บทที่ 156 ขึ้นแนวหน้า
บทที่ 156 ขึ้นแนวหน้า
“บุกฆ่า!” หยางจื้อหู่คำรามลั่นประหนึ่งพยัคฆ์ร้าย
“ฆ่า!”
“ฆ่าพวกมัน!”
“ฆ่าพวกมันให้หมด ปล้นเอาอาหารมา!”
ทหารของกองทัพกบฏภายใต้การนำของหยางจื้อหู่ เวลานี้กำลังตะโกนเสียงดังออกมาด้วยท่าทีดุร้ายข่มขวัญ
ส่วนทางฝั่งคณะขนส่งเสบียง ปัจจุบันยิ่งแตกตื่นทำอะไรไม่ถูก
ในความเป็นจริง กำลังรบของฝั่งคณะขนส่งเสบียงนั้นอาจไม่ได้น้อยหรือมากไปกว่ากองทัพกบฏที่หิวโหย เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อน พวกเขายังเป็นเพียงแค่ชาวนา ทั้งวันเอาแต่ยุ่งกับพื้นที่เพาะปลูก ขณะที่กองทัพกบฏเหล่านี้ ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากนัก
เพียงแต่ปัจจุบัน เพราะความตายของอวี่เฟย ทำให้ขวัญกำลังใจของทั้งสองฝั่งแตกต่างกันอย่างยิ่งยวด นอกจากนี้แล้ว จำนวนผู้คนทางฝั่งทัพกบฏยังมีมากกว่าคณะขนส่งเสบียง เป็นเหตุทำให้สถานการณ์ในพื้นที่สู้รบแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
หากว่าไม่มีกองพันที่สามค้ำยัน คงเกิดการสังหารหมู่ขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทว่าเพราะกองพันที่สาม มีตัวตนเช่นอู๋ฝานกับโจวซานอยู่ แม้ว่าคณะขนส่งเสบียงจะเสียเปรียบและถูกสะกดแทบทุกหนทาง แต่ก็ไม่ใช่ล้มครืนลงเสียตรงนี้ แต่อย่างไรมันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรได้มากนัก จะล้มลงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
“อย่าเพิ่งแตกตื่น คนมีอาวุธไปยืนด้านหน้า ทุกคนคอยอยู่ชิดกันเอาไว้ ส่วนคนที่ไม่มีอาวุธให้ซ่อนด้านหลังรถขนเสบียง อย่าเพ่นพ่านไปทั่ว!” โจวซานตะโกนเสียงดังขึ้นมา
ขณะนี้ ทุกคนเริ่มสงบใจลง หากยังเพ่นพ่านไปมาประหนึ่งแมลงวันไร้หัว ไม่ช้าคงถูกศัตรูกำจัดทีละคนสองคน จนสุดท้ายคงจะไม่เหลือใครรอดชีวิต
อวี่เฟยตายแล้ว ทั้งค่ายวิหคจึงไร้ซึ่งผู้บัญชาการ ทุกคนไม่ทราบว่าควรจะต้องทำอย่างไร ตอนนี้ได้ยินคำของโจวซาน รวมกับตัวตนของอีกฝ่ายที่เป็นหัวหน้ากองพัน พวกเขาที่เสียขวัญกันเมื่อครู่ จึงมีแต่ต้องตั้งสติขึ้นให้ได้และทำตามคำสั่ง
“โจวซาน ทำไมมาสั่งคนของข้า?” หัวหน้ากองพันอื่นเกิดไม่พอใจยามเห็นว่าโจวซานออกคำสั่งกับคนของตนเอง
“ไสหัวไป!” โจวซานเตะส่งอีกฝ่าย “ข้าไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับเจ้า!”
สิ้นคำนั้นโจวซานก็เมินเฉยต่อหน้าดำเขียวคล้ำของอีกฝ่าย พร้อมตะโกนบอกทุกคนอีกครั้งหนึ่ง “คนจากกองพันที่สามขึ้นด้านหน้า ให้พี่น้องของกองพันอื่นได้มีเวลาพักหายใจ!”
แม้ว่าคนของกองพันที่สามจะค่อนข้างลุกลี้ลุกลนไปบ้าง แต่หากเทียบเปรียบกับกองพันอื่น พวกเขายังแสดงศักยภาพออกมาได้ดียิ่งกว่า รูปขบวนของพวกเขาไม่เคยแตกแถวหรือวุ่นวาย ขณะนี้หลังได้ยินคำของโจวซาน กลุ่มคนที่มีอาวุธ จึงออกมาจากด้านหลังรถขนเสบียง ยืนหยัดด้านหน้า เพื่อประจันหน้ากับทหารทัพกบฏที่กำลังบุกเข้ามา
คนจากกองพันอื่นฉวยโอกาสที่ได้รับตอนนี้ไปหลบซ่อนด้านหลังกองพันที่สาม หลังพักหายใจจึงเริ่มมีคนเสนอตัวเข้าช่วยเหลือกองพันที่สามต่อสู้กับทัพกบฏ ขณะที่บางคนหัวหดแอบซ่อนด้านหลัง ไม่กล้าแม้แสดงตัวออกมาต้านรับเรื่องราว
“จงหยุดซ่อนตัวประหนึ่งลูกหมา ไม่ว่าใครก็ตามที่มีอาวุธ จงบุกออกไปแนวหน้า! และเป็นระเบียบด้วย!” โจวซานยังคงตะโกนสั่ง “หากว่าใครมันนิ่งเฉยไม่ขยับเคลื่อนไหว ข้าจะฆ่าให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป!”
คำข่มขู่ของโจวซานเป็นเหตุให้คณะขนส่งเสบียงมีแต่ต้องสู้ ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการหรือไม่ต้องการ ขณะนี้ไม่มีใครกล้าเดิมพันหรือเสี่ยงลองว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำดังเช่นที่พูดหรือไม่
“อู๋ฝาน ฝากแนวหน้าไว้กับเจ้า!” โจวซานตะโกนบอกอู๋ฝาน
ระหว่างนี้ หลังโจวซานออกคำสั่งเคลื่อนพล สมาชิกของคณะขนส่งเสบียงจึงเริ่มตั้งรูปขบวนป้องกัน แม้ว่ายังดูโกลาหลไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด
ด้านหน้าของรูปขบวนป้องกัน ถือว่ามีความสำคัญที่สุด และอันตรายที่สุดด้วยเช่นกัน พวกเขาคือด่านหน้ารับการปะทะของศัตรู หากว่าส่วนนี้ไม่อาจค้ำยันต่อไหว เช่นนั้นรูปขบวนป้องกันที่จัดตั้งขึ้นจะเสียสภาวะ จนสุดท้ายแตกออกเป็นเสี่ยง ผลลัพธ์คือการที่ทหารคณะขนส่งเสบียงจะถูกเปิดฉากล้างสังหารเพียงฝ่ายเดียว!
ดังนั้นแล้ว แนวหน้าของรูปขบวนป้องกันถือมีความสำคัญอันสูงสุด ตัวโจวซานจำเป็นต้องออกคำสั่งจากตรงกลาง เพื่อที่ว่าหากพบเห็นช่องโหว่จะต้องรีบอุดให้ทันเวลาในทุกทิศทาง ทำให้เขาไม่อาจรับหน้าที่สำคัญดังกล่าวด้วยตนเอง ทำได้เพียงฝากฝังเอาไว้กับคนที่เชื่อใจได้
ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น บุคคลที่โจวซานเชื่อใจที่สุด ไม่ใช่หัวหน้ากองร้อยที่ติดตามตัวเขาจากค่ายวิหค แต่เป็นอู๋ฝาน!
สำหรับอู๋ฝาน โจวซานค่อนข้างมีความไว้เนื้อเชื่อใจ โดยเฉพาะหลังศึกก่อนหน้าที่ปะทะกับหมาป่าเนตรสีชาด เขาเองยังเกิดรู้สึกว่าพละกำลังของชายหนุ่มไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเองเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นแล้วจึงต้องฝากหน้าที่สำคัญที่สุดเอาไว้กับอีกฝ่าย เวลาเช่นนี้เขาทำได้เพียงต้องเชื่อใจในตัวชายคนนี้เท่านั้น
“ขอรับ!’ อู๋ฝานตะโกนเสียงดังตอบรับ
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของศัตรู อู๋ฝานไม่เพียงไม่รู้สึกประหม่าร้อนรนหรือหวาดกลัว แต่กลับเกิดรู้สึกตื่นเต้นเลือดลมสูบฉีดเสียอย่างนั้น
ภาระบนบ่ายิ่งใหญ่หนักอึ้ง ทั้งแรงกดดันยังหนักหนา มันจำเป็นต้องมีความทะนงตน
ชายหนุ่มใช้กระบี่ประหนึ่งมีด เฉือน! หั่น! สับ! ฟัน! ใส่ร่างทหารทัพกบฏที่บุกเข้าหาทีละคน
นับตั้งแต่เริ่มการศึกจนถึงปัจจุบัน อู๋ฝานสังหารคนไปแล้วไม่น้อยกว่าสิบ เขากำลังเริ่มปรับตัวรับกับสถานการณ์ได้ แรกเริ่มนั้นออกจะตึงมือแทบทนทานไม่ไหวด้วยซ้ำ แต่ไม่ช้าหลังคุ้นชิน จึงได้ทราบว่าสถานการณ์ตรงหน้านี้ หากไม่สังหารอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็สังหารตนเอง ดังนั้นเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่ว่าอะไรก็ต้องสังหารอีกฝ่ายให้จงได้
อู๋ฝานทราบดีว่าคนเหล่านี้เคยผ่านพ้นเรื่องราวแร้นแค้นใดมา พวกเขากระทำเช่นนี้ก็เพราะสถานการณ์บีบบังคับ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะเกลี้ยกล่อมคนเหล่านี้ให้วางอาวุธลงและต่างฝ่ายต่างถอย ในสายตาของพวกเขา อีกฝ่ายคือศัตรู และศัตรูคือสิ่งที่ต้องกำจัด
หากไม่คิดอยากรอคอยความตายมาเยือน ก็มีแต่ต้องสู้
ถัดจากอู๋ฝานคือสมาชิกในหน่วย หนิวเอ้อและเจิ้งเสี่ยวลิ่ว หนึ่งคนซ้ายหนึ่งคนขวายืนขนาบข้างอู๋ฝาน คนทั้งสามจึงเปรียบดังก้อนหินใหญ่สามก้อน คอยขวางหน้าหน่วยของตนเองเอาไว้ เพื่อต้านรับการโจมตีของศัตรูที่โถมเข้าใส่
ในบรรดาคนทั้งสาม อู๋ฝานแข็งแกร่งที่สุด อาจมีหลายคนที่สามารถต้านรับกระบี่ของเขาเอาไว้ได้ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นกองศพพะเนินหน้าที่ตรงนั้น
พละกำลังของหนิวเอ้อเป็นลำดับรองลงมา เขาใช้มีดยักษ์อย่างชำนาญ ทุกครั้งที่ฟันออกไปจะอัดแน่นด้วยพลังอันเปี่ยมล้น ทหารกองทัพกบฎที่บุกเข้าหาจึงเกิดหวาดกลัวก่อนจะทันได้สู้ เพราะพละกำลังแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนทางด้านเจิ้งเสี่ยวลิ่ว พละกำลังของเขานั้นด้อยกว่าคนทั้งสอง กระทั่งแย่ยิ่งกว่าคนอื่นที่เหลือในหน่วยของอู๋ฝาน เพียงแต่จิตใจแน่วแน่ ร่างกายปราดเปรียวรวดเร็ว อู๋ฝานยังเกิดรู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมาะเป็นหน่วยสอดแนม การศึกประจัญซึ่งหน้าเช่นตอนนี้ค่อนข้างไม่เหมาะสมกับเขาสักเท่าใดนัก
“เสี่ยวลิ่วถอยไปแนวหลัง หลี่ว์ปินขึ้นมาด้านหน้า!” พบเห็นเสี่ยวลิ่วต่อสู้ด้วยอาการค่อนข้างตื่นตระหนก อู๋ฝานจึงออกคำสั่งให้เขาถอยไปแนวหลัง
“ขอรับ!” หลี่ว์ปินตอบรับโดยทันที
“หัวหน้า ข้า…” เจิ้งเสี่ยวลิ่วไม่คิดถอยกลับไปเช่นนี้ เพราะเขารู้สึกได้ราวกับตนเองเป็นตัวถ่วง
“หยุดพูด ทำตามคำสั่ง!” อู๋ฝานไม่มีเวลาอธิบาย ดังนั้นจึงได้แต่ยืนกรานคำสั่ง
“ขอรับ!” เจิ้งเสี่ยวลิ่วตอบรับ ชั่วขณะจึงสับเปลี่ยนตำแหน่งกับหลี่ว์ปิน