บทที่ 93 ท้าทาย
บทที่ 93 ท้าทาย
หัวหน้าหน่วยชั่วคราวมีอภิสิทธิ์ใดไหม?
มันต้องมีบ้างสิ!
ยกตัวอย่างเช่น ตอนทานอาหาร ชามของอู๋ฝานจะได้รับน้ำซุปและซาลาเปาในปริมาณที่มากกว่าคนอื่น และตอนนอนหลับพักผ่อน อู๋ฝานจะได้อยู่เต็นท์เดี่ยว ขณะที่สมาชิกหน่วยคนอื่นจะต้องเบียดเสียดกันในเต็นท์ใหญ่ นอนบนที่นอนใหญ่ผืนเดียว และยังมีตัวอย่างเช่นตอนที่ฝึกซ้อม อู๋ฝานจะสามารถสั่งการสมาชิกหน่วย ดังนั้นตัวเขาจึงไม่ต้องฝึกซ้อมอยู่ตลอดเวลา แต่สามารถตักตวงช่วงเวลาผ่อนคลายอันน้อยนิดได้
โดยสรุปแล้วนั้น แม้ว่าตัวเขาเป็นเพียงหัวหน้าหน่วยชั่วคราว ก็ยังได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจากทหารทั่วไป บางทีอาจเพราะเป็นการจัดแจงพิเศษโดยนายพลที่อยู่เบื้องบน เพื่อให้เหล่าทหารฝึกหนัก และต่อสู้กับศัตรูอย่างห้าวหาญในยามต้องออกรบ มีเพียงแต่เลื่อนตำแหน่งขึ้น จึงสามารถได้รับอภิสิทธ์ที่แตกต่างไปจากคนอื่น
อู๋ฝานไม่คิดสนใจเรื่องอื่นมากนัก สิ่งเดียวที่เขาห่วงที่สุดคือการต้องนอนเพียงลำพังในเต็นท์ยามค่ำคืน เพราะมันมีความสำคัญสำหรับตัวเขา ดังทราบว่าในยามค่ำคืน ตัวเขาจะไม่ได้อยู่ในโลกแห่งนี้ แต่กลับไปยังโลกแห่งความจริง โดยในความเป็นจริง หากว่าตัวเขาอยู่กับคนอื่นและหายตัวไปอย่างกะทันหัน มันจะทำให้คนอื่นตระหนักรู้ ถึงเวลานั้นจะเกิดเป็นปัญหา มันจะเป็นเรื่องราวยากลำบากและทำให้เผชิญกับปัญหา
การได้อยู่ลำพังจึงช่วยลดทอนปัญหาไปได้มาก แม้ว่ายังอาจถูกพบเห็นเข้า แต่อัตราการถูกพบเห็นย่อมน้อยกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ภายหลังได้ทราบว่าหัวหน้าหน่วยได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าว อู๋ฝานจึงยิ่งตั้งใจคิดคว้าตำแหน่งหัวหน้าหน่วยมาให้จงได้!
ฝึกซ้อมตามกำหนดเวลา สำหรับอู๋ฝานที่เคยเข้าร่วมการฝึกทหารในมหาวิทยาลัย กับการฝึกที่นี่มันไม่มีอะไรแตกต่าง เพียงแต่ที่นี่มีการฝึกที่เข้มข้นกว่า แน่นอนว่าไมใช่มากมายอะไร เพราะอย่างไรแล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงกองทัพสำรอง ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมพื้นที่การสู้รบ รับผิดชอบเพียงแต่หน้าที่ทางด้านการขนส่งและงานจิปาถะ ดังนั้นการความเข้มงวดในการฝึกฝน ย่อมไม่อาจเทียบเปรียบกับทหารอาชีพ
เพียงแต่ อู๋ฝานได้พบว่าโจวซานค่อนข้างเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ระหว่างกองพันมีการเทียบเปรียบ ความเข้มข้นของการฝึกฝนในกองพันที่สามจึงยิ่งเข้มข้นมากขึ้น อู๋ฝานกระทั่งนึกสงสัย ว่าโจวซานกำลังคิดฝึกฝนพวกเขาให้กลายเป็นทหารอาชีพภายในสัปดาห์เลยด้วยซ้ำ
การฝึกอันเข้มข้นย่อมทำให้ทหารเกิดความเหนื่อยล้า เพราะมีกองพันอื่นเป็นตัวเปรียบเทียบ หลายคนในกองพันจึงเริ่มบ่นว่าการฝึกซ้อมของโจวซานเข้มข้นจนเกินไป พวกเขามารับใช้กองทัพเพียงชั่วคราว ไม่ใช่มาประจำการ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องฝึกซ้อมเข้มข้นถึงขนาดนี้
จากคำร้องเรียนที่เกิดขึ้น โจวซานจึงส่งมอบหนึ่งประโยคตอบกลับมา “ถ้าหากไม่พอใจกับการฝึกซ้อม ก็ไปสมัครเข้ากองพันอื่น”
เพียงแต่อู๋ฝานทราบดีว่ามันไม่อาจทำได้ นับตั้งแต่ถูกกำหนดให้อยู่กองพันที่สาม เว้นแต่จะเกิดสถานการณ์ที่พิเศษ พวกเขาจะไม่อาจโยกย้ายสู่กองพันอื่นจนกระทั่งสิ้นสุดช่วงเวลารับใช้กองทัพ เพราะที่นี่คือค่ายทหาร ไม่ใช่บ้าน มันไม่ใช่สถานที่ที่คิดย้ายไปไหนก็ทำได้ตามใจชอบ
“ข้าขอท้าเจ้า!” ระหว่างการฝึกซ้อมภายใน ชายร่างใหญ่ที่อยู่ในทีมของอู๋ฝานจึงเป็นฝ่ายริเริ่มเข้าหาอู๋ฝาน เพื่อร้องขอการท้าทาย
การทะเลาะกันส่วนตัว ถือเป็นข้อห้ามในค่ายทหาร เพียงแต่การท้าทายซึ่งหน้าไม่มีข้อกำหนดห้ามแต่อย่างใด กระทั่งเรียกได้ว่ามีความหาญกล้า เพราะเหล่านายพลมองว่ามันเป็นแรงขับเคลื่อนจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของทหารได้ดี เพื่อคอยรักษาเลือดของพวกเขาให้สูบฉีด
เห็นได้ชัดว่าชายร่างใหญ่ยังคงมีความไม่พอใจกับการที่อู๋ฝานได้เป็นหัวหน้าหน่วยชั่วคราว แม้ว่าโจวซานพูดชัดแล้วว่าภายหลังการฝึกซ้อมจบลง เขาจะพิจารณาแต่งตั้งหัวหน้าหน่วยแต่ละหน่วยอีกครั้ง เพียงแต่ชายร่างใหญ่ยังคงรู้สึก ว่าการยอมรับอู๋ฝานแม้เป็นการชั่วคราวก็ถือเป็นความอับอาย ที่ต้องให้คนซึ่งไม่อาจดีทัดเทียมตัวเขาต้องมาเป็นผู้นำ ดังนั้นจึงต้องการเอาชนะอู๋ฝาน โดยเอาชนะอู๋ฝานต่อหน้าสาธารณชนให้ผู้อื่นได้ทราบ ว่าเขาต่างหากคือผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นหัวหน้าหน่วยที่สุด
หากว่าเป็นก่อนหน้านี้ อู๋ฝานคงไม่คิดใส่ใจคำท้าทายเหล่านี้แต่อย่างใด กระทั่งว่าจะขันอาสายุติบทบาทตำแหน่งหัวหน้าหน่วยตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าขณะนี้มันไม่อาจทำเช่นนั้นได้
เพราะภายหลังได้ทราบว่าหัวหน้าหน่วยจะได้พักอาศัยแยกส่วนตัวภายในค่ายทหาร อู๋ฝานจึงเกิดเปลี่ยนใจ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยนี้ไม่อาจส่งมอบให้คนอื่นได้อีก
เพื่อเอาใจผู้ใต้บัญชาและจัดระเบียบภายในหน่วย เพื่อไม่ให้คนอื่นคิดช่วงชิงตำแหน่งจากตัวเขาอีก อู๋ฝานจึงตอบรับคำท้าทายของชายหนุ่มร่างใหญ่
“ก็ได้” อู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ “ไม่เพียงแต่นาย แต่ถ้าหากยังมีใครไม่ยอมรับฉันเป็นหัวหน้าหน่วย ดังนั้นตอนนี้ขอให้พูดออกมาตอนนี้ ส่งคำท้าทายเข้ามา ฉันจะตอบรับทั้งหมดเอาไว้เอง เพียงแต่ภายหลังการท้าทายครั้งนี้จบสิ้นลง หากว่าฉันยังเป็นฝ่ายชนะ ก็ขอให้เชื่อฟังทุกคำสั่งของฉันเป็นอย่างดี และจะไม่อนุญาตให้ใครตั้งคำถามกับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยของฉันได้อีก ตกลงตามนี้ไหม?”
อู๋ฝานบอกกับสมาชิกหน่วยที่เหลือ เขาทราบดีว่าตอนที่ตนเองเป็นหัวหน้าชั่วคราว มันคงไม่ใช่มีเพียงชายหนุ่มร่างใหญ่ที่เห็นต่าง ใครให้ตัวเขาดูผอมบางแบบนี้กัน? ผู้อื่นไม่ทราบพละกำลังแท้จริงของเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงต้องตัดสินโดยอาศัยรูปลักษณ์ที่เห็น ไม่แปลกหากว่าจะเกิดข้อสงสัยขึ้นมา
“เหอะ ไม่ต้องใครอื่น ข้าก็เอาชนะเจ้าได้แล้ว!” ชายร่างใหญ่ตอบกลับ
“มันไม่ใช่การตัดสินใจของนาย” อู๋ฝานตอบกลับ “ยังไงก็เสนอโอกาสให้แล้ว และโอกาสมีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น จะท้าทายฉันหรือไม่ก็ตามแต่ ทว่าภายหลังวันนี้ไป ฉันจะไม่ปล่อยให้ใครตั้งคำถามกับสถานะหัวหน้าหน่วยอีก หากไม่แล้วก็อย่าหาว่าฉันเป็นคนไม่มีมารยาท!”
“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว ข้าไม่สนว่าคนอื่นจะคิดยังไง เข้ามาได้แล้ว!” ชายร่างใหญ่เหวี่ยงแขนของตนขณะจับจ้องอู๋ฝาน
“ก็ได้” อู๋ฝานตอบรับเสียงเบา ลุกขึ้นยืน โยนกระบี่ในมือออกห่าง ขยับยืดกล้ามเนื้อและกระดูก
การแข่งขันระหว่างคนทั้งสอง ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คน กระทั่งโจวซานและหัวหน้ากองร้อยทั้งหลายที่เขาฝากฝังงาน ยังพบเห็นและมารับชมกันที่นี่
“หัวหน้า เหมือนว่าจะมีคนไม่พอใจกับการแต่งตั้งนะ” หนึ่งในผู้นำกองร้อยมองอู๋ฝานกับชายร่างใหญ่พลางเผยยิ้ม เขาไม่คิดเก็บเรื่องราวเล็กน้อยแค่นี้มาใส่ใจ อย่างไรพวกเขาก็เป็นทหารผ่านศึก เรื่องราวเหล่านี้ถือได้ว่าปกติธรรมดาพบเห็นได้มาก เป็นปกติที่สุดในค่ายทหารก็ไม่ผิดด้วยซ้ำไป
“ประเมินตัวเองสูงเกินไป” โจวซานมองยังอู๋ฝานและชายร่างใหญ่ ขณะกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย
“โอ้ หัวหน้า เหมือนว่าท่านจะเข้าข้างพ่อหนุ่มคนนั้นสินะ ให้ข้าพูดอย่างไรดี นอกจากอุปกรณ์สวมใส่แล้ว เขาดูไม่ได้พิเศษอะไรเลย ร่างกายก็ผอมบาง มองเห็นอะไรดีในตัวเขากัน?” หัวหน้ากองร้อยอีกคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ดูเอาเถอะ ชายร่างใหญ่คนนั้นไม่อาจเทียบกับเจ้าหนุ่มนั่นได้หรอก” โจวซานตอบรับ
“หัวหน้า ทำไมมั่นใจถึงขนาดนั้น”
“สัญชาตญาณ!” โจวซานตอบกลับ
“สัญชาตญาณ? หัวหน้า…ท่านไปมีความเชื่อในภาพมายาพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ไม่ใช่เคยบอกเอาไว้หรือไร ว่าสัญชาตญาณคือสิ่งสุดท้ายที่จะพึ่งพาในตอนยกขบวนทัพไปสู้รบน่ะ?”
โจวซานมองยังอู๋ฝาน ถัดจากนั้นจึงตอบเสียงเรียบ “แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้”