บทที่ 592 ภารกิจล่า
ทั้งสกุลไป๋และสกุลจางต่างเป็นพ่อค้ารายใหญ่ในเมืองหลวง แม้ว่าสกุลไป๋จะมีกิจการที่เติบโตได้ดีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาก็มีความสามารถที่จะแซงหน้าสกุลจางไปได้ ทว่าหากเขาโจมตีสกุลจาง ย่อมเป็นการทำลายศัตรูเป็นพัน ทำร้ายตนเองแปดร้อย โดยรวมแล้วนับว่าเป็นการกระทำที่ขาดทุน พ่อค้าที่ชาญฉลาดจะไม่ทำให้กิจการค้าขายของตัวเองขาดผลกำไร
ทว่าไป๋มู่หยางไม่สนใจเอาเสียเลย
เพื่อกระชากสกุลจางลงมาเขาลงมืออย่างไม่ลังเลราวกับหมาบ้า
ในตอนแรก เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของสกุลไป๋ สกุลจางรับมืออย่างใจเย็นและระมัดระวัง แต่เวลาผ่านไปเมื่อถูกหมาบ้ากัด พวกเขาก็ไม่อาจทนใจเย็นอยู่ได้
นายท่านจางลากจางไฉ่ไปหน้าบ้านสกุลไป๋ บังคับให้เขาคุกเข่าอยู่หลายวันหลายคืน จนในที่สุดไป๋มู่หยางก็ออกมา เขารีบอ้อนวอนขอเจรจาสงบศึกอย่างสันติ พร้อมมอบผลประโยชน์ให้แก่ชายหนุ่มอีกมากมายเพื่อหวังให้เขาเมตตา
“นายท่านไป๋ สกุลจางของเราทำผิดพลาดไปแล้ว เป็นเพราะข้าไม่สั่งสอนบุตรให้ดี ข้าจึงอยากขอร้องให้นายท่านไป๋อภัยให้สกุลจางสักครั้งเถิด”
นายท่านจางพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ไป๋มู่หยางไม่สนใจ
“นายท่านไป๋ ข้าจะให้กิจการนี้แก่ท่านอย่างน้อยปีนี้ท่านก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นสักหนึ่งหมื่นตำลึง เหตุใดท่านจึงต้องทำเพื่อสตรี..” ดวงตาของไป๋มู่หยางเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นทันที
“ตันเหนียงไม่ใช่หญิงสาวธรรมดา นางเป็นผู้หญิงที่ข้ารัก พ่อบ้าน ส่งแขก!” นายท่านจางถูกลากออกไปทันที
บรรดาพ่อค้าคนอื่นๆ ล้วนมีความสุขมากเมื่อเห็นพ่อค้ารายใหญ่สองคนทะเลาะกันเช่นนี้ บางทีอาจจะมีผลประโยชน์บางอย่างมาถึงพวกเขาก็เป็นได้ พวกเขาคิดว่าทั้งสองฝ่ายคงย่อยยับไปตามๆ กันไม่มีใครได้ผลประโยชน์
ว่ากันว่าไป๋มู่หยางทำสิ่งนี้เพื่อสตรีผู้หนึ่ง การกระทำเช่นนี้เพียงเพื่อหญิงสาวแล้วทำให้สกุลไป๋เป็นฝ่ายสูญเสีย ช่างไม่คุ้มเอาเสียเลย
แต่นี่คือมุมมองของบุรุษ
ในทางกลับกันจากมุมมองของหญิงสาวแล้ว การที่ไป๋มู่หยางโกรธจัดเช่นนี้เพราะสาวงามที่เขาต้องใจ ย่อมทำให้เห็นว่าไป๋มู่หยางที่ปกติดูอ่อนโยน กลับมีมุมที่แข็งกร้าวเช่นนี้อยู่ด้วย
พวกนางคิดว่านายท่านไป๋เป็นบุรุษที่อ่อนโยน สุขุม ทว่าหญิงสาวที่ทำให้เขาเกิดบันดาลโทสะและอยากตอบโต้เพื่อนางนั้นช่างโชคดีเสียนี่กระไร เรื่องราวเกิดพัฒนาใหญ่โตจนหลายเป็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงไปเสียแล้ว ตอนแรกพวกเขาคิดว่าทั้งสองสกุลจะห้ำหั่นกันอีกสักพักใหญ่ แต่สกุลจางกลับเหมือนเสือกระดาษ[1]ที่โจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว ภายในสามเดือนเท่านั้นทุกอย่างก็จบลง โดยที่ทางฝ่ายสกุลไป๋ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
หลังจากการปะทะกันในครั้งนี้ ทุกคนล้วนประจักษ์ได้ว่าสกุลไป๋นั้นแข็งแกร่งกว่าสกุลจางมากนัก แม้นายท่านสกุลไป๋จะไม่ได้มีอิทธิพลใหญ่โตกว้างขวาง แต่สกุลไป๋คือพ่อค้ารายใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง
เมื่อเห็นว่าครอบครัวได้รับผลกระทบถึงเพียงนี้นายท่านจางยังแทบไม่อยากเชื่อ เขาคิดว่าตนเองฝันไปเสียด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าทางไป๋มู่หยางไม่ยอมรามือ เขาจึงไปขอความช่วยเหลือจากเครือญาติ แม้แต่สกุลตู้ก็เมินเฉยต่อเขา นายท่านจางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปที่จวนสกุลจางด้วยความมึนงง เขาทุบตีบุตรชายอย่างรุนแรงเพื่อระบายอารมณ์
ตระกูลจางพ่ายแพ้ย่อยยับเพราะบุตรชายที่ไร้ประโยชน์ของเขา!
หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้เขาจะฆ่าไอ้ลูกสารเลวเพื่อชดเชยความผิดต่อสกุลไป๋! ไม่ก็สั่งห้ามไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับตันเหนียง!
มาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว สกุลจางได้จบสิ้นลง นั่นเป็นเรื่องราวหลังจากนั้นบราวนี่ออนไลน์
…..
เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ของกู้หวนจิ่นและองค์หญิงจิ้งชู ทั้งสองมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน กู้หวนจิ่นอยากแต่งงานกับนางให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันแต่องค์หญิงจิ้งชูเป็นองค์หญิง นางเป็นพระธิดาคนโปรดของฝ่าบาท เปรียบเหมือนไข่มุกในพระหัตถ์ของพระองค์ ด้วยสถานะที่สูงส่งเช่นนี้ ผู้สมควรมาสู่ขอย่อมเป็นแม่ทัพกู้ ทว่าตอนนี้เขาติดศึกอยู่ในแคว้นอื่น ทำให้เรื่องราวล่าช้าไปหลายเดือน
เมื่อบิดาไม่อยู่ พี่ชายคนโตจึงต้องทำหน้าที่เสมือนบิดา กู้หวนเนี่ยนเห็นน้องชายมีความรักที่ลึกซึ้งกับองค์หญิง ในเดือนหนึ่งเขาจึงถือโอกาสทูลเรื่องนี้กับฮ่องเต้ แต่พระองค์กลับเลี่ยงที่จะตอบรับ
องค์หญิงจิ้งชูจึงไปทูลเรื่องนี้กับฮ่องเต้อย่างขึ้งโกรธว่านางชอบพอกับกู้หวนจิ่น นางต้องการแต่งงานกับเขา ดวงตาของจิ้งชูเป็นประกายสว่างสดใส เมื่อพูดถึงคนรัก
ฮ่องเต้บีบนาสิกที่เชิดรั้นพระธิดาอย่างหยอกล้อ
“อาจื่อเป็นสมบัติที่มีค่าของพ่อ พ่อต้องเลือกลูกเขยให้เจ้าอย่างดีไม่ใช่เป็นแบบขอไปที”
ไม่ว่าจะตรึกตรองอย่างไร ฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของกู้หวนจิ่นและองค์หญิงจิ้งชู
จวนอู่โหว
“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะข้าไม่ได้ทำงาน แต่ตอนนี้ข้าเป็นถึงองครักษ์ส่วนพระองค์แล้ว ฝ่าบาทยังไม่คิดว่าข้าเป็นคนน่าเชื่อถืออีกหรือ?” กู้หวนจิ่นพูดด้วยความลำบากใจ
มีบางอย่างที่เขาไม่อาจพูดกับคนอื่นได้ กู้หวนจิ่นจึงได้มาปรารภกับน้องสาวของเขา เขาเคยเป็นคนเสเพล เจ้าชู้ รักอิสระ ไม่สนใจคำครหาใดๆ ซึ่งเมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องเดือดร้อนกับใครหรือแม้แต่ตนเอง
แต่ตอนนี้เขามีคนที่รักแล้ว นั่นทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมาในใจ
หากรู้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะต้องไปทำงานในศาลหรือไปสนามรบกับบิดาเพื่อตำแหน่งหน้าที่การงาน เขาจะทำ เพื่อที่จะได้ไม่เป็นอุปสรรคกีดขวางความรักของเขากับอาจื่อเช่นทุกวันนี้
เขาพบเจอนางทุกวัน อยากจุมพิตนางมากเพียงไหนก็ไม่อาจหมิ่นเกียรตินางได้ แม้แต่ฝ่าบาทยังไม่ทรงยินดี หากเป็นเช่นนี้เขาย่อมแต่งงานกับอาจื่อไม่ได้
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น แต่ถังหลี่กลับคิดว่าปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“มีกฎมณเฑียรบาลเขียนเอาไว้ไม่ใช่หรือว่าห้ามราชบุตรเขยดำรงตำแหน่งหน้าที่การงานที่สำคัญ เพื่อป้องกันการทะเยอทะยาน หลังจากการเข้าพิธีแต่งงานกับองค์หญิงแล้วอย่างไรก็ต้องออกจากตำแหน่งขุนนาง” ถังหลี่แย้งขึ้นมา
ดังนั้นถึงแม้ว่ากู้หวนจิ่นจะติดตามบิดาไปถึงสนามรบ กลายเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงเหมือนพี่รอง เขาก็ไม่เหมาะกับตำแหน่งราชบุตรเขยอยู่ดี
“เช่นนั้นเหตุใดฝ่าบาท..” กู้หวนจิ่นขมวดคิ้ว
ถังหลี่คิดว่าฮ่องเต้ทรงมีพระราชดำริที่ว่า ตระกูลกู้มีอำนาจมากเกินไป แม่ทัพกู้กุมกำลังพลทางการทหาร บุตรชายคนโตเป็นผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ ลูกเขยเป็นเจ้ากรมอาญา…
หากเป็นองค์หญิงพระองค์อื่น ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะแต่งงานไปกับข้าราชบริพารของพระองค์ ทว่าองค์หญิงจิ้งชูได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากเกินไป การแต่งงานในครั้งนี้จะยิ่งไปเพิ่มอำนาจให้กับสกุลกู้มากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เส้นทางความรักระหว่างองค์หญิงจิ้งชูกับพี่ชายของนางย่อมเต็มไปด้วยอุปสรรคและขวากหนามมากยิ่งขึ้น
ในที่สุดกู้หวนจิ่นจึงได้เข้าใจอย่างชัดเจน
“ท่านพ่อจะกลับมาเร็วๆ นี้ เมื่อถึงตอนนั้นพี่รองให้ท่านพ่อไปทูลขอเรื่องการแต่งงานกับองค์หญิงจิ้งชูอีกครั้ง” นางแนะนำ
“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ฝ่าบาทจะไม่พิโรธสกุลกู้หรอกหรือ?” กู้หวนจิ่นลังเล เขาอยากแต่งงานกับอาจื่อ แต่ไม่อยากชักนำอันตรายมาสู่สกุลกู้ กู้หวนจิ่นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาพยายามหาหนทางอื่น
“หากท่านกับองค์หญิงรักกันจริง ในที่สุดก็จะฝ่าอุปสรรคไปด้วยกันได้” ถังหลี่ปลอบใจ พี่ชายของนางจึงได้พยักหน้ารับ
“ทุกอย่างย่อมมีหนทาง เมื่อมีถนนไปสู่ภูเขาได้เมื่อนั้นเรือย่อมตรงไปที่ท่าเสมอ”
หลังจากกู้หวนจิ่นจากไป ถังหลี่ถอนหายใจออกมา ที่จริงแล้วในปีนี้ยังมีอีกเรื่องราวที่จะต้องเกิดขึ้นอีก
ตามเนื้อเรื่องของนวนิยายต้นฉบับ ในปีนี้ทูตของชาวฮั่นจะเข้ามายังเมืองหลวง องค์ชายรองของเผ่าซยงหนูจะได้พบกับองค์หญิงจิ้งชู เขาจะสนใจในตัวนาง แต่ในโครงเรื่องเดิมนั้น องค์หญิงได้แต่งงานไปกับกัวฮั่นเสวี่ยแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่เขาจะสนใจนาง อีกทั้งฮ่องเต้ยังทรงมีพระชนม์ชีพและองค์หญิงจิ้งชูยังเป็นที่โปรดปรานรักใคร่ของฝ่าบาท พระองค์ทรงไม่ยินดีที่จะพระราชทานองค์หญิงให้กับองค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนูเป็นแน่
แต่เรื่องนี้ก็ราวกับได้ถูกสาปเอาไว้ อีกไม่กี่ปีต่อมา ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ จ้าวชูได้ขึ้นครองบัลลังก์ องค์ชายรองได้ขึ้นเป็นข่านของชาวฮั่น เขาจำนางได้จึงมาสู่ขอนางไปเข้าพิธีวิวาห์ ด้วยความช่วยเหลือจากจูชุนเจียว การแต่งงานในครั้งนี้จึงบรรลุผล องค์หญิงจิ้งชูจึงถูกส่งไปที่เผ่าฮั่น
แต่ตอนนี้โครงเรื่องได้เปลี่ยนไปแล้ว องค์หญิงจิ้งชูยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานกับกัวฮั่นเสวี่ย นางตกหลุมรักพี่สามของถังหลี่ น่าเสียดายที่การแต่งงานของทั้งสองมีอุปสรรค ฮ่องเต้ทรงไม่เห็นด้วย
ถังหลี่กังวลว่าการมาถึงขององค์ชายรองจะทำให้เรื่องการแต่งงานของทั้งสองยิ่งเต็มไปด้วยขวากหนามมากขึ้น
……
ในเวลาเดียวกันที่สถานีพักรถม้าใกล้กับเมืองหลวง
ทูตจากฮั่นอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว ชายร่างสูงใหญ่แข็งแรงยืนตัวตรงอยู่ที่ริมหน้าต่าง เขามีเบ้าตาลึกจมูกโด่ง มีหนวดเคราบนใบหน้า ท่าทางดูหยาบกระด้าง สายตาของเขามีความทะเยอทะยานที่ไม่อาจปกปิดได้
เขาคือองค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนู ทำหน้าที่ทูตมาเยือนแคว้นต้าโจว องค์ชายรองทอดพระเนตรความเจริญของแคว้นและผู้คนที่อาศัยในแคว้นนี้ ทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม อาหาร และข้าวของเครื่องใช้มากมาย ต่างจากแผ่นดินเกิดของเขาที่กันดารมาก ราษฎรต้องใช้ชีวิตอพยพไปเรื่อยๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล
ความละโมบอยากได้เกิดขึ้น
สักวันหนึ่งเขาจะพาเหล่าทหารกล้ามายังดินแดนแห่งนี้ เพื่อดื่มด่ำไปกับผืนแผ่นดินและแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์
หลายปีมานี้ถ้าองค์ชายแปดไม่ได้สู้รบกับเขา เขาคงได้เป็นข่านของชาวซยงหนูไปแล้ว เมื่อนึกถึงไอ้เด็กคนนั้น โทสะเขาพุ่งขึ้นมา
แต่เดิมทีองค์ชายแปดมาเป็นตัวประกันที่ต้าโจว เขาหวังให้น้องชายเขาตายไปเสียในแคว้นต้าโจว เพื่อถือเอาสาเหตุนั้นทำสงครามกับแค้วนต้าโจว
แต่คาดไม่ถึงว่าเด็กเวรนั่น กลับวิ่งหนีไปจองเวรเขาถึงที่ฮั่น!
ทั้งคู่ห้ำหั่นกันมาหลายปีแต่ไร้วี่แววของผู้ชนะ
ครั้งนี้เขามาที่ต้าโจวพร้อมกับทูตของฮั่นเพื่อขอความช่วยเหลือหาพันธมิตรไปต่อสู้กับองค์ชายแปด เพื่อให้เขาได้ขึ้นเป็นข่านของชาวฮั่น!
ในสายตาของเขาฉายแววอำมหิตขึ้นมา
ณ โรงเตี๊ยมแห่งอื่นในเมือง
ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมเรียบๆ นั่งอยู่ท่ามกลางผู้คน เขาเคยเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา แต่เพราะบาดแผลที่ใบหน้าซีกขวา ทำให้ดูดุดันมากขึ้น ลดทอนความหล่อเหลาลง
เขาคือองค์ชายแปดแห่งเผ่าซยงหนู นามว่าพั่วหนู แผลเป็นบนใบหน้าของเขาไม่ได้เกิดจากโดนผู้อื่นทำร้ายแต่…
เป็นบิดาของเขาที่คิดว่าเขาหน้าตาเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาเกินไป ชนเผ่าซยงหนูเปรียบประดุจหมาป่าที่กล้าหาญดุร้าย บิดาของเขาจึงได้กรีดใบหน้าของเขาให้เป็นรอยแผลเป็น เมื่อเห็นแผลเป็นของเขาแล้ว บิดาพอใจมากตบบ่าของเขาเป็นการชมเชย
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาเขาและพี่รองต่อสู้กันมาตลอด เขารู้ว่าพี่รองมีจุดประสงค์อย่างไร เขาจึงตามมาเงียบๆ
หลังจากหลายปีผ่านมา เขาได้กลับมาเหยียบแผ่นดินต้าโจวอีกครั้ง อารมณ์ของเขาเต็มไปด้วยความซับซ้อน
ต้าโจ้วสำหรับเขา คือคุกมืดที่ไร้แสงสว่าง ทว่ามีความอบอุ่นแฝงเอาไว้
ในการเดินทางของเขา ไม่เพียงแต่เขาจะต้องการทำลายเป้าหมายขององค์ชายรองเท่านั้น แต่เขายังอยากหาผู้มีพระคุณที่เคยช่วยเขาเอาไว้อีกด้วย
ตอนนี้ผู้มีพระคุณของเขาไม่ได้อยู่ที่เมืองฉินโจวแล้ว ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกัน พี่สาวฮวา ถังหลี่ และนายโจรภูเขาผู้นั้น พั่วหนูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง ทุกคนสบายดีหรือไม่? ความอบอุ่นเล็กน้อยฉายในแววตาที่เหมือนหมาป่าของพั่วหนู จากนั้นจึงได้จางหายไป
[1] บุคคลที่ดูเหมือนมีอำนาจมาก แต่แท้จริงแล้วไม่มี