บทที่ 100 ตำหนิติเตียน
บทที่ 100 ตำหนิติเตียน
หลี่ปิงกลับจากออฟฟิศของอธิการบดีด้วยอาการมึนงง จนกระทั่งกลับถึงออฟฟิศของตนเอง
“นายน้อยหลี่ กลับมาแล้วหรือ? เป็นยังไงบ้าง? อธิการบดีตกลงไล่อู๋ฝานออกหรือไม่?”
“ในที่สุด แกะดำอย่างอู๋ฝานก็ถูกไล่ออกได้เสียที ออฟฟิศของเราจะได้กลับคืนความบริสุทธิ์เช่นที่เคยเป็น ทั้งหมดต้องขอบคุณนายน้อยหลี่”
“เป็นเช่นที่ว่า นายน้อยหลี่ยกระดับของสถาบันเราขึ้นไป ทางสถาบันของเราควรมอบรางวัลเลื่อนขั้นให้นายน้อยหลี่”
“อู๋ฝานถูกไล่ออก ถือว่าควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง ค่ำคืนนี้พวกเราออกไปฉลองกันมั้ย?”
“ควรค่าแก่การฉลองจริง คัลเลอร์แมนก็ถือว่าดี นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้ทานอาหารของที่นั่น ก็เอาแต่คิดถึงตลอดว่าน่าจะมีโอกาสได้ไปใช้บริการอีกสักครั้งหนึ่ง”
ทันทีที่หลี่ปิงกลับมาถึงออฟฟิศ หลี่เทียนและหวังฝูจึงเข้ามาล้อมพลางพูดคุย
หลี่ปิงไปพบอธิการบดีก็เพราะเรื่องอู๋ฝาน ทั้งหลี่เทียนและหวังฝูทราบเรื่องราวนี้อยู่ก่อนแล้ว และในความเห็นของพวกเขา ภายหลังหลี่ปิงยื่นคำร้องเรียนขึ้นไป สถานะอาจารย์ของอู๋ฝานย่อมไม่อาจรักษาเอาไว้
หลี่ปิงมองเหยียดต่ออู๋ฝานมาตลอด หากไล่อู๋ฝานออกได้ หลี่ปิงย่อมดีใจเป็นล้นพ้น ดังนั้นทันทีที่หลี่ปิงกลับมาถึง หลี่เทียนและหวังฝูจึงก้าวกันเข้ามาร่วมแสดงความยินดีออกนอกหน้า กระทั่งคิดถึงเรื่องจัดงานเลี้ยงฉลอง
คนทั้งสองที่กำลังครุ่นคิดถึงคัลเลอร์แมน วาดฝันว่าจะได้ไปอีกสักครั้งหนึ่ง ถึงเวลาจะได้ถ่ายภาพโพสต์อวดผู้คน ดังนั้นจึงเร่งรีบหยิบยกเรื่องนี้มาทำให้หลี่ปิงเกิดอารมณ์ดี เพราะเชื่อว่าหลี่ปิงจะไม่คิดปฏิเสธ ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมีโอกาสไปคัลเลอร์แมนอีกครั้ง ถือว่ามีสูงเลยทีเดียว
“บ้าฉิบ! ไม่มีเงินกันหรือยังไง? เอาแต่คิดเรื่องกินดื่มตั้งแต่วัน ถ้าไม่มีเงิน แต่ยังคิดอยากไปสถานที่อย่างคัลเลอร์แมน คิดว่ากำลังจะไปที่ไหนกัน? ไสหัวไปให้พ้นหน้าเดี๋ยวนี้!” หลี่ปิงยิ่งโกรธเกรี้ยวยามได้ยินคนทั้งสองพูดถึงเรื่องราวที่ไม่ได้เป็นอย่างใจคิด
สองคนตรงนี้ดวงตามืดบอด ไม่พบเห็นความขื่นขมทางสีหน้าที่เขาแสดงออกมาหรือไร? ถ้าหากว่าอู๋ฝานถูกไล่ออกจริง เช่นนั้นพูดกล่าวเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ กระทั่งว่าพร้อมจะเชิญพวกเขาไปเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่เสียด้วยซ้ำ
แต่ปัจจุบัน มันไม่เพียงไม่อาจไล่อู๋ฝานออก แต่เขายังต้องเป็นคนโทรหาอู๋ฝานเพื่อแจ้งความคิดเห็นของทางมหาวิทยาลัย มันนับเป็นประเด็นที่หลี่ปิงกราดเกรี้ยวเป็นที่สุด และขณะนี้คนทั้งสองยังพยายามตอกย้ำ เขาจึงไม่คิดมีมารยาทด้วยแต่อย่างใด
ทั้งหลี่เทียนและหวังฝูที่เมื่อครู่มีแรงใจล้นเหลือ ถูกหลี่ปิงสบถตอบกลับมาเช่นนี้ ถึงกับทำพวกเขาเกิดสับสนงงงวย
มันหมายความถึงอะไร? นายน้อยหลี่ดูไม่ค่อยยินดี แต่ไหงไล่อู๋ฝานออกได้แล้วไม่ยินดี? หรือจะมีเรื่องราวอะไรที่เกินคาดคิดเกิดขึ้น?
ทันใดนั้น ทั้งหลี่เทียนและหวังฝูจึงได้ตระหนักว่าสภาพอารมณ์ของหลี่ปิงไม่ถูกต้อง
แม้ว่าอับอายที่ถูกหลี่ปิงสบถตอบกลับมา แต่หลี่เทียนและหวังฝูต่างก็ไม่กล้าแสดงความโกรธใส่อีกฝ่าย ทำได้ก็เพียงนึกอับอายอยู่ในใจ พวกเขาไม่มีความกล้ามากพอที่จะโกรธหลี่ปิง
พบเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซุนเยวี่ยลอบยินดีอยู่ภายใน
เดิมนั้นซุนเยวี่ยต้องการออกหน้าพูดกล่าวอะไรออกสักหลายคำ เพราะตัวเขามีความประทับใจอันดีต่ออู๋ฝาน ขณะนี้เกิดเรื่องกับอู๋ฝาน เขาจึงเกิดไม่ใคร่สบายใจเท่าใดนัก ดังนั้นเขาจึงไม่อาจร่วมแสดงความยินดีกับคนกลุ่มนี้ได้
เรื่องราวที่ปรากฏ พบว่าตัวเขาได้ตัดสินใจอย่างถูกต้องแล้ว
ทั้งหลี่เทียนและหวังฝูเร่งรีบหันหนีจากไปอย่างนึกเสียดาย พวกเขาไม่กล้าแม้ถามหลี่ปิงด้วยซ้ำ ว่ามันเกิดเรื่องราวใดขึ้น
“กลับมา!” หลี่ปิงส่งเสียงดังขึ้น คนทั้งสองพลันหยุดชะงัก จากนั้นจึงหันมองหลี่ปิง
“พวกคุณโทรหาอู๋ฝาน บอกมันว่าทางมหาวิทยาลัยทราบดีถึงสิ่งที่มันทำ และไม่ต้องการให้มันเกิดภาระทางจิตใจต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทางมหาวิทยาลัยพร้อมประกาศความดีความชอบที่มันทำให้นักศึกษาทุกคนได้ทราบ” หลี่ปิงพยายามพูดออกมาด้วยสีหน้าอัปลักษณ์
เห็นได้ชัดว่าหลี่ปิงไม่คิดโทรแจ้งด้วยตนเอง ดังนั้นจึงคิดใช้คนอื่นทำแทน เพียงแต่ว่า ยามต้องพูดในออฟฟิศเช่นนี้ ก็ยังทำเขาต้องหงุดหงิดไม่ใช่น้อยอยู่ดี
“อ๋า?!”
ทั้งหลี่เทียนและหวังฝูได้ยินคำของหลี่ปิง จึงถึงกับชะงักงัน สีหน้าแสดงชัดซึ่งความตื่นตกใจ
เรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร? ทางมหาวิทยาลัยไม่ไล่อู๋ฝานออกงั้นหรือ? ไม่ไล่ออกยังไม่อะไร แต่กลับเห็นดีเห็นงามให้การยอมรับและพร้อมประกาศ
“อ๋าอะไร ยังมัวบื้ออยู่อีก? รีบจัดการสิ!” หลี่ปิงพูดขึ้นมา
“โอ้ พวกเราจัดการเดี๋ยวนี้” หลี่เทียนและหวังฝูเร่งรีบตอบรับ
ตอนนี้เอง ที่คนทั้งสองได้ตระหนักทราบว่าเหตุใดหลี่ปิงมีสีหน้าอัปลักษณ์ รวมถึงอารมณ์ไม่ดีอย่างรุนแรง ที่แท้ก็เพราะอู๋ฝานไม่เพียงไม่ถูกไล่ออก แต่ยังจะได้รับคำชื่นชมยกย่องจากทางมหาวิทยาลัย เมื่อนึกถึงท่าทีของหลี่ปิงที่มีต่ออู๋ฝานแล้ว ขณะนี้มีท่าทีเช่นที่เห็น นับได้ว่าเป็นเรื่องปกติ
เพียงแต่ว่า ในใจคนทั้งสองก็ยังคงสับสนและสงสัย ว่าเหตุใดทางมหาวิทยาลัยไม่ไล่อู๋ฝานออก แต่ยังเลือกที่จะชื่นชมแม้ว่ามีวิดีโอทะเลาะวิวาทปรากฏ อีกทั้งยังมีหลี่ปิงที่พยายามราดน้ำมันลงบนกองเพลิง
ซุนเยวี่ยที่อยู่ใกล้เคียงก็สับสนและสงสัยเช่นเดียวกัน เพียงแต่อู๋ฝานไม่ถูกไล่ออกก็มากพอทำให้เขาโล่งใจได้แล้ว อย่างไรตัวเขาก็มีความประทับใจอันดีต่ออู๋ฝาน แต่เพราะสัมพันธ์กับทางหลี่ปิง เขาจึงไม่อาจออกหน้าอะไรแทนอู๋ฝานได้มากนัก
ทั้งหลี่เทียนและหวังฝูพูดคุยกันเอง จนสุดท้ายตัดสินว่าเป็นหวังฝูที่ต้องต่อสายโทรหา
เพียงไม่นานภายหลังคนทั้งสองวางสาย เกิ่งหย่าเฟยจึงมาถึงออฟฟิศ
เกิ่งหย่าเฟยที่เพิ่งก้าวเข้ามาในออฟฟิศ ใจนึกฉงนและสงสัย ว่าเหตุใดวันนี้ออฟฟิศเงียบผิดปกติ มันเงียบจนเกินไปด้วยซ้ำ ทั้งหลี่เทียนและหวังฝูที่มักพูดคุยกันโดยตลอด เหตุใดวันนี้ขาดหายเงียบงันไป? มันไม่ใช่เวลาที่พวกเขาควรแสดงท่าทีกระตือรือร้นหรอกหรือ?
แม้ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น เกิ่งหย่าเฟยก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยก็ไม่มีแมลงวันสองตัวบินหึ่งข้างหูให้รำคาญ เป็นความสะอาดเรียบร้อยหมดจดดี
อีกฝั่งหนึ่ง อู๋ฝานที่เพิ่งได้รับสาย ใจกำลังนึกสับสนและงงงวย เขาไม่เคยนึกคิดมาก่อนว่าหวังฝูจะโทรหาตนเอง และยิ่งไม่คาดคิดว่าท่าทีที่ทางมหาวิทยาลัยมีต่อเขาจะกลายเป็นแบบนี้ไปเสียได้
เดิมนั้น อู๋ฝานมองว่าแม้มีเหตุผลในการทะเลาะวิวาทในที่สาธารณะก็ตาม แต่ผลกระทบย่อมไม่มีทางเป็นความดีได้ โดยเฉพาะกับช่วงเวลาที่ในเหตุการณ์มีนักศึกษาอยู่มากมาย แม้อู๋ฝานทำได้ดีแล้ว แต่ก็ควรถูกโทรเรียกไปสั่งสอน ตักเตือน หรืออาจกระทั่งถึงขั้นไล่ออก
แต่แล้ว ไม่มีเรื่องราวใดเหล่านั้นเกิดขึ้น แทนที่จะไล่ตัวเขาออก ทางมหาวิทยาลัยกลับเลือกที่จะชื่นชม และตั้งเขาเป็นตัวอย่างด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเกินความคาดหมายไปอย่างมหาศาล
“อธิการบดีของมหาวิทยาลัยเจียงโจวไม่ธรรมดาจริง ไม่เข้มงวดจนหน้ามืด” ภายหลังครุ่นคิดอยู่นาน อู๋ฝานที่ไม่อาจตระหนักทราบว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ก็ทำได้เพียงมองว่าทางมหาวิทยาลัยมีอธิการบดีที่ตัดสินใจได้ชาญฉลาด
แม้ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่สำหรับเขามันถือเป็นเรื่องดี ดังนั้นอู๋ฝานจึงไม่คิดใส่ใจอะไรอีก
อู๋ฝานที่กลับจากมหาวิทยาลัยก่อนหน้านี้ ไม่ได้มุ่งตรงกลับบ้านพักของตัวเอง แต่กำลังค้นหาสมาคมยิงธนูจากอินเตอร์เน็ต ก่อนจะเรียกแท็กซี่มุ่งตรงไปยังที่นั่น
ภายในอีกโลกหนึ่ง อู๋ฝานกลายเป็นทหารคนหนึ่ง แม้ว่ารับราชการเป็นการชั่วคราว และทำหน้าที่เป็นเพียงพลทหารลำเลียงเสบียง แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่อันตราย มันอาจต้องเข้าไปเกี่ยวข้องยังพื้นที่สู้รบ เพื่อเอาชีวิตรอดให้ดียิ่งขึ้น และเพื่อสร้างความดีความชอบ อู๋ฝานจึงมองว่าตนเองควรเตรียมการให้พร้อมยิ่งกว่าที่เป็นอยู่