บทที่ 52 ตลาดค้าไม้
บทที่ 52 ตลาดค้าไม้
“ที่นี่เรียกว่าเป็นป่าธรรมดาไม่ได้แล้ว แต่เป็นป่าใหญ่” อู๋ฝานยืนนิ่งพลางกล่าวด้วยความรู้สึกอิ่มเอม
ก่อนหน้านี้ หัวหน้าหมู่บ้านและคนอื่นต่างเรียกแห่งนี้กันว่าเป็นป่า อู๋ฝานจึงไม่นึกว่าพื้นที่ของมันจะกว้างใหญ่อะไร แต่แล้วภายหลังหัวหน้าหมู่บ้านได้บอก ว่าที่นี่ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านเดินทางมา มันจึงทำให้เขาเกิดความรู้สึกสงสัย แต่ตอนนี้เหมือนว่าหัวหน้าหมู่บ้านและคนอื่นจะไม่มีความเข้าใจต่อสถานที่แห่งนี้แม้แต่น้อย พวกเขาไม่ทราบด้วยซ้ำว่ามันมีของล้ำค่าอัดแน่นอยู่ ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าในที่นี้มันมีอะไรอยู่บ้าง
อู๋ฝานที่เดินมาตลอดทั้งวัน กลับยังไม่พบเห็นจุดสิ้นสุด ตัวเขาไม่อาจเดินตัดผ่านสิ่งที่ว่าป่าใหญ่ ยิ่งเขาเข้าไปลึกเท่าไร ความหนาแน่นของต้นไม้รอบด้านและสัตว์หลากสายพันธุ์ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่าไร และมีอีกไม่น้อยที่อู๋ฝานไม่เคยพบเห็นหรือได้ยินมาก่อน
และต้นไม้สูงเหล่านั้นต่างก็หนาใหญ่ขนาดราวห้าถึงหกคนโอบ สูงกว่าสิบเมตร ทั้งสูงและใหญ่ ปกคลุมบดบังฟากฟ้า แสงแดดยากจะสาดส่องลงมา ทำให้แสงสว่างในบริเวณที่อู๋ฝานอยู่ค่อนข้างหมองหม่น
เดิมอู๋ฝานคิดอยากใช้เวลาหนึ่งวันสำรวจที่นี่ แต่ตอนนี้คล้ายว่าจะไม่มากพอให้สำรวจได้ทั่ว
“พรุ่งนี้กลับมาที่นี่ ก็คงต้องเดินกลับแล้ว ไม่งั้นคงไปไม่ทันรายงานตัว” อู๋ฝานครุ่นคิดกับตัวเอง
ตามคำบอกกล่าวของหัวหน้าหมู่บ้าน คนที่ไปรายงานตัวไม่ทันกำหนดจะถูกปฏิบัติฐานหลบหนีกองทัพ และจะต้องโทษประหาร อู๋ฝานไม่ได้กลัวโทษประหาร เพราะผ่านพ้นไปไม่นาน ตัวเขาจะกลับมาอีกครั้ง แต่ที่กลัวคือการถูกกักขังจองจำ หากเป็นเช่นนั้นเขาจะยังใช้ชีวิตในโลกใบนี้ต่ออย่างไร?
ดังนั้นแล้ว จึงไม่ควรไปรายงานตัวล่าช้า
“เหมือนว่าถ้าต้องการสำรวจที่นี่ให้ทั่ว ก็มีแต่ต้องรอหลังเสร็จเรื่องรับใช้กองทัพ” อู๋ฝานพึมพำกับตัวเอง
ถัดจากนั้น ภาพฉากตรงหน้าจึงเปลี่ยนไป อู๋ฝานกลับมายังบ้านที่พักอาศัยอยู่ในโลกความเป็นจริงอีกครั้ง
แม้ว่าหนึ่งวันในเกมที่ผ่านไปเมื่อครู่ อู๋ฝานจะไม่ได้รับค่าประสบการณ์หรือเงินทอง แต่ได้รับสองภารกิจที่รางวัลตอบแทนดีเยี่ยม และยังค้นพบ ‘คลังสมบัติ’ ดังนั้นภายหลังเทเลพอร์ตกลับมา อู๋ฝานจึงอารมณ์ค่อนข้างดี กระทั่งว่าผิวปากออกมา และไม่คิดนอนเกียจคร้านต่อ แต่ใช้โทรศัพท์มือถือเข้าไปตรวจสอบราคาไม้ล้ำค่าที่พบเจอในป่าด้านหลังภูเขา
ยิ่งอู๋ฝานสำรวจมากเท่าไร ก็ยิ่งใจพองโตมากขึ้นเท่านั้น สมบัติอันยิ่งใหญ่เพียงนี้ตกเป็นของเขา ที่เหลือก็เพียงแค่รอคอยให้เขาไปขุดค้นเอามา
นับเป็นโชคดี ที่จิตใจของอู๋ฝานยังตระหนักรู้กระจ่างชัด ไม่ได้หลงระเริงไป เมื่อเกือบจะได้เวลา เขาจึงลุกไปล้างหน้าแต่งตัว ก่อนจะมุ่งตรงไปยังมหาวิทยาลัยเจียงโจว
ที่สนามกีฬา อู๋ฝานไม่คิดประหลาดใจ ที่ได้พบหลิ่วเหยียนเอ๋อร์อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อหลิ่วเหยียนเอ๋อร์วิ่งผ่าน อู๋ฝานกล่าวทักทายตามมารยาท ก่อนจะเริ่มอุ่นร่างกายต่อ
เดิมนั้นอู๋ฝานคิดไปว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์จะเพียงวิ่งผ่านไปเหมือนดังทุกครั้ง แต่เรื่องราวก็เกินคาดคิด หลิ่วเหยียนเอ๋อร์กลับหยุดลงตรงหน้า
“คืนนี้มีเวลาบ้างไหม?” เสียงอันเย็นเยือกของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ดังเข้าถามในประสาทรับฟังของอู๋ฝาน มันเหมาะสมกับใบหน้าอันงดงามของเธอ เพราะเธอมีรูปลักษณ์ที่เป็นดังเซียนผู้งดงาม
“ครับ?” อู๋ฝานชะงัก เขาไม่คิดว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์จะหยุดด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการเอ่ยคำถามเช่นนี้ขึ้นมา
“คืนนี้มีเวลาไหมคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เอ่ยถามอีกครั้ง ด้วยสีหน้าที่ยังคงเป็นเช่นเดิม
“คืนนี้…” อู๋ฝานเกิดลังเล เขาคิดอยากไปตั้งร้านบาร์บีคิวในช่วงเย็น เมื่อคืนก่อนก็ล่าช้าไปเพราะมีปาร์ตี้มื้อเย็น ทำให้คืนวันนี้เขาไม่คิดอยากล่าช้าไปอีก
“ไม่ว่าง?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ขมวดคิ้ว น้ำเสียงเริ่มเย็นเยือกยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุผลประการใดไม่ทราบ ยามพบเห็นสีหน้าของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ อู๋ฝานถึงกับต้องกลับคำพูดเดิมกลับเข้าไป สุดท้ายจึงตอบ “ได้ครับ!”
“งั้นช่วงหกโมงเย็น รอฉันที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยนะคะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับมา
เพียงสิ้นคำพูด หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็วิ่งออกไปอีกครั้ง โดยไม่เปิดโอกาสให้อู๋ฝานได้พูดตอบอะไร
อู๋ฝานมองตามหลังของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ด้วยความงงงัน
“อู๋ฝาน ทำไมนายขาดสมาธิแบบนี้กันล่ะ!” อู๋ฝืนยืนนิ่งพร้อมบ่นพึมพำกับตัวเอง
เพียงแต่ ยามเขาได้เห็นเด็กหนุ่มทั้งหลายรอบด้านมองมาที่ตนเองด้วยความอิจฉาริษยา เขาจึงกล่าวกับตัวเองต่อ “แต่ว่านะ ถ้าต้องเจอคำถามแบบนี้จากคนสวยอย่างหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ จะมีกี่คนกันที่กล้าปฏิเสธคำเชิญ?”
เพียงเพราะหลิ่วเหยียนเอ๋อร์หยุดวิ่ง ยืนนิ่งและพูดคุยไม่กี่คำกับอู๋ฝาน เด็กหนุ่มรอบด้านที่ออกกำลังกายอยู่ก็เกิดความอิจฉาสารพัดต่ออู๋ฝานแล้ว เห็นได้ชัดว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เป็นคนมีเสน่ห์เพียงใด
ทันใดนี้เอง อู๋ฝานจึงเกิดนึกได้ ถึงคำถามของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เมื่อครู่
“ชวนเดท? แต่ก็ไม่น่าใช่มั้ง? ยังไม่รู้จักอะไรกันดีด้วยซ้ำ ต้องไม่ใช่เดทอยู่แล้ว แต่จะขอให้เรารอเธอทำไมกันล่ะ?”
อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบ ดังนั้นจึงเลือกหยุดความคิด เพราะเดี๋ยวค่ำคืนนี้ก็ได้ทราบเอง
เพราะวันนี้ไม่มีชั้นเรียน อู๋ฝานที่ออกกำลังกายเสร็จแล้วจึงออกจากมหาวิทยาลัยเจียงโจว แม้ว่าไม่ได้ตรงกลับบ้าน แต่ก็ไม่ได้ไปซื้อผักที่ตลาด เพราะวันนี้คงไม่มีโอกาสได้ตั้งร้าน ดังนั้นจึงไม่ต้องเสียบไม้ด้วยเช่นกัน
อู๋ฝานเรียกแท็กซี่ มุ่งตรงไปยังตลาดค้าไม้ ปัจจุบันเขาได้พบตลาดค้าไม้ส่วนหนึ่ง อู๋ฝานจึงคิดลองไปขายให้พวกเขาดูก่อน ตราบเท่าที่จำนวนไม่ได้มากมายอะไร มันย่อมไม่กระตุ้นความสงสัยของผู้คน
เมื่อมาถึงตลาดค้าไม้ จึงได้เห็นรถที่สัญจรไปมา รถเหล่านั้นบรรทุกไม้เข้าออก แม้อู๋ฝานยังไม่ได้ศึกษาเรื่องไม้มากนัก แต่ไม้เหล่านี้ได้รับการดูแลเบื้องต้นแล้ว เพราะไร้กิ่งและใบ ดังนั้นอู๋ฝานจึงพอจำแนกจากภายนอกได้ว่าเป็นไม้ชนิดใดบ้าง
แน่นอนว่า อู๋ฝานไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้ แต่เขามาเพราะเรื่องราคาของไม้ล้ำค่าที่ตนเองพบเจอ แม้ว่าจะสามารถตัดไม้อื่นมาได้เช่นกัน แต่มูลค่าของพวกมันไม่ได้มากนัก อู๋ฝานจึงไม่คิดเสียเวลา
“พี่ชาย ดูกิจการดีพอสมควรเลยนี่ครับ” อู๋ฝานเดินเข้าไปยังร้านหนึ่ง ที่ซึ่งมีคนหนุ่มกำลังควบคุมคนงานขนย้ายไม้ลงจากรถ อู๋ฝานจึงเดินเข้าไปส่งบุหรี่ให้พร้อมคำทักทายสุภาพ
“ก็ดีมั้ง?” อีกฝ่ายรับบุหรี่จากอู๋ฝานพลางตอบรับอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร “มาซื้อไม้ หรือว่ามาขายไม้กันล่ะ?”
“ขายครับ” อู๋ฝานตอบรับ
“แล้วไม้อยู่ที่ไหน? มีจำนวนเท่าไหร่? เป็นไม้พันธุ์อะไร?” ชายคนนั้นเอ่ยถามพลางสูบบุหรี่ไปด้วย
“ไม้ยังไม่ได้จัดส่งมาครับ ผมยังไม่เคยทำกิจการค้าไม้ นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ผมเลยอยากจะมาตรวจสอบตลาดก่อนน่ะครับ” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ
“ระมัดระวังดี” ชายหนุ่มยิ้มตอบรับ “ทำแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ที่นี่ก็มีกิจการมากมาย ราคาส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ไม่มีใครโกงใคร ดังนั้นราคาที่เสนอให้จะไม่โกงนายอย่างแน่นอน”
อู๋ฝานยิ้มรับ ไม่ได้พูดคำใดตอบ ภายหลังได้มีประสบการณ์กับคนหน้าเลือดแซ่หลิวในเกมมาแล้ว อู๋ฝานจึงไม่คิดเชื่อคำของคนค้าขายโดยง่ายอีก
“พูดไป นายคิดขายไม้ชนิดไหนกันล่ะ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามไปเรื่อย
“ไม้ชิงชันครับ!” อู๋ฝานตอบกลับ