บทที่ 587 พี่ชายที่ดี
รถม้าจอดที่ประตูหอจื่ออวิ๋น ไป๋มู่หยางลงจากรถม้าแล้วเข้าไปในอาคาร เขาชนเข้ากับใครบางคนที่วิ่งสวนออกมาอย่างกะทันหัน ชายคนนั้นมองไป๋มู่หยางด้วยความเกลียดชัง จากนั้นจึงได้ทำเสียงดูถูกในลำคอ แล้วเดินจากไป ไป๋มู่หยางคิดว่าเขาดูคุ้นเคยเพียงแต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร
“นายท่าน คนผู้นั้นคือนายน้อยสามของสกุลจาง” เมื่อเห็นเขามองด้านหลังของชายผู้นั้นด้วยความสงสัย เถ้าแก่ของร้านจึงได้เดินมาบอก
นายน้อยสามสกุลจาง?
สกุลไป๋ กับสกุลจางมีอดีตร่วมกันมาอย่างยาวนาน สามสิบปีที่แล้ว สกุลจางและสกุลกัวเป็นสองตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยในเมืองหลวง ต่อมาบุตรสาวคนเดียวของสกุลกัวแต่งงานกับสกุลไป๋ ทำให้การค้าของสกุลไป๋มีความเจริญรุ่งเรืองจนห้แซงหน้าสกุลจางอย่างรวดเร็ว ต่อมาเมื่อไป๋มู่หยางประสบอุบัติเหตุ มารดาเลี้ยงและบุตรชายคือไป๋ซวี่หยางได้เข้ามาควบคุมกิจการ การค้าของสกุลไป๋จึงค่อยๆ ถดถอยลงกว่าสกุลจาง
แต่ตอนนี้ภายใต้การจัดการของไป๋มู่หยาง การค้าของสกุลไป๋จึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนทิ้งสกุลจางไว้เบื้องหลัง
ไปมู่หยางทำการค้ากับนายท่านจางซึ่งเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่หน้าตายิ้มแย้ม ไม่น่าแปลกใจที่ไป๋มู่หยางจะรู้สึกคุ้นเคยเพราะนายท่านสามผู้นี้ดูคล้ายนายท่านจางมาก
แต่นายท่านสามมาที่หอจื้ออวิ๋นด้วยเหตุใด? มาซื้อเสื้อผ้าหรือ?
“นายท่านสามสกุลจางมาหาแม่นางตันเหนียงขอรับ” ราวกับเดาได้ว่าไป๋มู่หยางคิดอะไร เถ้าแก่ร้านจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง ไป๋มู่หยางยังคงจับจ้องมองต่อ
“ไม่ต้องห่วงขอรับ แม่นางตันยังไม่เคยได้เจอกับนายท่านสามเลย” เถ้าแก่พูดประจบเอาใจ “แม้ว่าแม่นางตันตอบตกลง ข้าก็จะไม่ให้เขาได้เจอกับแม่นางตันได้ขอรับ” หลังจากพูดจบเขาก็มองไป๋มู่หยางราวกับอยากอวดว่าเขาทำได้ดีหรือไม่? ไป่มู่หยางหัวเราะ
“มีใครมาตามหาตันเหนียงอีกไหม?” ไป๋มู่หยางอดถามต่อไม่ได้
“ส่วนใหญ่แล้วแม่นางตันจะอยู่แต่ในหอไม่ค่อยจะได้ออกมา นางจะสวมผ้าคลุมหน้าตลอด มีแต่นายท่านสามจางเท่านั้นที่อยากจะขอพบนางแต่ฝ่ายเดียว เป็นเพราะฝีมือปักงานของแม่นางตันนั้นยอดเยี่ยมมาก จึงได้มีหญิงสาวหลายคนอยากจะแนะนำนางให้รู้จักกับบุตรชายบ้าง หรือน้องชายบ้าง” เถ้าแก่ร้านยังพูดเสริมขึ้นอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้นพวกผู้หญิงยังนำรูปเหมือนของลูกชายหรือน้องชายมาให้นางดูอีก แต่ไม่ต้องกังวลไปขอรับนายท่านไป๋ แม่นางตันปฏิเสธพวกเขาไปจนหมดทุกคน”
“ท่านก็รู้ดีว่าแม่นางตันเป็นคนเย็นชา มีเพียงผู้เดียวที่นางรู้สึกแตกต่างออกไป ..” เขาพูดแล้วขยิบตาให้นายท่านไป๋
ไป๋มู่หยาง “ …..”
เขารู้สึกว่าเถ้าแก่ช่างเปลี่ยนสีหน้าได้อย่างรวดเร็วกว่าทุกคนที่เขาเคยเห็นมา ไป๋มู่หยางพยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นจึงได้เดินขึ้นไปข้างบน ตันเหนียงกำลังตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู นางอดประหม่าไม่ได้ ผู้ที่จะขึ้นมายังชั้นบนของร้านได้หากไม่ใช่ผู้ช่วยก็จะเป็นเถ้าแก่ร้านเท่านั้น ส่วนใหญ่พวกเขาจะส่งเสียงบอกก่อน มีเพียงคนเดียวที่ไม่ส่งเสียงบอกก่อนล่วงหน้า ..
ตันเหนียงสูดลมหายใจเข้าลึก ยืนขึ้นแล้วจึงเปิดประตูออกไป คนที่อยู่ด้านนอกประตูคือคนที่นางโหยหาคิดถึงมาโดยตลอด เขายังอ่อนโยนและดูสุขุม มีรอยยิ้มอยู่แต้มที่มุมปาก ดวงตาคู่นั้นจะดูอ่อนโยนเป็นพิเศษเมื่อมองไปที่ผู้คน
“พี่ไป๋เข้ามาสิ” ตันเหนียงพูดขึ้น นางยังใช้ผ้าคลุมหน้าอยู่เช่นเดิมจึงไม่อาจที่มองเห็นรอยปานสีแดงบนผิวหนังที่เปลือยเปล่าของนางได้ ถังหลี่รู้จักหมอที่เก่งมาก ตันเหนียงจึงได้ขอให้ท่านหมอผู้นั้นจ่ายยาสำหรับทาภายนอกให้นาง ปานจึงค่อยๆ จางหายไป แต่ตันเหนียงยังคงคุ้นชินกับการใส่ผ้าคลุมหน้าอยู่เช่นเดิม ไป๋มู่หยางเดินเข้ามานั่งลง
“ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ?” ตันเหนียงถามบราวนี่ออนไลน์
“ข้ามาถึงตั้งแต่เมื่อคืน” ไป่มู่หยางตอบ “ข้าแวะไปจวนอู่โหวตอนเช้าหาน้องสาว” กลับมาเมื่อคืน เช้าขึ้นมาก็แวะไปจวนอู่โหวก่อน เห็นได้ว่าน้องสาวของเขาคือคนที่สำคัญที่สุดในใจเขาจริงๆ
ตันเหนียงอิจฉาถังหลี่จริงๆ แต่นางไม่อาจจะอิจฉาได้เพราะถังหลี่ดีมากและนางคู่ควรที่จะอยู่ในใจของไป๋มู่หยาง ตันเหนียงยื่นเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เขา
“พี่ไป๋เราไม่ได้เจอกันเกือบปีแล้ว” ตันเหนียงพูดขึ้นมา ดวงตาของนางยังจับจ้องมองเขา
“ใช่เกือบปีแล้วข้าไปต้าฉีมาน่ะ”
“ต้าฉี!” ดวงตาของตันเหนียงเป็นประกาย มีเมืองหนึ่งในแคว้นต้าฉี ชื่อเมืองจิ่นโจว ที่เมืองนั้นอุดมไปด้วยผ้าไหมและผ้าชนิดอื่นๆ บรรดาช่างปักต่างโหยหาต้องการที่จะเห็นผ้าที่มาจากเมืองจิ่นโจวนี้ด้วยกันทั้งนั้น
“พี่ไป๋ พี่ได้ไปที่เมืองจิ่นโจวหรือไม่? ผ้าที่จิ่นโจวบางเหมือนปีกของจั๊กจั่นเหมือนที่เขาร่ำลือกันไหม?” ตันเหนียงถามอย่างสงสัย
“เจ้าจะได้เห็นด้วยตาของเจ้าเอง” ไป๋มู่หยางตอบ
เห็นด้วยตาของข้า? ตันเหนียงไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเขา ในตอนนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีกครั้ง บ่าวรับใช้เดินเข้ามาพร้อมกล่องสองใบ วางบนพื้นแล้วจึงถอยออกไป
ตันเหนียงมองกล่องที่วางอย่างสงสัย
“เปิดดูสิ”
นางเดินไปเปิดกล่องออก ข้างในเป็นผ้าพับเอาไว้ ตันเหนียงยื่นมือออกไปแตะดูอย่างชื่นชม นี่เป็นผ้าเนื้อดี! นางเป็นช่างปักผ้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ทั้งหญิงสูงศักดิ์และผู้มีฐานะดีในเมืองหลวง ต่างนำผ้ามาให้นางปัก หลายคนจัดการหาผ้ามาเอง ผ้าเหล่านั้นเป็นผ้าคุณภาพดีมีราคาแพง ตันเหนียงจึงเคยเห็นผ้ามามากมาย แต่ผ้าในกล่องนี้คือผ้าที่ดีที่สุดที่นางเคยเห็นมา กล่องอีกใบหนึ่งมีผ้าอยู่ผืนเดียว แต่บางราวกับปีกจั๊กจั่น ลำพังแค่ชิ้นนี้ชิ้นเดียวอาจมีราคาเท่ากับผ้าที่เต็มกล่องข้างๆ กันก็เป็นได้ ตันเหนียงจับแล้วจับอีกแทบวางไม่ลงเลยทีเดียว
นางมองไป๋มูหยาง
“พี่ไป๋ ผ้าเหล่านี้จะเอาไปทำเสื้อผ้าให้ใครหรือเจ้าคะ?” ผ้าเนื้อดีเช่นนี้หากได้ผ่านมือของนางเพื่อทำขึ้นมาเป็นเสื้อผ้า นางจะมีความสุขเป็นอย่างมาก
“ผ้าเหล่านี้เป็นของเจ้า เจ้าอยากจะทำอะไรกับมันก็แล้วแต่เจ้าเถอะ” ไป๋มูหยางพูดด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของตันเหนียงเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ ผ้าทั้งหมดเป็นของนางหรือ? ทั้งความสุขและความคาดหวังได้ก่อเกิดขึ้นในใจของตันเหนียงอย่างห้ามไม่อยู่
พี่ไป๋มองของมีค่าเช่นนี้ให้นาง..เป็นไปได้หรือไม่ว่า..
“พี่ไป๋ ..ของพวกนี้มีค่ามาก..” ตันเหนียงปลาบปลื้ม
“เจ้าชอบไหม?” เขาถามอย่างอ่อนโยน “ข้าชอบมาก”
“ถ้าเจ้าชอบก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว” ไปมู่หยางตอบ ตันเหนียงมีรอยยิ้มบนใบหน้า เมื่อเห็นไป๋มู่หยางยังคงจับจ้องมอง นางรู้ดีว่าเขายังมีเรื่องที่อยากจะพูดกับนางอยู่ นางจึงตั้งตารอฟัง ทว่าเขากลับเปลี่ยนเรื่อง พูดไปหัวข้ออื่นเสีย
“ปีใหม่นี้ เจ้าจะไปเที่ยวที่ไหนหรือ?” ไป๋มู่หยางถาม ตันเหนียงรู้สึกผิดหวังไปชั่วครู่ “ข้าคิดจะกลับไปจวนสกุลเซี่ยเจ้าค่ะ”
ไป๋มู่หยางรู้เรื่องความสัมพันธ์ของตันเหนียงและจวนสกุลเซี่ย เขารู้เรื่องไม่ลงรอยระหว่างนางและนายท่านเซี่ยเป็นอย่างดี พวกเขาเป็นบิดาและลูกสาว แต่เนื่องจากนายท่านเซี่ยยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำงานของตน เขาจึงได้ละเลยภรรยาและบุตรสาวไป เมื่อมารดาของตันเหนียงป่วยหนัก นายท่านเซี่ยจึงไม่ได้อยู่เคียงข้างนาง ตันเหนียงจึงไม่พอใจในตัวบิดาเป็นอันมาก
นางไม่ยอมยกโทษให้เขา วันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว นางไม่ได้กลับไปยังจวนสกุลเซี่ย ปีนี้นางตัดสินใจจะกลับไป ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของนางและบิดาจะคลี่คลายลงไป
“ให้ข้าพาเจ้าไปจวนสกุลเซี่ยไหม?” ไป๋มู่หยางถาม
“ไม่เป็นไรเจ้าคะ มีรถม้าของจวนเซี่ยมาจอดรอข้าอยู่ที่ด้านนอกแล้ว” ตันเหนียงตอบเขา
ไป๋มู่หยางพยักหน้า “งั้นเจ้ากลับไปเถอะ”
ตันเหนียงและไป๋มู่หยางลงไปที่ชั้นล่างด้วยกัน มีรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่หน้าประตู คนผู้หนึ่งยืนรออยู่ที่นอกรถม้าคันนั้น เขามองไปยังหอจื่ออวิ๋นด้วยสายตาที่คาดหวัง เขาคือนายท่านเซี่ยนั่นเอง
เมื่อนายท่านเซี่ยเห็นตันเหนียงเดินลงมา ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความสุข เขาเดินไปหานางอย่างรวดเร็ว
“อาตัน!”
นายท่านเซี่ยมารับตันเหนียงตั้งแต่วันส่งท้ายปีเก่า แม้แต่ปีที่แล้วเขาก็มาหานาง หากแต่นางไม่ยอมมาพบเจอเขาด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าวันนี้นางยินดีลงมาหา เขาก็มีความสุขมาก “เจ้าจะกลับไปฉลองปีใหม่กับพ่อไหม?”
นายท่านเซี่ยถามเสียงเบาระคนไปด้วยความคาดหวัง เขาอดไม่ได้ที่จะมีความคาดหวังใหม่ๆ เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แม้เขาจะรู้ว่าความเป็นไปได้จะมีน้อยมาก แต่ก็ยังอดหวังไม่ได้
ตันเหนียงมองนายท่านเซี่ย ขมับของเขาเริ่มมีผมหงอกแซมขึ้นมา
“ตกลง”
นายท่านเซี่ยถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่ เขาประหลาดใจมาก อดจับมือไป๋มู่หยางไม่ได้ เขาพูดอย่างมีความสุข “อาตันสัญญาจะกลับบ้านกับข้า!”
ไป๋มู่หยางยิ้ม
“ขอแสดงความยินดีกับนายท่านเซี่ยด้วย ที่ครอบครัวได้กลับมารวมกันอีกครั้ง”
“อาตันกลับบ้านกับพ่อเถอะ” ตันเหนียงเดินตามนายท่านเซี่ยปที่รถม้า ไป๋มู่หยางมองตามหลังพวกเขา ความคิดของเขาล่องลอยไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ
ทันใดนั้นตันเหนียงก็หยุดเดิน นางหันไปมองไป๋มู่หยาง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายังดูอ่อนโยนเช่นเดิม
ตันเหนียงเดินไปหาเขาเอ่ยถามว่า
“พี่ไป๋ พี่มีอะไรจะพูดกับข้าหรือไม่?” ตันเหนียงมีความรู้สึกลึกๆ ในใจว่าไป๋มู่หยางต้องการจะเอ่ยบางอย่างกับนาง หญิงสาวจึงได้รวบรวมความกล้าถามเขา
“สุขสันต์วันปีใหม่” ตันเหนียงหลบสายตาเขาด้วยความผิดหวัง
“สุขสันต์วันปีใหม่เจ้าค่ะ” นางหันหลังเดินกลับไปขึ้นรถม้าหายลับไปจากสายตา ไป๋มู่หยางเฝ้ามองจนรถม้าหายไป รอยยิ้มในดวงตาของเขาหายไปเช่นกัน
เขารู้ดีว่าตันเหนียงรอคอยอะไร เขามีใจให้ตันเหนียงจริงๆ แต่เขาไม่เหมาะสมกับนาง ตันเหนียงสมควรจะได้สามีที่ปกป้องนางได้ คอยอยู่เคียงนาง เอาอกเอาใจนางเป็นอย่างดี เขาไม่คู่ควร เขาเดินทางไปทั่วหล้าเพื่อทำการค้า ปีหนึ่งจะกลับบ้านแค่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น
โศกนาฏกรรมระหว่างบิดาและมารดาของนางยังคงฝังตรึงอยู่ในใจของตันเหนียง เรื่องของบิดาที่ทำแต่งานจนทอดทิ้งมารดาและบุตรสาว เขาไม่อยากให้ตันเหนียงหวนกลับไปตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับมารดาของนางอีก ไป๋มู่หยางจึงไม่สามารถให้ความหวังแก่นางได้ แต่กระนั้นก็เกิดความว่างเปล่าวูบโหวงอยู่ภายในใจของเขา
ในขณะนั้นเองมีม้าตัวหนึ่งควบผ่านเขาไป จนทำให้เกิดสายลมกระโชกแรงเสื้อคลุมสีขาวปลิวไสวไปตามสายลม
“เหล่าไป๋ เหตุใดมายืนงงอยู่คนเดียวเช่นนี้เล่า?”
ฮั่วจีว์มองไปรอบๆ
“แม่นางตันไปไหนเสียแล้ว?”
“กลับบ้านปีใหม่”
“ท่านไม่ได้รับเชิญหรือ?” ฮั่วจีร์ถาม
“เหตุใดนางต้องเชิญข้า?” ไป๋มู่หยางถามกลับ
“จุ๊ๆๆ น่าสงสารเหลือเกินอยู่คนเดียว” เขาพูดด้วยท่าทีเห็นใจแต่กลับมีความสุขแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา ไป๋มู่หยางเกือบหัวเราะด้วยความโกรธ นี่คือน้องชายที่ ‘ดี’ ของเขาจริงๆ
“ตันเหนียงไม่ต้องการเจ้า แต่น้องชายคนนี้ต้องการ” ฮั่วจีว์ยื่นมือไปหาเขา “ไปฉลองปีใหม่ที่บ้านข้ากันเถอะ” ไป๋มู่หยางมองมือของเขาจากนั้นจึงได้จับมือเขาเหยียบโกลนแล้วขึ้นม้า ทั้งสองขี่ม้าไปด้วยกันเดินไปยังจวนกั๋วกง
“กินอาหารเย็นวันส่งท้ายปีเก่าที่บ้านของข้าก่อน แล้วค่อยไปที่บ้านของถังถังกันเถอะ”
หลังจากทานข้าวเสร็จ
“อั่งเปาพร้อมหรือยัง? ปีนี้ถังถังมีหลานเพิ่มให้เราถึงสองคน เราต้องแจกอั่งเปาถึงหกชุด อย่าลืมนะ” เสียงพูดคุยของฮั่วจีว์ทำให้ความเศร้าหมองในจิตใจของไป๋มู่หยางค่อยๆ คลายลง