บทที่ 585 เว่ยชิงเข้าเฝ้าไทเฮา
เว่ยฉิงจดจำแผนที่พระราชวังไว้ในใจ เขาซักซ้อมการเดินทางจากโถงงานเลี้ยงไปยังพระตำหนักพุทธสวาสอยู่ในใจหลายสิบครั้ง ไปทางไหน เลี้ยวตรงไหน จะหลีกเลี่ยงการลาดตระเวนของทหารยามได้อย่างไร เขาจำได้แม่นทุกขั้นตอน
เว่ยฉิงเคลื่อนกายจากโถงจัดเลี้ยงมายังพระตำหนักของไทเฮาได้อย่างไม่ได้รับอันตรายใดๆ เขาเดินไปที่ประตู เคาะประตูเบาๆ ผู้ที่มาเปิดประตูเป็นแม่นมฉู่ นางระแวดระวังเมื่อเห็นเว่ยฉิง
“ท่านเป็นใคร?”
“แม่นมฉู่ ข้าได้รับจดหมายจากท่านว่าองค์ไทเฮามีพระอาการประสาทหลอนอีกหรือ? ขอให้ข้าดูหน่อยเถอะ” เว่ยฉิงลดเสียงลงต่ำ
แม่นมฉู่เพ่งมองดูเขาอย่างแน่วแน่ เขาคือ..บุรุษที่คอยแอบช่วยเหลือไทเฮา?
“ไทเฮายังไม่บรรทม พระนางทรงสวดมนต์และอธิษฐานขอพรอยู่”
พระนางสวดมนต์อธิษฐานขอพรให้พระนัดดาของพระองค์ด้วยความเชื่อที่ว่า พระนัดดายังมีชีวิตอยู่ กลางคืนพระนางบรรทมไม่หลับจึงได้สวดมนตร์ขอให้พระนัดดาทรงปลอดภัย แคล้วคลาดจากภยันอันตราย เป็นเพราะสาเหตุนี้จึงทำให้แม่นมฉู่มีความคิดว่าพระอาการของไทเฮาทรงเสื่อมถอยลงไปอีก นางเป็นกังวลมาก โชคดีเหลือเกินที่ได้ขุนนางผู้นี้มาดูแลพระนาง
แม่นมฉู่นำเว่ยฉิงเข้าไปในโถงสวดมนต์ เมื่อเห็นพระวรกายผอมซูบที่ประทับนั่งอยู่บนพรมถือสายประคำไว้ในพระหัตถ์ ท่องบทสวดมนต์ด้วยพระสุรเสียงที่แผ่วเบา เว่ยฉิงมองไปยังร่างนั้นอย่างแน่วแน่
ในงานเลี้ยงฉลองคล้ายวันพระราชสมภพที่ผ่านมา เขารีบร้อนไม่ทันได้ดูพระนางให้เต็มตา ในวันนี้เมื่อเห็นพระนางอย่างใกล้ชิดแล้วเขาจึงได้ตระหนักว่า องค์ไทเฮาได้ดูเปลี่ยนไปจากความทรงจำในหัวใจของเขาไปมากเหลือเกิน ยี่สิบปีก่อนหน้า ไทเฮายังมีพระชนมายุน้อยกว่านี้ พระนางทรงสง่างามเปี่ยมไปด้วยพระสิริโฉม ทว่ามาบัดนี้ไทเฮาได้ทรงชราภาพลงมาก พระเกศาเปลี่ยนเป็นสีขาว และทรงมีริ้วรอยบนใบหน้า
เขาโตแล้ว องค์ไทเฮาก็ทรงชราลงเช่นกัน
เมื่อเห็นพระนางอย่างชัดเต็มสองลูกตา เว่ยฉิงรู้สึกฝาดเฝื่อนอยู่ในใจ
“ไทเฮาเพคะ” แม่นมฉู่เรียก ไทเฮาทรงลืมพระเนตรขึ้น เมื่อพระนางเห็นเว่ยฉิง ทรงมีพระอาการตกตะลึง พระวรกายแข็งค้างไปทันที
แม้เขาจะดูแตกต่างไปจากตอนที่ยังเป็นเด็กมากนัก แต่เมื่อได้ทอดพระเนตรเขาเพียงแค่ชั่วครู่ พระนางก็จำเขาได้ทันที
หลานชายของนางยังมีชีวิตอยู่? นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?
ความปีติยินดีพลุ่นพล่านขึ้นมา ทำให้พระวรกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
ไทเฮาทรงสูดลมหายใจเข้าลึก
“อาเยว่ เจ้าไปเฝ้าที่หน้าประตูเอาไว้ อย่าให้ผู้ใดเข้ามาได้”
แม่นมฉู่ตระหนักรู้ได้ว่าตัวตนของผู้ที่มานั้นไม่ง่ายนัก แต่คิดอย่างไรนางก็คงไม่รู้ได้ว่าเขาเป็นองค์ชายน้อยผู้นั้น
หลังจากได้คำสั่งนางจึงได้ถอยหลังออกจากห้องโถงสวดมนต์ไป ทิ้งสองคนไว้ในห้องนั้นตามลำพัง
ไทเฮาต้องการที่จะประทับยืน เว่ยฉิงจึงกรากเข้าไปช่วยพยุงนางบราวนี่ออนไลน์
“อา..ฉิง?” สุรเสียงสั่นเครือ พระเนตรเต็มไปด้วยพระอัสสุชล
“เสด็จย่า นี่หลานเอง” เว่ยฉิงเอ่ยเบาๆ
พระอัสสุชลร่วงหล่นเป็นสายอย่างห้ามไม่อยู่
“นี่ย่ากำลังฝันไปใช่หรือไม่? อาฉิง..อาฉิง…หลานย่า”
พระนางเอื้อมพระหัตถ์แตะท่อนแขนเว่ยฉิงอย่างไม่แน่พระทัย
“เสด็จย่า ไม่ใช่ความฝันเป็นข้า อาฉิงยังมีชีวิตอยู่” เว่ยฉิงพูด สายพระเนตรยังคงจับจ้องที่เขาอย่างแน่วแน่ พระนางดำเนินวนรอบกายเขาอีกครั้ง
นี่เป็นหลายชายของนางไม่ผิด เป็นหลานน้อยที่นางรักมากที่สุด เขาสูงใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว !
สายพระเนตรเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดีและประหลาดใจ
เว่ยฉิงประคองไทเฮาประทับนั่ง ส่วนตัวนอนหนุนพระเพลาของนางเสมือนตอนที่เขายังเป็นเด็กเล็กๆ ในคราวนั้น พระนางทรงใช้พระหัตถ์ลูบผมให้เว่ยฉิง
“อาฉิง เล่าให้ย่าฟังที ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าได้ประสบเรื่องราวเป็นมาอย่างไร?” ไทเฮาตรัสถาม เว่ยฉิงเล่าเรื่องที่เขาได้ประสบพบเจอในช่วงหลายปีที่ผ่านมาให้พระนางฟัง เขาหนีออกจากวังหลวงได้อย่างไร เขาโดนเว่ยเหล่าซานรับเลี้ยง เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านลี่เจียจนอายุได้สิบแปดปีเต็ม ได้พบกับภรรยาของเขา…เมื่อเอ่ยถึงภรรยา มุมปากเขาโค้งขึ้น น้ำเสียงเบาลง องค์ไทเฮาทรงสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระนัดดาของพระนางน่าจะพบเจอกับหญิงสาวที่เขาโปรดปรานรักใคร่ เขาเล่าให้ฟังว่าเขาซื้อตัวนางมาเช่นไรในตอนแรก เขาไม่ชอบที่นางดูอ่อนแอ เมื่อนึกถึงตนเองในตอนนั้นแล้วเว่ยฉิงอยากจะหวนกลับไปตบหน้าตนเองสักสองทีแล้วด่าจนเองว่า มีตาหามีแววไม่! พวกเขาช่วยกันเลี้ยงเด็กสามคนมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ดีขึ้นเรื่อยๆ วันเวลาผ่านไปด้วยดี…
ครอบครัวของเขาย้ายจากหมู่บ้านเล็กไปยังเมือง จากเมืองเข้าสู่มณฑล แล้วจึงย้ายมาปักหลักยังเมืองหลวงในที่สุด
“เสด็จย่า ตอนนี้ ข้าได้เป็นเจ้ากรมอาญาแล้ วทั้งสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งสอบผ่านเป็นจ้วงหยวน และปั๋งเหยี่ยน พวกเขาได้ทำงานอยู่ในสำนักฮั่นหลิน เมื่อไม่นานมานี้ภรรยาของข้าได้ให้กำเนิดทารกสองคนเป็นฝาแฝดหงส์และมังกร พวกเขาน่ารักมาก”
เขาอยากให้เสด็จย่ารู้ว่าเขาสบายดี และผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้ด้วยดี เมื่อพระนางได้ทรงรับฟัง พระนางโล่งพระทัยเป็นอย่างมาก พระนัดดาของนางเติบโตมาเป็นบุรุษสูงใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ ซ้ำเขายังให้กำเนิดเด็กแฝดอีก อาฉิงพูดว่าเด็กน้อยสองคนน่ารักเหมือนเขาเมื่อยามเด็กๆ หากฮองเฮายังอยู่ นางจะทรงปีติยินดีมากเพียงไหน สายพระเนตรของไทเฮาเคืองขุ่น พระนางตรัสคำว่า ‘ดี’ ออกมาถึงหลายครั้ง หากมีโอกาสนางอยากจะเจอตัวภรรยาของหลานชายที่เขายกย่องชื่นชมเป็นอย่างมากผู้นี้
หากหลานชายของนางไม่ได้ภรรยาผู้นี้แล้ว นางคงไม่ได้เห็นชีวิตที่ดีขึ้นของเป็นแน่ หลานสะใภ้ผู้นั้น เป็นดาวนำโชคของหลานชายของนาง
“อาฉิง…เจ้าเข้ามาในราชสำนักเพื่อสืบหาศัตรูที่ได้ร่วมมือกันทำร้ายสกุลเซียว…”
จู่ๆ ไทเฮาก็ทรงเจ็บพระเศียรขึ้นมาอย่างรุนแรง เศษเสี้ยวความทรงจำบางอย่างที่คลุมเครือค่อยๆ ปรากฏขึ้น แล้วประกอบขึ้นมาเป็นความทรงจำที่สมบูรณ์ พระนางทรงรำลึกได้ถึงความทรงจำที่หายไปในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา พระนางไม่เคยเชื่อว่าสกุลเซียวจะร่วมมือกับศัตรูทรยศขายชาติ พระนางจึงได้อ้อนวอนขอร้องให้ฮ่องเต้สอบสวนคดีนี้ใหม่อีกครั้ง
ทว่าฮ่องเต้ยังยืนกรานที่จะกำจัดสกุลเซียว องค์ไทเฮารู้สึกได้ว่าคดีนี้มีพิรุธ พระนางจึงได้แอบสืบอย่างลับๆ ต่อมาจึงได้พบหลักฐานบางอย่างที่พิสูจน์ได้ว่าสกุลเซียวถูกใส่ร้าย พระนางทรงยื่นหลักฐานต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ทรงขอให้เขาพิจารณาคดีขึ้นอีกครั้ง ต่อมาพระนางทรงมีอาการประชวรต้องเสวยยามากมาย จากนั้นจิตใจก็เริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อย้อนหวนคิดแล้ว พระนางทรงประหลาดพระทัยในช่วงหลายปีมานี้ ฮ่องเต้ทรงคุมขังพระนางเอาไว้ ให้องค์หญิงใหญ่หาคนมาคอยเฝ้าดูนางหรือจะเป็นเพราะ..
“เรื่องของสกุลเซียว เป็นฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงความจงรักภักดีของคนสกุลเซียว”
ไทเฮาทรงตกตะลึงนิ่งไป นี่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ นางไม่คิดเลยว่าเด็กน้อยที่นางได้ทรงชุบเลี้ยงดูขึ้นมาจะกลายเป็นคนที่มีจิตใจอำมหิตโหดร้ายไปได้ถึงเพียงนี้
เขาเป็นคนแปลกหน้าที่เหี้ยมเกรียมไปเช่นนี้ได้อย่างไร?
“อาฉิง…ไม่ว่าอย่างไร ย่าจะอยู่เคียงข้างเจ้า น่าเสียดายเหลือเกินที่ตอนนี้ย่ากลายเป็นคนไร้อำนาจไม่มีประโยชน์ไม่อาจช่วยเหลืออะไรเจ้าได้อีก” แม้พระนางจะยังทรงเป็นไทเฮา แต่พระนางก็สูญสิ้นพระราชอำนาจไปหมดแล้ว
“เสด็จย่า ท่านทรงดูแลสุขภาพของท่านให้ดี ถึงตอนนั้น หลานจะพาเด็กๆ มาหาท่าน ครอบครัวเราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง”
ที่นอกพระตำหนัก แม่นมฉู่มองเห็นร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นมาอย่างกะทันหัน สีหน้าของนางเปลี่ยนไป
“ฝ่าบาท..”
ฮ่องเต้ทรงหยุดการกระทำของนาง
“ไม่ต้องถวายความเคารพ ไม่ต้องรายงาน เสด็จแม่ยังอยู่ในโถงสวดมนต์หรือ? ไม่ต้องรบกวนนาง ข้าจะเข้าไปพบนางเอง” ฮ่องเต้ตรัสแล้วทรงผลักประตูตำนักหอพุทธาวาสเข้าไปเงียบๆ ภายใต้แสงจันทร์ใบหน้าของแม่นมฉู่ซีดเผือด