บทที่ 73 ปล้นชิง
บทที่ 73 ปล้นชิง
“ค่าสถานะของอุปกรณ์เพิ่มขึ้นมากมาย ขณะที่แต่ละเลเวลเพิ่มขึ้นเพียงแค่หนึ่งหน่วย ทั้งยังเพิ่มเลเวลยากเย็น งั้นจะเพิ่มเลเวลไปทำอะไรกัน? แค่สวมใส่ชุดอุปกรณ์ที่ดีและแข็งแกร่งมากพอ ต่อให้เลเวลต่ำก็มากพอจะเดินทางไปทั่วทุกที่ได้แล้ว” ภายหลังอ่านค่าสถานะของตนเองเรียบร้อย อู๋ฝานจึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในใจ
นับตั้งแต่มาที่โลกแห่งนี้ก็ผ่านมาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว แม้ว่าอู๋ฝานไม่ค่อยมุ่งเน้นต่อสู้กับมอนสเตอร์ แต่เขาก็สังหารมอนสเตอร์ไปแล้วไม่ใช่น้อย แม้แบบนั้นเลเวลก็เพิ่มขึ้นมาเพียงแค่สอง เป็นการแสดงให้เห็นว่าเลเวลนั้นเพิ่มขึ้นยากเพียงใด การเพิ่มเลเวลขึ้นทีละนิดที่เลวร้ายกว่าส่วนเสริมที่อุปกรณ์สวมใส่มอบให้ ค่าสถานะของอุปกรณ์สวมใส่ระดับเงินสามารถเติมเต็มเลเวลได้ราวสิบถึงยี่สิบ ยังไม่กล่าวถึงระดับทองที่จะเพิ่มค่าสถานะได้สูงและหลากหลายมากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุดังกล่าว การเพิ่มเลเวลจึงแทบดูไร้ความหมาย อู๋ฝานจึงยิ่งไม่อยากไปต่อสู้เพื่อเลื่อนเลเวลเลย เพราะมันเป็นอะไรที่ซ้ำซากและชวนน่าเบื่อ เพราะค้นพบว่าเป็นแบบนั้น เขาจึงยิ่งไม่มีแรงใจจะไปสังหารมอนสเตอร์
แท้จริงแล้ว สิ่งที่อู๋ฝานไม่ทราบ คือการที่อุปกรณ์สวมใส่ระดับเกินกว่าระดับทองส่วนใหญ่ มันมีข้อกำหนดเลเวลขั้นต่ำเพื่อใช้งาน ไม่เหมือนดังอุปกรณ์สวมใส่ที่ตัวเขาได้รับมา ที่ไม่มีข้อกำหนดเลเวลขั้นต่ำแต่อย่างใด ต่อให้ตัวเขาเลเวลเพียงแค่สาม ก็ยังสามารถสวมใส่พวกมันได้
แน่นอนว่า มันไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป อุปกรณ์สวมใส่ที่สร้างขึ้นโดยตัวตนระดับปรมาจารย์ ตามปกติแล้วจะไม่มีข้อกำหนดเลเวลขั้นต่ำ เพราะความสามารถของพวกเขาล้นเหลือ เพียงแต่ในกรณีเป็นอุปกรณ์ที่มอนสเตอร์ดร็อปออกมา หากว่าเป็นระดับทองหรือสูงขึ้นไป มันจะมีข้อกำหนดเลเวลขั้นต่ำ ไม่ใช่ว่าทุกเลเวลจะสามารถสวมใส่
ตัวตนระดับปรมาจารย์ ทั้งทวีปมีจำนวนเท่าใดกัน? มีแค่น้อยนิด!
มันเป็นเพราะอู๋ฝานโชคดีเกินไป ตัวเขาได้พบพวกเขาเหล่านั้นมากมายในหมู่บ้านมือใหม่ และได้โอกาสคำนับพวกเขาเป็นอาจารย์ พร้อมกับได้ใช้อุปกรณ์สวมใส่ที่พวกเขาสร้างขึ้น
นอกจากนี้แล้ว การสังหารมอนสเตอร์ยังดร็อปของที่ไม่สามารถสร้างขึ้นได้มากมาย ร่างของสัตว์สามารถชำแหละ และนำไปขายเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงิน
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าอุปกรณ์สวมใส่ของอู๋ฝานในปัจจุบันดีเยี่ยม แต่ตัวเขาก็ยังจำเป็นต้องสังหารมอนสเตอร์เพื่อเพิ่มเลเวล
เป็นเพียงเพราะเขายังไม่มีความเข้าใจที่กระจ่างชัด เพราะตัวเขาเป็นเพียงมือใหม่ผู้ที่เพิ่งก้าวเดินออกจาก ‘หมู่บ้านเริ่มต้น’ ทำให้ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ
และก็เป็นดังคาดคิด ถนนสู่เทศมณฑลนั้นไม่ใช่ราบรื่น เพียงออกพ้นจากหมู่บ้านได้ไม่นาน อู๋ฝานก็ประสบปัญหาเข้าเสียแล้ว
“ไอ้หนู ส่งเงินที่มีทั้งหมดมาเสีย ถ้าไม่งั้นจงระวังขวานในมือของลุงคนนี้ เพราะขวานมันไม่มีตายังไงล่ะ!” ชายร่างกำยำพร้อมขวานยักษ์ในมือ กำลังยืนขวางทางอู๋ฝานด้วยสีหน้าขึงขัง
โดนปล้นกลางทาง!
“ผมไม่มีเงิน” อู๋ฝานส่ายศีรษะ
อู๋ฝานไม่มีเงินจริง เพราะเงินอันน้อยนิดที่ได้รับมา เขาใช้ซื้อเมล็ดพันธุ์และลูกสัตว์ไปจนหมดสิ้น ขณะนี้ยังติดค้างหัวหน้าหมู่บ้านเป็นเงินไม่ใช่น้อย กระเป๋าของเขาในปัจจุบันจึงว่างเปล่า เรียกได้ว่าไม่มีเงินก็ไม่ผิด
“ไม่มีเงิน?” ชายร่างใหญ่แสดงชัดว่าไม่เชื่อคำของอู๋ฝาน “ในเมื่อไม่มีความตั้งใจจะมอบให้ เช่นนั้นข้าจะรื้อค้นจากศพเจ้าเอง! คงต้องขอเอาชีวิตอันกระจิดริดของเจ้าไปล่ะ!”
สิ้นคำพูด ชายร่างใหญ่จึงพุ่งตัวเข้าหาอู๋ฝาน รอยยิ้มดุร้ายปรากฏชัดที่ใบหน้า ขวานยักษ์ในมือตวัดสับฟันเข้าใส่ศีรษะของอู๋ฝาน จนเกิดสายลมเย็นเยือกกระโชกรุนแรง
กระบี่ยาวศิลาดำที่อู๋ฝานถืออยู่มาโดยตลอด รวมถึงอุปกรณ์สวมใส่ทั้งหมด อู๋ฝานสวมใส่อยู่กับตัวตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านเร้นลับ ดังนั้นอู๋ฝานจึงไม่คิดกลัวโจรเลเวลสิบแต่อย่างใด
แม้ว่าตัวเขาจะเลเวลเพียงสามก็ตาม
[โจร : เลเวล10 มักไปมาในป่า เชี่ยวชาญการปล้นชิงคนสัญจรและเอาชีวิต นิสัยโหดร้ายโดยธรรมชาติ กระหายเลือด เคยฆ่าคนไปแล้วสามคน ความชั่วสูง]
[พลังโจมตี 30 / พลังป้องกัน 10 / ไม่มีทักษะ / อุปกรณ์สวมใส่ : ขวานสึกหรอ]
ภายหลังอู๋ฝานตรวจสอบ พบว่าค่าสถานะที่ได้ทราบนั้นมีรายละเอียดกว่าที่เคยเป็น กระทั่งว่ามีแจ้งพลังโจมตีและพลังป้องกัน เห็นได้ชัด ว่าความแข็งแกร่งของอู๋ฝานในปัจจุบัน ด้วยพรจากอุปกรณ์ทั้งหลาย มันแข็งแกร่งมากยิ่งกว่าโจรตรงหน้า
“คนสัญจรที่ไม่มีแม้ชื่อ กล้ามาขวางทางฉันคนนี้ ถือว่าได้เปิดฉากสังหารเพื่อแสวงความยุติธรรมแทนสวรรค์ก็แล้วกัน” อู๋ฝานมองโจรปล้นชิงตรงหน้าที่พุ่งเข้าหา สีหน้าไม่มีความแตกตื่นหรือลังเลแม้แต่น้อย
ตามปกติแล้ว อู๋ฝานก็ไม่ชอบโจรปล้นชิงที่มักโหดเหี้ยมและดุร้าย คอยข่มขู่เอาชีวิตผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่คิดแสดงความเมตตา
“ไปตายซะ!” โจรคนนั้นไม่ทราบว่าตนเองต่างหากที่ตกอยู่ในอันตราย จึงพุ่งตรงเข้าหาคิดผ่าร่างอู๋ฝานออกเป็นสองท่อน
ขณะขวานใหญ่ร่วงหล่น อู๋ฝานหันหลบเลี่ยงด้านข้างได้ฉิวเฉียด ความว่องไวที่สูงถึงสิบห้าหน่วย ทำให้อู๋ฝานสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของคู่ต่อสู้โดยง่ายดาย ถัดจากนั้น กระบี่ยาวจึงพุ่งออกไปแนวเฉียง แทงเข้าใส่หน้าท้องช่วงเอวของโจรร้าย
“อั่ก!”
โจรปล้นชิงคนนี้ไม่มีแม้เศษชุดเกราะให้สวมใส่ การโจมตีด้วยกระบี่ยาวศิลาดำของอู๋ฝาน จึงสามารถแทงเข้าร่างอีกฝ่ายโดยง่ายดาย เป็นเหตุให้สามารถสร้างความเสียหายแก่คู่ต่อสู้ได้จำนวนมหาศาล
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” พบเห็นตนเองบาดเจ็บเพราะอู๋ฝาน โจรปล้นชิงจึงยิ่งโกรธเกรี้ยว ราวกับสูญเสียสติความนึกคิด เมินเฉยบาดแผลที่หลั่งเลือด ทันทีที่หลุดพ้นจากกระบี่ยาวของอู๋ฝาน จึงเหวี่ยงขวานยักษ์เข้าใส่อู๋ฝานอีกครั้งหนึ่ง
โจรปล้นชิงแม้ในสภาพดีพร้อม คิดทำร้ายอู๋ฝานยังไม่ใช่เรื่องง่าย นับประสาอะไรกับสภาพที่บาดเจ็บ อู๋ฝานจึงยิ่งสามารถหลบเลี่ยงได้โดยง่ายดาย
“อั่ก!”
กระบี่ยาวของอู๋ฝานทิ่มแทงใส่ร่างโจรปล้นชิงเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้ เขาไม่ได้เลือกตรงหน้าท้อง แต่เป็นหัวใจ โจรปล้นชิงที่หมายสังหารอู๋ฝาน กลายเป็นฝ่ายเปิดช่องว่าง อู๋ฝานจึงแทบไม่ต้องพยายาม ก็สามารถทิ่มแทงกระบี่ยาวเข้าใส่ตำแหน่งหัวใจของอีกฝ่าย
ครั้งนี้ อู๋ฝานตั้งใจชักกระบี่กลับคืน โจรปล้นชิงไม่อาจโจมตีใส่อู๋ฝานได้อีก ยามเมื่ออู๋ฝานชักกระบี่ยาวกลับคืน ร่างนั้นจึงกระตุกคาที่อยู่สองครั้ง เสียง ‘ตึง’ ดังปรากฏพร้อมกับร่างที่ล้มลงกับพื้น
ตาย!
มันคือการสังหารคนครั้งแรก แม้เขาทราบว่าอีกฝ่ายเป็นเพียง ‘มอนสเตอร์’ ที่ดูพิเศษไปบ้าง แต่อู๋ฝานก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจ โดยเฉพาะกับการที่ร่างไม่เลือนหายเหมือนดังมอนสเตอร์ตัวอื่น แต่แน่นิ่งอยู่กับที่เช่นนั้น พร้อมกับบาดแผลสองตำแหน่งที่เลือดไหลออกอย่างต่อเนื่อง คราบเลือดย้อมพื้นข้างเคียงจนกลายเป็นสีแดง ร่างของโจรปล้นชิงที่ตายด้วยความไม่ยินดี ทั้งหมดทั้งมวลส่งผลกระทบต่อระบบความนึกคิดของอู๋ฝาน
“อ้วก!”
ท้ายที่สุดแล้วอู๋ฝานก็ไม่อาจอดทนได้ จนต้องสำรอกออกมา
ระหว่างการต่อสู้ อู๋ฝานมองอีกฝ่ายเป็นเพียง ‘มอนสเตอร์’ มาโดยตลอด แต่ภายหลังการสังหาร เขากลับไม่อาจทำได้แม้แต่ยืน
ภายหลังอาเจียนอยู่ชั่วครู่ อู๋ฝานจึงค่อยฟื้นฟู ทว่าใบหน้ายังคงซีดเผือด สีหน้าแสดงออกชัดถึงความอ่อนล้า
ภายหลังออกจากหมู่บ้านมือใหม่มอนสเตอร์ตัวแรกที่พบเจอไม่อาจคุกคามเป็นอันตรายต่ออู๋ฝาน ทว่ามอบความเครียดทางจิตให้แทน
“บางที ภายหน้าเราอาจต้องพบเจอสถานการณ์ที่เหมือนกันนี้อีกหลายครั้ง โดยเฉพาะตอนนี้ที่ต้องไปรับใช้กองทัพ ต้องหาทางจัดการกับความรู้สึกไม่สบายนี่ให้ได้! แค่มองว่าพวกมันคือ ‘มอนสเตอร์’ ก็เท่านั้น” อู๋ฝานพยายามย้ำเตือนกับตัวเองอยู่ในใจ