บทที่ 152 ดักซุ่ม
บทที่ 152 ดักซุ่ม
หลิวอี้เตาเดินไปด้วยอาการตื่นเต้นยินดี ขณะที่อู๋ฝานเอง ก็ค่อนข้างคาดหวังกับอนาคตที่ว่าเช่นกัน
ภายในโลกแห่งเกม ไม่นานหลังอู๋ฝานมาถึง ทั้งคณะก็พร้อมออกเดินทางแล้ว เสียงของอวี่เฟยยังคงดังก้องอยู่ในหูของทุกคน เป็นคำกล่าวเร่งการเดินทางให้เร็วขึ้น
อู๋ฝานไม่ได้นั่งบนรถม้าบรรทุกอีกต่อไป แต่ต้องเดินเท้า เพื่อให้สมาชิกหน่วยสองคนที่ได้รับบาดเจ็บนั่งบนรถม้าบรรทุก เรื่องราวนี้ทำให้สมาชิกหน่วยทั้งสองรู้สึกขอบคุณชายหนุ่มจากใจจริง
ที่ระยะราวสิบกิโลเมตรจากอู๋ฝานและคณะ มันมีเนินเขาคดเคี้ยวอยู่แห่งหนึ่ง ที่ปกคลุมด้วยแมกไม้เขียวชอุ่ม ปัจจุบันมีกลุ่มคนกำลังซุกซ่อนตัว เป็นพวกผอมแห้งซูบผอม พร้อมมีอาวุธมีคมในมือ บ้างก็ถือจอบทำไร่ หรือไม่ก็มีดทำครัว สายตากำลังจับจ้องไปยังถนนอันคดเคี้ยวที่ไม่ไกลจากภูเขามากนัก
หัวหน้าของกลุ่มคนเป็นชายวัยสามสิบร่างกำยำ ใบหน้ามีรอยสักที่บ่งบอกว่าเคยเป็นคนในคุกมาก่อน เวลานี้ก็กระทำเหมือนดังคนอื่นที่สายตาจับจ้องยังถนนอันคดเคี้ยว พร้อมปรากฏรัศมีความโหดร้ายให้เห็น อีกทั้งร่างของอีกฝ่ายยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนอื่น
ชายร่างใหญ่คนนี้นามว่าหยางจื้อหู่ เมื่อปีก่อนยังเป็นคนเกียจคร้าน ภายหลังเพราะเรื่องราวภายในของอาณาจักรเหยียนเฟิงทวีความรุนแรง หลายพื้นที่เกิดการลุกฮือต่อต้าน พื้นที่ของพวกเขาก็ปรากฏกองทัพกบฏขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะชื่นชอบในความหาญกล้าและดุร้ายของอีกฝ่าย พวกเขาจึงรับตัวมาเข้าร่วม เพราะมีฝีมือดี ต่อสู้ได้อย่างดุดัน ไม่ช้าจึงกลายเป็นกระดูกสันหลังของกองทัพกบฏได้สำเร็จ
เพียงแต่ กองทัพกบฏไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว พวกเขาถูกกองทัพจากราชสำนักปราบปราม ด้วยฐานะสมาชิกคนสำคัญของกองทัพกบฏ หยางจื้อหู่จึงถูกจับกุมตัวและถูกคุมขัง สุดท้ายจึงถูกตัดสินเนรเทศ
เพียงแต่หยางจื้อหู่ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับคำตัดสินดังกล่าว กระทั่งสังหารคนของสำนักปกครองท้องถิ่นและหลบหนีระหว่างการถูกเนรเทศ สุดท้ายจึงใช้นามที่มีชื่อเสียงแต่เดิมและวิธีการอันโหดร้าย รวบรวมกลุ่มคนจนผงาดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งปีผ่านพ้นไป กองทัพกบฏของหยางจื้อหู่ไม่เพียงไม่ถูกกวาดล้าง แต่ยังแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งกองทัพมีราวสามถึงสี่พันคน และมีกองกำลังหลักคอยประจำการอยู่ กองทัพจากราชสำนักพยายามปราบปรามพวกเขาหลายครั้งแล้ว เพียงแต่ไม่เคยทำสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว
และหยางจื้อหู่จึงได้กลายเป็นบุคคลมีค่าหัว
เพียงแต่ การถูกขึ้นทะเบียนล่าค่าหัวนั้น ไม่ได้ทำให้หยางจื้อหู่รู้สึกหวาดเกรง กระทั่งนำพาเกียรติยศมาสู่สถานะตัวตนในกองทัพกบฏด้วยซ้ำ ทำให้ตัวเขายิ่งก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมากขึ้น
แม้กระนั้น กลุ่มที่เติบโตขึ้น ย่อมมีทั้งดีและเลว จุดแข็งของพวกเขาคือก้าวหน้าและแข็งแกร่งมากขึ้น ทำให้ยิ่งมีความเชื่อมั่น ว่าแม้เป็นกองทัพราชสำนักก็สามารถจัดการได้
ข้อเสียคือการที่กลุ่มเติบโตขึ้น ย่อมหมายถึงปัญหาปากท้องที่เพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบัน กลุ่มคนที่เข้าร่วมกองทัพกบฏ คือกลุ่มคนที่หิวโหยข้นแค้นไม่อาจหาอาหารกินได้ พวกเขาคือคนที่กำลังประสบกับความตายซึ่งใกล้เข้ามา จึงเป็นเหตุให้เลือกเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับได้เช่นกองทัพกบฏ ดังนั้นภายหลังเข้าร่วมกองทัพกบฏแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือการจัดลำดับความสำเร็จเร่งด่วน นั่นคือการเติมเต็มท้องที่หิวโหย
เพราะเหตุผลดังกล่าว หยางจื้อหู่เองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อาหารไม่ใช่สิ่งที่สามารถหามาได้โดยง่าย พวกบ้านหลังเล็กใกล้หมู่บ้านหรือว่าเมือง รวมถึงตระกูลใหญ่ที่มีอาหารต่างก็ถูกพวกเขาเข้าไปปล้นชิง ส่วนการปล้นชิงยุ้งฉางของเทศมณฑลแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะที่นั่นมีกองทัพประจำการของราชสำนักคอยเฝ้าระวัง แม้ว่าจะมีผู้ใต้บังคับบัญชามากมาย แต่ประสิทธิภาพทางการต่อสู้หากเทียบเปรียบกับกองทัพประจำการก็ยังต่างเกินไปมาก ไม่ต้องกล่าวถึงการปีนหอคอยหรือกำแพงเมือง ลำพังประเด็นเหล่านี้ก็ทำให้เขาต้องลังเลแล้ว
ดังนั้น หยางจื้อหู่จึงทำได้เพียงแต่คิดหาวิธีการอื่น
ปัจจุบัน เขาได้รับข่าวคราวมาว่าทางราชสำนักกำลังคิดจังส่งเสบียงและหญ้า นำไปส่งมอบให้เป็นกำลังเสริมแก่กองทัพแนวหน้า
หลังได้ทราบข่าว หยางจื้อหู่ก็เกิดตาเป็นประกายลุกโชน โดยเฉพาะยามได้ทราบว่ากลุ่มคนที่ลำเลียงขนส่งเสบียงและหญ้าครั้งนี้ เป็นเพียงกลุ่มอาสาสมัครที่รับตัวมาเป็นการชั่วคราว แทบไม่ได้รับการฝึกใด มันจึงยิ่งล่อตาล่อใจมากยิ่งขึ้น
ต้องปล้น!
โดยไม่มีแม้ความลังเล หยางจื้อหู่ตัดสินใจโดยพลัน ภายหลังสอบถามเส้นทางของคณะขนส่งลำเลียง สุดท้ายจึงเลือกดักซุ่มโจมตีที่เนินเขาแห่งนี้
“หัวหน้า คิดว่าคณะขนส่งเสบียงจะผ่านมาทางนี้จริงหรือ?” ข้างกายหยางจื้อหู่ มีชายศีรษะชี้แหลมเอ่ยคำถามกับหยางจื้อหู่
“ต้องผ่านมาทางนี้แน่ ข้าไม่เคยพลาด!” หยางจื้อหู่แสดงความมั่นใจ
เพราะคณะขนส่งเสบียงมากันด้วยรถลากหลายคัน ดังนั้นจึงต้องใช้เส้นทางขนาดใหญ่แทนที่จะใช้เส้นทางอื่นซึ่งมีความยากมากกว่า จากตำแหน่งที่หน่วยขนส่งเสบียงเริ่มจนถึงทุ่งราบรกร้าง มันมีถนนเส้นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ เช่นนั้นพวกเขาจะมีที่อื่นให้ไปอีกงั้นหรือ?
“ในรถบรรทุกของพวกมันจะมีอาหารมากมายจริงหรือไม่?” อีกคนหนึ่งเอ่ยถาม เพราะยามพูดกล่าวถึงอาหาร ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกาย ลิ้นแทบจะแลบออกมาเลียรอบริมฝีปาก ใบหน้าเผยความคะนึงหาเฝ้าฝัน
“ต้องมี และมากด้วย!” หยางจื้อหู่ตอบรับเสียงดัง ก่อนจะหันมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังตัวเองพร้อมเอ่ยคำดังขึ้นมา “กลุ่มขนส่งเสบียงต้องมาพร้อมเสบียงจำนวนมาก ต่อให้นั่งกินนอนกินสักสามวันสามคืนยังกินไม่หมดเลยด้วยซ้ำ! ถ้าหากคิดอยากจะเติมเต็มท้องกันล่ะก็ เมื่อใดถึงเวลาต่อสู้ต้องสู้ บุกรุกคืบไปอย่างเดียวเท่านั้น สังหารพวกมัน แย่งชิงเอาอาหารมา หากข้าพบเห็นใครหัวหดไม่สู้แย่งชิงอาหาร ไม่ได้รับเสบียงมาแม้แต่น้อย ก็อย่าได้คิดว่าจะได้กินข้าว! ได้ยินข้ากันชัดเจนหรือไม่?!”
“ได้ยินชัดขอรับ!” เสียงทุกคนดังตอบโดยพร้อมกัน
แม้ว่าทุกคนที่นี่ค่อนข้างร้อนรนและหวาดกลัวไปบ้าง แต่พวกเขาก็ห่วงเรื่องทำให้อิ่มท้องมากกว่า มันเป็นเรื่องที่สำคัญเกินกว่าความกลัวจะครอบงำได้
การต่อสู้อาจนำไปสู่ความตาย แต่หากไม่มีอาหารให้กิน พวกเขาก็ตายอยู่ดี
ในเมื่อเป็นเช่นที่ว่า เหตุใดไม่ลองสักตั้งดูเล่า?
เข้าร่วมกองทัพกบฏก็ถือว่ามีความผิดอย่างเป็นทางการแล้วไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นมีอะไรให้ต้องหวาดเกรงอีก?
พบเห็นท่าทีของเหล่าผู้ใต้บัญชา หยางจื้อหู่จึงเกิดพึงพอใจ มันคือผลลัพธ์ที่ตัวเขาต้องการ ความทะเยอทะยานของตัวเขานั้นยิ่งใหญ่ ย่อมไม่คิดเป็นเพียงแค่หัวหน้าตัวเล็กจ้อยของกองทัพกบฏ แต่คิดไปให้สูงยิ่งกว่า!
ดังนั้น เขาจึงต้องการทำให้คนของตนเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น การจะแข็งแกร่งขึ้นได้ ก็จำเป็นต้องมีอาหาร ส่วนเรื่องอื่นนอกเหนือจากนั้นไม่ใช่สาระสำคัญ ต่อให้พวกเขาไม่มีมีดดาบ แต่ก็ยังมีสองมือและฟันให้ใช้เป็นอาวุธต่อสู้ ตราบเท่าที่ไม่ทำให้ผู้ใต้บัญชาหิวโหยจนตกตายก็เกินพอแล้ว
ดังนั้น เมื่อคนเหล่านี้เกิดนึกถึงช่วงเวลาท้องอิ่มด้วยอาหารที่ปล้นชิงมา หยางจื้อหู่ก็คิดเรื่องแผนการแจกจ่ายอาหารเป็นที่เรียบร้อย โดยจะมอบให้เพียงส่วนน้อยป้องกันไม่ให้หิวตาย ส่วนอาหารที่เหลือ เขาจะเก็บไว้เป็นสิ่งล่อตาล่อใจกลุ่มคนให้ทำงาน
ในยุคสมัยเช่นตอนนี้ ตราบเท่าที่ครอบครองอาหาร ก็มีคนมากมายพร้อมจะหันหน้าเข้าหาเพื่อรับใช้
อาหารคือสิ่งสำคัญที่สุด
ในสถานการณ์เช่นตอนนี้ มีหรือหยางจื้อหู่จะปล่อยพวกเขากินจนอิ่มหนำ?
ขณะหยางจื้อหู่คิดว่าจะทำอะไรกับอาหารที่ปล้นชิงมา ก็พบเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งปรากฏสุดไกลสายตาแล้ว
คณะขนส่งลำเลียงเสบียงมาถึงแล้ว!