บทที่ 36 อาจารย์พละศึกษา
บทที่ 36 อาจารย์พละศึกษา
แค่นี้เหรอ?
อู๋ฝานถือจดหมายแต่งตั้งจากมหาวิทยาลัยเจียงโจว ก่อนจะออกจากออฟฟิศของเยวี่ยหลินซานไปด้วยความงุนงง
เดิมอู๋ฝานคิดว่าเยวี่ยหลินซานจะสอบถามเรื่องความสามารถและประสบการณ์ แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายแค่พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับเขา ก่อนจะส่งจดหมายแต่งตั้งมาให้และขอให้เขามาพบพอเป็นพิธีอีกครั้งก็เท่านั้น
แม้แต่การสัมภาษณ์ครูเด็กประถมหรือติวเตอร์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทำไมงานนี้ถึงง่ายขนาดนี้ได้?
หากเปลี่ยนเป็นสถานที่อื่น อู๋ฝานคงนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายหยอกล้ออะไรตนเองเล่น แต่ออฟฟิศของอีกฝ่ายไม่ใช่ของปลอม จดหมายแต่งตั้งในมือของเขาก็ไม่ใช่ของปลอมเช่นเดียวกัน
หรือว่าแท้จริงแล้ว การสัมภาษณ์เป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยง่ายดายถึงขนาดนี้?
“อะไรก็ช่าง ไม่มีอะไรให้เสียสักหน่อย สวัสดิการของอาจารย์ก็ดีด้วย” อู๋ฝานคิดอย่างไรก็ไม่อาจหาคำตอบ จึงทำได้เพียงหยุดคิด
ทว่าตอนนี้เอง เยวี่ยหลินซานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็กำลังมองมายังทิศทางซึ่งอู๋ฝานเดินกลับไปด้วยสายตาอันยากอธิบาย
ด้วยการดูแลของเยวี่ยหลินซานและจดหมายแต่งตั้ง อู๋ฝานจึงผ่านขั้นตอนการสมัครอย่างง่ายดาย นอกจากนี้ เพราะอยู่ภายใต้การดูแลของเยวี่ยหลินซาน ในช่วงเวลาที่ไม่มีคาบเรียน อู๋ฝานก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่มหาวิทยาลัยแต่อย่างใด
อู๋ฝานจึงได้เป็นอาจารย์พละศึกษาในมหาวิทยาลัยเจียงโจวด้วยความงุนงง
ปัจจุบันนักศึกษายังไม่ได้เริ่มภาคเรียนใหม่อย่างเป็นทางการ อู๋ฝานจึงยังไม่มีชั้นเรียนให้เข้าสอน หลังเสร็จสิ้นขั้นตอนต่าง ๆ เขาก็ออกจากมหาวิทยาลัยเจียงโจวแล้วตรงไปหาซื้อวัตถุดิบ
ด้วยประสบการณ์และบทเรียนจากเมื่อสองวันก่อน วันนี้อู๋ฝานจึงซื้อวัตถุดิบจำนวนมาก ซึ่งหมายความว่าต้องนำไปเสียบไม้มากขึ้นด้วย
“คงต้องจ้างใครมาช่วยแล้วล่ะมั้ง ทำคนเดียวดูจะเป็นภาระใหญ่เกินไป ถ้าเหนื่อยมากจนเกินไป อาจทำงานได้ไม่หมด” อู๋ฝานกำลังครุ่นคิดพลางเสียบไม้ไปเรื่อย ๆ
ก่อนหน้านี้ กิจการของเขาไม่ได้ดีเด่อะไร แค่หาเลี้ยงตัวเองยังลำบาก ดังนั้นจึงไม่เคยคิดจ้างคน แต่ตอนนี้กิจการดีขึ้นแล้ว รวมถึงมีทักษะทำอาหารระดับสูง อู๋ฝานเชื่อว่ากิจการจะยิ่งดีขึ้น เขายังต้องทำงานเป็นอาจารย์ ย่อมมีเวลาน้อยลง จึงไม่แปลกหากต้องการหาคนมาช่วย
สางสามวันถัดมา ชีวิตของอู๋ฝานก็ก้าวไปทีละก้าว ตอนกลางวันเสียบไม้บาร์บีคิว ตอนกลางคืนปิ้งบาร์บีคิว ใช้เวลาตอนดึกไปกับอีกโลกหนึ่ง ชีวิตของเขาจึงค่อนข้างยุ่ง
กิจการบาร์บีคิวในช่วงหลายวันมานี้ถือว่าดำเนินไปได้ด้วยดี คำเล่าลือเริ่มกระจายไปไกล แน่นอนว่ามันย่อมกระตุ้นความอิจฉาของร้านแผงลอยบาร์บีคิวข้างเคียง บางครั้งพวกเขายังแวะเวียนมากล่าวคำประชดประชันบ้าง เขาจึงทำได้เพียงเมินเฉย หลายปีมานี้อู๋ฝานพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา บางคนก็ไม่มองตามหลักเหตุและผล เอาแต่ตัวเองเป็นหลัก
เมื่อเห็นว่าอู๋ฝานค่อนข้าง ‘ขี้กลัว’ เถ้าแก่ร้านแผงลอยบาร์บีคิวข้างเคียงต่างก็ได้ใจ แต่พวกเขาพบว่าลูกค้าโดนอู๋ฝานแย่งไปเกือบหมด ช่วงนี้ของปีถือเป็นฤดูกาลที่ขายบาร์บีคิวดีที่สุดด้วย หากไม่รีบทำเงินในช่วงฤดูกาลนี้ หลายเดือนถัดจากนี้จะยิ่งทำเงินได้ยาก พวกเขาจึงเริ่มสุมหัวระดมความคิด หาทางทำลายกิจการของอู๋ฝาน เพื่อทวงส่วนแบ่งทางธุรกิจกลับคืนมา
ในอีกโลกหนึ่ง ตลอดหลายวันที่ผ่านมา อู๋ฝานไม่ได้รับภารกิจใด เขาต่อสู้กับมอนสเตอร์ในป่าอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มเลเวล เมื่อใช้อาวุธระดับเงิน อู๋ฝานสามารถสังหารมอนสเตอร์ได้รวดเร็วมากขึ้น เลเวลของตัวเขาเพิ่มขึ้นทีละหนึ่ง แต่ละเลเวลเพิ่มขึ้นอย่างยากเข็ญ เขาสังหารมอนสเตอร์ไปมากมายก็เพื่อเพิ่มเลเวล แต่การเพิ่มเลเวลมันไม่ใช่ภารกิจง่าย ๆ ตามที่คิด
เพียงแต่ทุกครั้งที่เพิ่มเลเวลได้ ทุกแต้มสถานะของเขาก็เพิ่มขึ้นทีละน้อย ประสิทธิภาพจึงดียิ่งขึ้น แม้ไร้ซึ่งอาวุธ ค่าสถานะของอู๋ฝานก็มากกว่าคนปกติราวสามเท่า อู๋ฝานคิดว่าเมื่อไปถึงเลเวลสิบ ความแข็งแกร่งและความว่องไวของเขาน่าจะทัดเทียมกับตัวตนจากหน่วยรบพิเศษได้
เพราะในปัจจุบันยังไม่มีหนทางขายแร่ อู๋ฝานจึงหยุดขุดแร่จากถ้ำไปหลายวัน เขาหาเงินโดยการชำแหละร่างมอนสเตอร์แทน แม้ว่าความเร็วในการทำเงินจะไม่เท่าการทำเหมือง แต่มันก็มั่นคงและไม่กระตุ้นความสงสัยแต่อย่างใด
อู๋ฝานรู้สึกยินดีที่เมล็ดพันธุ์ที่ปลูกไว้ด้านหลังของภูเขากำลังเติบโตขึ้น พวกมันผุดขึ้นมาจากพื้น อัตราการเติบโตรวดเร็วกว่าพืชในโลกแห่งความเป็นจริง
หากคิดมองว่าเป็นเรื่องปกติก็ดี เพราะในสายตาเขา ที่นี่ก็คือโลกแห่งเกม มันย่อมแตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริงอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับโลกความเป็นจริงแล้ว เวลาย่อมผ่านไปรวดเร็วกว่า อัตราการเติบโตของสัตว์และพืชพรรณย่อมรวดเร็วกว่า
ทุกช่วงเช้า อู๋ฝานไม่พลาดที่จะไปวิ่งออกกำลังกาย ทุกเช้าจะพบร่างเพรียวบางของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่สนาม นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่เอ่ยคำทักทายกัน ทุกครั้งที่พบกัน อู๋ฝานจะเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยคำทักทายก่อน หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็ตอบรับ เพียงแต่การพูดคุยระหว่างคนทั้งสองยังเป็นไปอย่างจำกัด แทบไม่มีบทสนทนาที่ลงลึกแต่อย่างใด
เช้าวันนี้ หลังจากอู๋ฝานออกกำลังกายเสร็จ เขาไม่ได้กลับที่พัก แต่ตรงไปที่ออฟฟิศ
วันนี้เป็นวันแรกที่มหาวิทยาลัยเจียงโจวเริ่มภาคเรียน แม้ว่าจะไม่มีชั้นเรียนให้เข้าสอน แต่อู๋ฝานก็ยังรู้สึกว่าควรต้องไปออฟฟิศ
อู๋ฝานเข้าออฟฟิศแห่งนี้เป็นครั้งที่สอง โดยครั้งแรกเป็นตอนที่มาทำเรื่องเข้าทำงาน ตอนนั้นในออฟฟิศไม่มีคนอยู่ อู๋ฝานจึงได้เดินสำรวจรอบแล้วกลับไป วันนี้ไม่ใช่เช่นเมื่อวันนั้น เมื่ออู๋ฝานมาถึงออฟฟิศ เขาพบว่ามีคนสองคนมาถึงอยู่ก่อนแล้ว
“นักศึกษา มาหาใครกัน?” ชายวัยกลางคนที่น่าจะอายุราวสี่สิบปีคนหนึ่งพบเห็นอู๋ฝานเข้ามา จึงเป็นฝ่ายเข้ามาสอบถาม
เมื่อเทียบกันในบรรดาคนที่นี่แล้ว อู๋ฝานอายุน้อยกว่าใคร ส่วนอีกคนหนึ่งมองอู๋ฝาน พร้อมกับยกดัมเบลต่อไปเรื่อย
ออฟฟิศอาจารย์พละศึกษาแตกต่างจากออฟฟิศของอาจารย์วิชาอื่น นอกจากโต๊ะแล้วยังมีอุปกรณ์ออกกำลังกายสารพัดอยู่ที่นี่
“ผมไม่ใช่นักเรียนครับ ผมเป็นอาจารย์ที่นี่เหมือนกัน” อู๋ฝานเดินไปยังโต๊ะของตัวเอง ก่อนจะมองไปยังบุคคลเมื่อครู่พร้อมแนะนำตัว “ผมอู๋ฝานครับ เป็นอาจารย์พละศึกษาคนใหม่”
“หือ?” ชายวัยกลางคนชะงักงัน คนที่กำลังยกดัมเบลอยู่ก็ชะงักพร้อมมองมายังอู๋ฝาน
“เป็นอาจารย์งั้นเหรอ?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถาม
“ใช่ครับ” อู๋ฝานชี้ยังโต๊ะของตัวเอง “โต๊ะผมอยู่ตรงนี้ครับ”
“ยังหนุ่มอยู่เลย” ชายวัยกลางคนพึมพำราวรำพึง “ฉันชื่อซุนเยวี่ย เป็นอาจารย์พละศึกษาเหมือนกัน”
อู๋ฝานมองไปยังคนหนุ่มที่ออกกำลังกายอยู่ อีกฝ่ายก็มองมายังอู๋ฝานเช่นกัน ก่อนจะกล่าวคำด้วยวาจาเย่อหยิ่งใส่ “ร่างกายแบบนั้นเอาอะไรมาสอนกัน?”
หากเทียบเปรียบกับคนทั้งสอง ร่างกายของอู๋ฝานดูผอมบางและอ่อนแอกว่า แน่นอนว่ามันก็เป็นเพียงภาพลักษณ์ ร่างกายอู๋ฝานไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนั้น ทุกครั้งที่เลเวลเพิ่มขึ้น ร่างกายของเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลง ทำให้ร่างกายมีแต่จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น สมบูรณ์แบบมากขึ้น เพียงแต่เมื่ออยู่ภายใต้เสื้อผ้า มันย่อมดูผอมบางไปบ้าง