยนไปในพริบตา
พระนางกวาดสายตามองไป ในบรรดาผู้คนที่ได้แต่งกายเป็นทหารรักษาพระองค์เหล่านั้นกำลังหันมาสู้รบกันเอง องค์หญิงใหญ่กำพระหัตถ์แน่น ฮ่องเต้ทรงเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว
ทรงหมายถึงนางหรือ? องค์หญิงใหญ่หยิบมีดสั้นออกมาแทงไปที่ฮ่องเต้ หากตอนนี้จับพระองค์เป็นตัวประกันได้ก็ยังมีโอกาสที่จะเอาชนะได้ ในตอนนั้นเองที่ประตูของตำหนักถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน ผู้ที่เข้ามาคือเว่ยฉิง เมื่อเห็นว่าองค์หญิงใหญ่กำลังจะแทงฝ่าบาท เว่ยฉิงรีบเข้ามาสกัด เขาเตะเข้าที่มีดสั้นในพระหัตถ์จนหลุดกระเด็นออกไป จากนั้นจึงได้ถลันมายืนที่เบื้องหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูล ขอพระราชทานอภัยที่กระหม่อมมาช้าเกินไปพะย่ะค่ะ”
ภรรยาของเขาฝัน นางบอกเขาว่าองค์หญิงใหญ่จะก่อกบฏ เว่ยฉิงคิดคำณวนถึงข้อดีและข้อเสีย การกบฏขององค์หญิงใหญ่มีโอกาสน้อยมากที่จะประสบความสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงใหญ่บังคับขูดรีดภาษีของราษฎรให้จ่ายเงินจำนวนมากให้กับความทะเยอทะยานของนางเอง โดยไม่สนพระทัยในความเป็นความตายของราษฎรเลย คนเช่นนี้ไม่สมควรเข้ามามีอำนาจ อีกทั้งการที่องค์หญิงใหญ่กบฏจะก่อความเสียหายให้แก่ฮ่องเต้
หลังจากได้ชั่งน้ำหนักดีแล้ว เว่ยฉิงจึงได้ตัดสินใจเข้ามาในวังหลวงเพื่อคุ้มกันฮ่องเต้ ข้ออ้างของเขาก็มีเพียงว่าเขามีเรื่องที่จะกราบทูลถวายรายงาน ต่อเมื่อได้ยินว่าฝ่าบาทเสด็จมายังพระตำหนักฉางเย่แล้ว เขาจึงได้รีบตามมา เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามาจึงได้เห็นว่า ตนเองได้วิเคราะห์สถานการณ์ได้ถูกต้องแล้ว ฝ่าบาททรงได้เปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้
ต่อให้เขาไม่ได้เข้าสกัดองค์หญิงใหญ่แต่ฝ่าบาทก็ยังทรงหลบหนีออกไปได้ เพราะเต๋อชุนจะต้องต่อสู้ช่วยเหลือฝ่าบาทจนตัวตายเพื่อปกป้องพระองค์ การเข้าไปเตะสกัดมีดออกจากองค์หญิงใหญ่มีแต่จะทำให้ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระราชหฤทัยแก่เขามากขึ้น
เมื่อมีเว่ยฉิงเข้าช่วยเหลือ บริวารขององค์หญิงจึงได้พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว หลายคนถูกฆ่าตาย องค์หญิงใหญ่ประทับพิงเสา พระวรกายอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง สีพระพักตร์ซีดหมอง ฮ่องเต้ทอดสายพระเนตรเย็นชาไปที่นาง องค์หญิงใหญ่ทรงพระสรวลออกมา
“จะไม่ทรงเอ่ยถึงความพ่ายแพ้ของหม่อมฉันหรือ?”
“ข้าทำไม่ดีกับเจ้าหรือ?” ฮ่องเต้ตรัสถาม เขาไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงต้องก่อกบฏ!
“ทั้งฮองเฮา องค์ชายรัชทายาทหรือแม้กระทั่งไทเฮา พวกเขาล้วนดีต่อท่าน แล้วสุดท้ายลงเอยเช่นใด?” ฮ่องเต้ไม่ตอบ
“ฝ่าบาทคิดว่าพวกเขากำลังวางแผนบางอย่างลับหลังพระองค์ แม้แต่หลักฐานก็ไม่มี ท่านเพียงแค่ระแวงสงสัยเท่านั้น แต่เพราะความระแวงสงสัยของท่าน ถึงกับทำให้ท่านฆ่าผู้คนไปมากมาย วันนี้ท่านยังทำกับพวกเขาได้ วันหน้าท่านย่อมทำกับข้าได้เช่นกัน!”
“ข้าไม่โง่เหมือนคนพวกนั้นหรอก รอคอยให้ท่านเชือดราวกับลูกแกะเช่นนั้น!”
“สกุลเซียว! สกุลเซียวยังจงรักภักดีกับท่านไม่เพียงพอหรือ? ท่านยังฆ่าพวกเขาได้ลงคอ!”
ในที่สุดฝ่าบาททรงตวาดใส่
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว! สกุลเซียวก่อกบฏมีหลักฐานแน่นหนา ไม่ใช่แค่ความระแวงสงสัยของข้า แต่เป็นข้อแก้ตัวของเจ้า!”
“ข้าตายแล้ว คงเหลือแต่เจ้าเท่านั้นที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว!” องค์หญิงใหญ่แย้มสรวลอีกครั้ง พระนางคว้ามีดสั้นที่ตกอยู่กับพื้นขึ้นมาแทงเข้าที่พระอุระของตนอย่างแรง!
รูม่านตาของฮ่องเต้หดลงเพียงชั่วครู่ จากนั้นจึงได้กลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขาเฝ้ามองดูอย่างเฉยเมย ในขณะที่องค์หญิงใหญ่ค่อยๆ ล้มลงกับพื้นสิ้นลมหายใจ
เว่ยฉิงหลุบตาลงต่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินการสนทนาเรื่องนี้ของฮ่องเต้และองค์หญิงใหญ่ หากก่อนหน้าเป็นเพียงแค่การคาดเดาของเขา แต่ตอนนี้ย่อมพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริง
เรื่องของสกุลเซียวเกิดจากพระทัยที่หวาดระแวงของฮ่องเต้จริงๆ เป็นเรื่องยากเพียงใดที่จะได้สะสางความคับแค้นใจในครั้งนี้ของสกุลเซียว
“ใต้เท้าอู่” เว่ยฉิงได้สติ
“ฝ่าบาท” เขาพูดอย่างนอบน้อม
“ท่านได้กระทำหน้าที่ปกป้องข้าได้ดีมาก ข้าจะให้รางวัลแก่เจ้า แต่เรื่องไร้สาระที่จ้าวหยู่หลานพูด..”
“กระหม่อมไม่เชื่อพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ผงกพระเศียร
“เรากลับกันก่อนเถอะ หากมีเรื่องจะถวายรายงานข้าก็เอาไว้วันหลังเถอะ ข้ารู้สึกเพลียแล้ว”
“พะย่ะค่ะ” เว่ยฉิงก้าวถอยหลัง
เว่ยฉิงกลับมายังจวนอู่โหว หลังจากเข้าไปในห้องนอน ถังหลี่พบว่าเขาดูผิดปกติไป
เว่ยฉิงถอดเสื้อคลุมออก เดินเข้ากอดภรรยา เอาใบหน้าซุกแนบที่คอของนาง เขาสูดลมหายใจเอากลิ่นกายที่คุ้นเคยของนางเข้าไปอย่างช้าๆ
ถังหลี่ตบหลังเขาเบาๆ
“ภรรยา” น้ำเสียงของเว่ยฉิงแหบแห้ง “องค์หญิงใหญ่ก่อกบฏล้มเหลว นางฆ่าตัวตาย” นั่นเป็นสิ่งที่ถังหลี่คาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว
“องค์หญิงใหญ่ตรัสบางอย่างก่อนนางจะสิ้นใจ ฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องของสกุลเซียวจริงๆ”
ถังหลี่ลอบถอนหายใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่สามีของนางจะรู้สึกเศร้าโศก บิดาฆ่ามารดาและท่านตาของเขา แม้นางจะเดาออกนานแล้ว แต่พอรับรู้ว่าเป็นเรื่องจริงก็ยังอดสลดหดหู่ไม่ได้
“เป็นการยากที่จะล้างแค้นให้สกุลเซียวแล้ว” เว่ยฉิงเอ่ยอย่างทุกข์ใจ
ภายนอกเขาดูแข็งแกร่ง แต่เขาจะแสดงด้านที่อ่อนแอออกมาให้ภรรยาของเขาเห็นเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ไม่มีอะไรยากเกินไปในโลกใบนี้”
“ทุกอย่างย่อมมีหนทางอยู่เสอ” ถังหลี่ปลอบโยนเขา
“ใช่มันต้องมีหนทาง”
“สามีข้าจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม”
เว่ยฉิงรู้สึกอบอุ่นและมีพลังขึ้นทันที เป็นอีกครั้งที่เขาต้องคร่ำครวญว่าเขาสะสมบุญมามากมายจึงทำให้เขาได้ภรรยาที่ดีเช่นนี้มาอยู่เคียงข้างเขา
“ภรรยา เจ้าดีกับข้ามากเหลือเกิน” เว่ยฉิงปล่อยมือ เขาพูดขึ้นมาในขณะที่มองใบหน้าเล็กๆ ของนาง ถังหลี่จุมพิตเขาที่แก้ม “ยิ้มหน่อย”
เว่ยฉิงยิ้ม เป็นยิ้มที่มาจากใจจริงของเขา
…….
ทหารม้าหมื่นนายขององค์หญิงใหญ่โดนสกัดเอาไว้ก่อนจะถึงเมืองหลวง
ฮ่องเต้ทรงปกปิดความจริงที่ว่าองค์หญิงใหญ่ก่อกบฏ ภายนอกล้วนแต่รับรู้ว่าพระนางทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน แต่หลายคนในวังหลวงก็ยังรู้ได้ถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระสนมหวังกุ้ยเฟยหรือแม้แต่พระสนมเหลียงเองก็ตามที พระสนมหวังรู้ จ้าวชูและจินเซ่อก็ต้องรับรู้เช่นกัน
“องค์หญิงใหญ่ช่างกล้าที่จะก่อกบฏ” จ้าวชูเอ่ยว่า หากเขาล่วงรู้เช่นนี้ เขาคงไม่กล้าที่จะให้ความสนิทสนมกับองค์หญิงใหญ่มากนัก ไม่รู้ว่าพระบิดาจะคิดแค้นพระทัยเขาไปด้วยหรือไม่?
จ้าวชูมองจินเซ่อ
“เหตุใดเทพเซียนจึงไม่บอกเจ้าถึงเรื่องนี้ล่วงหน้า?” ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะได้เข้าไปช่วยเสด็จพ่อ ท่านจะได้ไม่ระแวงแคลงพระทัยในตัวเขา
จ้าวชูทั้งเสียใจและไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่พอใจทั้งจินเซ่อและเทพเซียนองค์นั้น จินเซ่อรับรู้ได้ว่าจำนวนครั้งที่เทพเซียนได้ปรากฏขึ้นน้อยลงทุกที ดูเหมือนเขาจะอ่อนแอลงมาก เรื่องนี้ทำให้จินเซ่อรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แต่นางไม่อยากให้จ้าวชูได้รู้เรื่องนี้
“เทพเซียนทำนายเหตุการณ์ในแต่ละครั้งจำต้องใช้พลังเป็นอย่างมาก จึงไม่อาจจะทำนายได้ทุกครั้งเพคะ” จินเซ่อกล่าว จ้าวชูพยักหน้าไม่พูดตอบ การล่มสลายขององค์หญิงใหญ่ไม่ได้ทำให้เกิดผลเสียกับเขา ส่วนตำแหน่งขุนนางที่ว่างลงไป เขาสามารถที่จะใส่คนของตนเองลงไปได้
วังหลวง
ตำหนักพุทธาวาส
หลังจากองค์หญิงใหญ่ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยโรคร้ายอย่างกะทันหัน ฮ่องเต้เสด็จพระราชดำเนินมาสนทนากับไทเฮา
ไทเฮาทอดพระเนตรไปที่ฮ่องเต้อย่างโง่เขลา ไม่ตรัสอะไรแม้แต่คำเดียว ดูเหมือนฝ่าบาทจะไม่ใส่พระทัย เสด็จจากไปหลังจากได้สนทนากับพระนางแล้ว ทันทีที่พระองค์จากไปแล้ว สีพระพักตร์ของไทเฮาก็กระจ่างใสขึ้น เดิมทีมีข้าราชบริพารขององค์หญิงใหญ่อยู่ตำหนักพุทธวาสแห่งนี้ด้วย ต่อเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ไปคนเหล่านั้นจึงได้ถูกกำจัดออกไปด้วยเช่นกัน ส่งผลทำให้ไทเฮาทรงมีอิสระมากขึ้นกว่าเดิม
“ข้าไม่อยากเห็นหน้าเขาเลย เขามาหาข้าเกือบทุกวัน” ไทเฮาทรงพึมพำเบาๆ
แม่นมฉู่เกลี้ยกล่อมพระนางด้วยรอยยิ้ม “ไทเฮาทรงอดทนหน่อยนะเพคะ ทุกครั้งท่านเสด็จมาจะนำขนมอร่อยๆมาถวายให้ด้วยนะเพคะ”
“คนที่ข้าอยากเห็นข้าก็ไม่ได้เห็นอีกแล้ว แต่คนที่ข้าไม่อยากเห็นก็มาเสนอหน้าให้ข้าเห็นแทบทุกวัน น่ารำคาญเสียจริง” ว่าแล้วไทเฮาก็กระซิบว่า
“เมื่อคืนข้าฝันถึงอาฉิงด้วย อาฉิงโตแล้ว ตัวสูงใหญ่ พอตื่นมาข้ายังอดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นความฝันหรือความจริงกันแน่?” แม่นมฉู่รู้ดีว่าพระองค์ทรงห่วงใยคนผู้นั้นเป็นที่สุด นางได้แต่หวังว่าความฝันของพระนางจะเป็นจริงเข้าสักวัน น่าเสียดายที่เขาอาจจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ไทเฮาคงไม่ได้เจอเขาอีกต่อไป