บทที่ 97 สถานการณ์ของแต่ละคน
บทที่ 97 สถานการณ์ของแต่ละคน
“พูดอะไรกัน ขอเพียงติดตามผมมา รับปากว่าภายหน้าพวกนายจะได้มีเนื้อทาน ไม่ใช่ได้ซดเพียงซุปที่มีเพียงไขมันลอย” อู๋ฝานพยายามกระตุ้นกำลังใจของกลุ่มคน
“จริงด้วย อยู่กับหัวหน้าต้องได้กินเนื้อ!” หนิวเอ้อเป็นคนแรกที่ตอบรับ
“ใช่ นับจากวันนี้ขอตามติดหัวหน้าไปตลอด!” เจิ้งเสี่ยวลิ่วเห็นพ้อง
“หัวหน้า หากต้องการอะไรขอเพียงบอก นับจากนี้พวกเรายินดีฟังขอรับ” สมาชิกหน่วยคนอื่นต่างประสานเสียง
มันเป็นคำสัญญาที่ยังไม่อาจทำให้เป็นจริงได้ แต่แม้แบบนั้นอู๋ฝานในใจของพวกเขา ก็มีสถานะสูงส่งและสำคัญมากยิ่งขึ้น
เดิมนั้น อู๋ฝานเพียงพูดกล่าวไปเรื่อย แต่ขณะได้เห็นสายตาจริงใจและคาดหวังของทุกคน เขาจึงเกิดรู้สึก ว่าตนเองควรทำคำสัญญาให้บรรลุ เพื่อเป็นการตอบแทนความคาดหวังของคนกลุ่มนี้
ถัดจากนั้น ทุกคนจึงร่วมหัวเราะพร้อมกับทานหมั่นโถวไปด้วยกัน โดยอู๋ฝานคิดใช้โอกาสตอนนี้ เพื่อเรียนรู้สถานการณ์ที่แต่ละคนกำลังเผชิญ
แน่นอนว่า มันไม่ต่างจากที่อู๋ฝานคาดคิด สภาพทางครอบครัวของพวกหนิวเอ้อไม่ใช่ว่าดี แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป ตามปกติแล้ว เวลาส่วนใหญ่จะประสบกับความหิวโหย พวกเขาไม่มีอาหารให้ทานเพียงพอ ยิ่งการได้ทานเนื้อจึงยิ่งเป็นไปได้ยาก
จึงไม่แปลกใจที่ภายหลังได้ซดน้ำซุป พวกเขาจะตื่นเต้นยินดีกันถ้วนหน้า กระทั่งบอกคำมั่นว่าจะพยายามทำเพื่ออู๋ฝาน
ร่างของหนิวเอ้อค่อนข้างกำยำ เดิมนั้นอู๋ฝานคิดว่าสภาพทางครอบครัวของเขาสมควรดีอยู่ หากไม่แล้วคงไม่มีความแข็งแกร่งระดับนี้ได้ แต่ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่
หนิวเอ้อเป็นเด็กกำพร้า เติบโตโดยครอบครัวนับร้อยช่วยเลี้ยงดู เป็นเด็กที่ทานได้มากตั้งแต่อายุยังน้อย จึงทำผู้คนในหมู่บ้านรู้สึกว่าเป็นภาระหนัก อย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้ร่ำรวย ตอนที่อายุสิบขวบ หนิวเอ้อจึงไปยังร้านตีเหล็กในเมือง เพื่อขอเป็นคนทำงานโดยไม่รับค่าจ้าง ขอเพียงแค่มีอาหารสามมื้อต่อวันได้ทานก็พอ
เดิมนั้น เถ้าแก่ร้านตีเหล็กคิดว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบ แต่ใครกันจะคาดคิด ว่าเด็กน้อยคนนั้นจะกินได้กินดี จนกระทั่งเติบโตขึ้นมา หนึ่งมื้อทานข้าวไปถึงสามถ้วยใหญ่ สุดท้ายครอบครัวของร้านตีเหล็กไม่อาจแบกรับได้ไหว อาหารที่มอบให้นับวันจึงยิ่งเลวร้ายลง บ่อยครั้งยังได้ทานเพียงแต่ของเหลือ ไม่ว่าจะไขมันหรือเนื้อ ก็ถือเป็นสิ่งหาได้ยาก
หนิวเอ้อทราบดีว่าหากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไป ตัวเขาจะต้องถูกขับไล่ ถึงเวลาจะมีปัญหาในการเอาชีวิตรอด ตอนนั้นเองที่ราชสำนักเรียกไปรับใช้กองทัพ หนิวเอ้อจึงเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านเดิมของตนเอง โดยบอกกับหัวหน้าหมู่บ้านว่าตนเองต้องการรับตำแหน่งเข้าร่วมกองทัพ
หัวหน้าหมู๋บ้านย่อมไม่มีความเห็นเป็นอื่น อย่างไรแล้วคนอื่นในหมู่บ้านก็ไม่มีใครยินดีไปรับใช้กองทัพ มันเป็นงานหนักและยากลำบาก ขณะที่ค่าตอบแทนก็น้อยนิด อาหารที่ได้รับก็แค่เศษอาหาร ทั้งยังอันตราย ขณะนี้หนิวเอ้อขันอาสาไปด้วยตัวเอง ไม่แปลกหากจะเห็นดีเห็นงามด้วย
หนิวเอ้อมาที่นี่อย่างไร เรื่องราวก็เป็นมาเช่นนี้
สถานการณ์ทางด้านเจิ้งเสี่ยวลิ่ว ก็ไม่ได้ดีไปกว่าหนิวเอ้อสักเท่าไร ครอบครัวของเขามีพี่น้องเจ็ดคน เขาเป็นคนที่หก ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าเจิ้งเสี่ยวลิ่ว ครอบครัวของเสี่ยวลิ่วค่อนข้างข้นแค้น พี่ชายคนโตและพี่สาวคนโต ก็ตายจากไปเพราะความหิวโหย ส่วนพี่ชายคนรองอีกสองก็อายุเยอะมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้แต่งงาน เพราะสถานะครอบครัวยากจนจนไม่อาจหาสินสอด ส่วนพี่สาวคนรอง ได้ถูกส่งตัวไปเป็นหญิงรับใช้ของครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ก็ทำได้เพียงเลี้ยงตัวเอง ไม่อาจทำเงินอะไรได้มากมายนัก
เจิ้งเสี่ยวลิ่วจึงต้องคิดหาทางเอาตัวรอด เขาต้องหาทางออกจากปัญหา หากไม่แล้ว ต่อให้ไม่หิวจนตายในภายหน้า เขาก็ไม่มีทางแต่งภรรยาได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องดูแลน้องชายอีกคนหนึ่ง
เวลานั้นเอง ที่เจิ้งเสี่ยวลิ่วคิดเข้าร่วมกองทัพ แม้ว่าไม่มีหวังที่จะได้เป็นกองทัพประจำการ เพราะมันมีสิ่งจำเป็นดังเช่นเส้นสาย มันไม่ใช่อะไรที่ทุกคนจะพึงมีได้ เพียงแต่ การได้เป็นกองทัพสำรองก็ไม่ใช่เรื่องราวเลวร้าย อย่างน้อยก็พอช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งยังพอได้เงินไปจุนเจือครอบครัว อีกทั้งหากครอบครัวขาดปากท้องไปสักคนหนึ่ง แรงกดดันย่อมลดน้อยลง
ดังนั้น เจิ้งเสี่ยวลิ่วจึงมาด้วยเหตุผลดังกล่าว
ในส่วนของสมาชิกหน่วยที่เหลือ พวกเขาก็มีเรื่องราวของตนเอง ดังนั้นบางคนจึงขันอาสามายังที่นี่ ขณะที่บางคนก็ถูกบังคับให้มา แต่ไม่ว่าพวกเขามาด้วยเหตุผลอะไร สถานะทางครอบครัวของพวกเขาก็ค่อนข้างไม่ดี หากว่าสถานะทางครอบครัวดี พวกเขาก็คงไม่มาเข้าร่วมกองทัพ อีกทั้งยังเป็นกองทัพสำรอง
ภายหลังได้ฟังเรื่องราวของพวกเขา อู๋ฝานจึงต้องลอบถอนหายใจอยู่ภายใน
อู๋ฝานมายังโลกแห่งนี้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทว่าเวลาส่วนใหญ่ มักใช้ไปกับภายในหมู่บ้านเร้นลับ มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมาจากหมู่บ้านเร้นลับ เดิมอู๋ฝานคิดว่าผู้คนในโลกแห่งนี้ ก็จะเป็นเหมือนดังที่หมู่บ้านลึกลับ ได้มีช่วงเวลาอันสุขสันต์และอุดมสมบูรณ์ หาได้เคยนึกคิดไม่ ว่าโลกแห่งนี้จะโหดร้ายเกินกว่าที่เขาเคยคิดอย่างมหาศาล
แม้ว่าในหมู่บ้านเร้นลับมีคนอยู่ไม่มาก แต่ชีวิตก็ค่อนข้างสุขสบาย แต่ละบ้านต่างก็มีพื้นที่ฟาร์มของตนเอง แม้ว่าไม่ใช่มากมาย แต่ก็เพียงพอสำหรับใช้กินดื่ม กระทั่งว่ามีการเลี้ยงสัตว์ปีกด้วยซ้ำ ไม่ใช่ขาดแคลนอาหารหรือเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ ป่าทางด้านหน้าของหมู่บ้านก็มีสัตว์ป่าที่สามารถกินได้จำนวนไม่น้อย ในป่ายังมีผลไม้ป่าและอาหารอื่น ดังนั้นแล้ว ผู้คนในหมู่บ้านเร้นลับจึงแทบไม่ต้องกังวลเรื่องกินดื่ม แม้พวกเขาอยู่ค่อนข้างชนบทที่ไม่อาจนับได้ว่าร่ำรวย แต่เพราะมีกินมีใช้พอดำรงชีวิตอย่างไม่ขัดสนก็ถือว่ามากเกินพอ
อู๋ฝานที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าผู้คนส่วนอื่นในโลกแห่งนี้อยู่อาศัยโดยสงบและสุขสันต์ เหมือนดั่งผู้คนที่หมู่บ้านเร้นลับ ขณะนี้จึงได้พบว่าความคิดดังกล่าวมันผิดไปอย่างมหันต์
ผู้คนในส่วนอื่นของโลกใบนี้ โดยเฉพาะผู้คนรากหญ้า พวกเขามีชีวิตอย่างแร้นแค้น เป็นชีวิตอันยากลำบากที่จะหาทางเอาชีวิตรอด
ด้วยเหตุดังกล่าว ในใจของอู๋ฝานจึงเกิดความตื่นตัวประการหนึ่งขึ้น
แม้ก่อนหน้านี้หนิวเอ้อกล่าวไว้ว่า ทางราชสำนักมีการปกครองที่มั่นคง และไม่เคยเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินใด ดังนั้นจึงไม่มีเหตุจำเป็นต้องรับใช้กองทัพอยู่ตลอดทั้งปี แต่สำหรับผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตในสภาพอันแสนแร้นแค้น มันเป็นเรื่องเลวร้ายหากพวกเขาหมดหนทางเอาชีวิตรอด ถึงเวลามันจะทำให้เกิดความโกลาหล ตอนนั้นสิ่งที่เรียกว่าสถานการณ์ฉุกเฉินจะบังเกิดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า และเวลานั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ตัวเขาไม่อาจมีอิสระได้อีก เพราะตลอดทั้งปีจะต้องเข้ามารับใช้กองทัพไม่ว่างเว้น
“ไม่ได้แล้ว ก่อนจะเกิดเรื่องราวใหญ่อะไรขึ้นต้องหาทางทำความดีความชอบ เพื่อจะได้หลุดพ้นจากการรับใช้กองทัพ” อู๋ฝานครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ในใจ
เพียงแต่ว่า การสร้างความดีความชอบไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะหากว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่กองทัพสำรอง มันมีแต่จะยิ่งเป็นไปได้ยาก อีกทั้ง หากว่าต้องการหลุดพ้นจากการรับใช้กองทัพ มันจะต้องไม่ใช่เพียงความดีความชอบอันแต่จะต้องใหญ่มากพอ
“ภายหลังพ้นช่วงฝึกซ้อม พวกเราจะเริ่มการขนส่งเสบียงและหญ้าไปยังแนวหน้า ถึงตอนนั้นค่อยดูว่ามีโอกาสอะไรบ้าง ต่อให้เป็นงานที่ต้องเสี่ยงไปบ้าง แต่หากได้ลองก็น่าจะคุ้มค่า” อู๋ฝานลอบตัดสินใจอยู่ภายใน
อู๋ฝานไม่หวาดเกรงภารกิจที่เสี่ยงอันตราย อย่างไรแล้วตัวเขาก็ไม่ใช่คนของโลกใบนี้ หากว่าตายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงผ่านพ้นไม่กี่วินาที ตัวเขาก็จะฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง แต่สิ่งที่อู๋ฝานเกิดกังวล คือการที่ตนเองจะไม่อาจหาโอกาสทำความดีความชอบ จนนำไปสู่สถานการณ์อันน่ารำคาญที่สุดเข้า