บทที่ 3 ภารกิจ
บทที่ 3 ภารกิจ
“แต่ว่า…” ขณะอู๋ฝานกำลังเป็นกังวล เฒ่าชราก็เอ่ยคำขึ้นอีกครั้ง
“แต่อะไร?” อู๋ฝานเร่งร้อนถาม แม้ตัวเขายังไม่เชื่อ แต่เห็นได้จากท่าทีบอกเล่าจริงจังของชายชรา ชีวิตก่อนหน้าของตัวเขาค่อนข้างแร้นแค้น ดังนั้นอู๋ฝานจึงสนใจคำพูดถัดไปของชายชราโดยไม่รู้ตัว
“เพียงแต่เทพสวรรค์ได้พบเห็นความเวทนาของเจ้าแล้ว ท่านจึงจึงสมเพชและต้องการช่วยเหลือ” ชายชรากล่าวตอบ “ดังนั้นจึงมอบแหวนวงนี้ให้ เจ้าควรสำนึกบุญคุณเทพสวรรค์ ไม่ใช่พูดจาส่งเดช”
“เทพสวรรค์บ้าบออะไรกัน” อู๋ฝานตอบรับอย่างไม่พอใจ “ในเมื่อมีอำนาจล้นพ้น เหตุใดไม่เปลี่ยนโชคของผมเสียเลยล่ะ? ให้เป็นโชคดีไปตลอดอะไรทำนองนี้ ทำไมต้องให้แหวนนี่มาให้มันดูลึกลับด้วย”
“เจ้า… เทพสวรรค์ใจดีช่วยเหลือก็ดีเท่าไหร่แล้ว แต่เจ้ากลับไม่รู้ความ!” ชายชราโกรธเกรี้ยวขึ้นอีกครั้ง “ตามโชคชะตาของเจ้า โชคร้ายจะดำรงอยู่อีกหลายชีวิต มันคือวิถีแห่งสวรรค์ แม้เป็นเทพสวรรค์ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงโดยง่าย การมอบแหวนให้แก่เจ้า ช่วยให้เจ้าสามารถเดินทางท่องมิติ ได้ไปมาระหว่างที่นี่กับโลกที่แท้จริงได้ ส่วนว่าจะเปลี่ยนโชคของเจ้าได้หรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง!”
เรื่องราวลึกลับซ่อนเงื่อน จนอู๋ฝานต้องลอบเบะปาก
“ก็ตามนี้ งั้นถือว่าข้าสอนวิธีใช้แหวนวงนี้เทเลพอร์ตให้แก่เจ้าแล้ว ส่วนที่เหลือไปสำรวจเรียนรู้ด้วยตนเอง ข้าเองก็ควรต้องไปแล้ว จดจำเอาไว้ แหวนวงนี้ไม่ใช่การเทเลพอร์ตได้เท่านั้น ส่วนจะทำอะไรอีกได้นั้น ความสามารถพวกนั้นจงค้นหาด้วยตัวเจ้าเอง” ชายชรากล่าวบอก “หากมีโชคชะตา ภายหน้าพวกเราอาจได้พบกันอีก”
“คุณจะไปไหน? นี่คุณหมายความว่ายังไง?” อู๋ฝานมึนงงไปครู่
แต่แล้วชั่วขณะนี้เอง เขากลับได้พบว่าชายชราตรงหน้าเปลี่ยนไปราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ดวงตาที่ทอประกายแสงเมื่อครู่กลับกลายเป็นเฉื่อยชา จิตวิญญาณไม่ได้เปี่ยมล้นดังเช่นก่อนหน้า สภาพทางจิตใจของทั้งตัวคนเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง แม้รูปลักษณ์ยังคงเดิม แต่ในความรู้สึกของอู๋ฝาน บุคคลตรงหน้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างเด่นชัด มันเป็นความรู้สึกที่ยากอธิบาย เพียงแต่รับรู้ได้อย่างชัดเจน
ชายชราพูดขึ้นอีกครั้ง “คนหนุ่มเอ๋ย ข้าคือหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ ไม่นานมานี้ พลังงานอสูรเริ่มรุกราน สัตว์ทั้งหลายติดเชื้อพลังงานอสูรจนเริ่มดุร้าย พวกมันทำลายไร่นา คุกคามความปลอดภัยของชาวบ้าน พอจะช่วยกำจัดพวกมันได้หรือไม่?”
[หัวหน้าหมู่บ้านมอบหมายภารกิจให้ท่าน สังหารกระต่ายอสูรสิบตัว ตอบรับหรือไม่?]
เสียงจักรกลอันคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ชายชราเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ คำพูดคำจาจริงจัง แถมมอบหมายภารกิจให้ อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านที่เห็นนี้?
ภารกิจนี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน?
[หัวหน้าหมู่บ้านมอบหมายภารกิจให้ท่าน สังหารกระต่ายอสูรสิบตัว ตอบรับหรือไม่?]
เมื่อไม่มีการตอบสนอง เสียงจักรกลจึงดังขึ้นในโสตประสาทของอู๋ฝานอีกครั้ง
“รับ รับก็ได้”
อู๋ฝานไม่อาจเข้าใจว่าสถานที่แห่งนี้มันคืออะไร แต่หากไม่รับเอาไว้ เสียงจักรกลนั้นคงดังในหูไม่หยุดหย่อน ดังนั้นตัวเขาจึงมีทางเลือกเดียว นั่นคือรับเอาไว้
ภายหลังรับภารกิจแล้ว เสียงนั้นก็เลือนหายไป
“ในเมื่อรับภารกิจแล้ว ก็ขอให้เร่งรีบจัดการโดยเร็ว ชาวบ้านต่างประสบปัญหาอสูรรุกรานกันมานานมากแล้ว” หัวหน้าหมู่บ้านเฒ่าชรากล่าวเร่ง
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวเร่งวนซ้ำไปมา อู๋ฝานจึงต้องเดินออกจากหมู่บ้านด้วยความงงงัน ใจเขายังคงทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น สิ่งที่ชายชราบอกคือเรื่องจริง แต่ในฐานะผู้ได้รับการศึกษาสมัยใหม่ สัญชาตญาณของอู๋ฝานร้องบอกว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล
แต่ยามหันมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ หากทุกอย่างนี้เป็นของปลอม เหตุใดเขามาอยู่ที่นี่ได้?
หากทุกอย่างเป็นความจริง เช่นนั้นเทพสวรรค์จากปากคำของชายชราที่ว่าทรงอำนาจล้นเหลือ ทั้งยังนำพาตัวเขามายังที่นี่ได้โดยง่าย งั้นอีกฝ่ายคือตัวตนอะไรกัน?
“นี่คือกระต่ายอสูรที่หัวหน้าหมู่บ้านพูดถึงล่ะมั้ง?”
ขณะอู๋ฝานออกไปภายนอกหมู่บ้าน เขาได้เห็นกลุ่มกระต่ายใหญ่ราวยี่สิบตัวที่กำลังกินแปลงผัก
กระต่ายเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับที่อู๋ฝานเคยเห็น เว้นแต่ขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่กว่า แต่พออู๋ฝานเข้าไปใกล้พวกมัน ก็ได้พบเห็นถึงความแตกต่าง
แม้ดวงตาของกระต่ายเหล่านี้เป็นสีแดง แต่ในดวงตามีเส้นสีดำปรากฏเด่นชัด ดวงตาที่มันมองผู้คนไม่มีความอ่อนโยน แต่เป็นความดุร้ายอันเปี่ยมล้น ชวนให้รู้สึกไม่สบายใจ ราวกับมันพร้อมจะระเบิดออกในทุกเมื่อ
ขณะอู๋ฝานอยู่ห่างจากกระต่ายเหล่านั้นสองเมตร กระต่ายสองตัวทางด้านหน้าพลันกระโดดพรวดพุ่งเข้าหาอู๋ฝาน มันไม่เหมือนดังกระต่ายทั่วไป แต่เป็นประหนึ่งหมาป่าที่หิวกระหาย
“เป็นกระต่ายอสูรของจริง น่ากลัวเกินไปแล้ว” อู๋ฝานตื่นตกใจ การเผชิญหน้ากระต่ายดุร้ายถึงสองตัวทำให้จิตสำนึกของตัวเขาร้องบอกให้ก้าวเท้าถอย
เพียงแต่กระต่ายทั้งสองตัวนั้นไม่ลดละ พวกมันพุ่งตัวไล่ตามอู๋ฝานต่อเนื่อง โชคดีที่กระต่ายตัวอื่นยังไม่มีทีท่าคิดโจมตีใส่อู๋ฝาน เพียงแต่มองด้วยความระมัดระวัง
เมื่อเผชิญหน้ากับสองกระต่ายดุร้าย อู๋ฝานทำได้เพียงถอยอย่างต่อเนื่อง ขณะเหยียบย่างกลับเข้าสู่หมู่บ้าน กระต่ายสองตัวพลันหยุดไล่ตามและกลับไปยังตำแหน่งเดิมของพวกมัน
“กระต่ายอสูรอะไรกันนี่? ดุร้ายเกินไปแล้ว” อู๋ฝานมองกระต่ายสองตัวที่กำลังกลับไป ความหวาดกลัวยังคงเกาะกุมขณะพึมพำกับตัวเอง
“คนหนุ่มเอ๋ย ทำภารกิจเสร็จสิ้นรวดเร็วจึงกลับมาแล้วหรือ? ข้ามองคนไม่ผิดจริงด้วย” ตอนนี้เองที่เสียงของหัวหน้าหมู่บ้านดังขึ้นจากทางด้านหลังของอู๋ฝาน อู๋ฝานหันกลับไปมอง พบเห็นอีกฝ่ายกำลังมองมายังตนเองด้วยท่าทียินดี
อู๋ฝานเขินอายขึ้นมาจนตอบคำกลับ “คือว่า ผมยังฆ่ามันไม่ได้เลยสักตัว กระต่ายอสูรพวกนี้ดุร้ายจนเกินไป แทบจะเหมือนหมาป่า”
“ว่าอะไรนะ? เจ้ายังสังหารพวกมันไม่ได้แม้สักตัว? เช่นนั้นยังยืนบื้อทำอะไร? เหตุใดยังไม่ไปอีก?” หัวหน้าหมู่บ้านที่เผยความนับถือเมื่อครู่ ขณะนี้ชักสีหน้ากล่าวคำตำหนิ อู๋ฝานรู้สึกทึ่งต่อความรวดเร็วในการเปลี่ยนท่าที
“เร็วเข้า เร็ว อย่าได้อืดอาดยืดยาด” หัวหน้าหมู่บ้านเฒ่าชรากล่าวเร่งอีกครั้ง ภายหลังเร่งเร้าอู๋ฝาน เขาจึงหันเดินกลับเข้าไป ทว่าปากยังคงพึมพำ “เฮ้อ คนหนุ่มสาวสมัยนี้ ไฉนขลาดกลัวเพียงนี้ได้ เลวร้ายยิ่งกว่าพวกเราในอดีตมากนัก”
สีหน้าอู๋ฝานแสดงชัดถึงความอับอาย ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเป็นการให้กำลังใจ ฝีเท้าก้าวเดินออกจากหมู่บ้านอีกครั้ง ไม่ว่าตัวเขามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด มันก็ไม่ควรต้องคิดอีกต่อไปแล้ว ก่อนอื่นเขาต้องทำภารกิจของหัวหน้าหมู่บ้านเฒ่าชราให้เสร็จเสียก่อน เขาไม่อาจยอมให้ชายชรามาดูหมิ่นตัวเอง
อู๋ฝานกลับมายังบริเวณที่กระต่ายอสูรอยู่เมื่อครู่ พวกมันยังคงขุดคุ้ยแปลงเพาะปลูก อู๋ฝานเลือกที่จะยังไม่ก้าวเดินเข้าใกล้ แต่สำรวจมองรอบด้าน พบเห็นแท่งไม้ยาวครึ่งเมตร จึงหยิบมันมาเหวี่ยงด้วยมืออยู่สองสามครั้ง สุดท้ายจึงก้าวเดินมุ่งเข้าหาพวกกระต่ายอสูร
อู๋ฝานบังเกิดความมั่นใจขึ้นมาบ้างด้วยแท่งไม้ภายในมือ