บทที่ 163 ขยะ
บทที่ 163 ขยะ
“หกสิบล้านครั้งที่หนึ่ง!” พิธีกรบนเวทีตะโกนขานราคา “มีท่านใดให้สูงกว่านี้หรือเปล่าครับ?”
พิธีกรจับจ้องที่หวังจื่อหมิง ราวกำลังรอคอยให้เขาเสนอราคาเพิ่ม ทุกคนในห้องโถงต่างก็มองอีกฝ่ายเช่นกัน ราคาเท่านี้มีเพียงหวังจื่อหมิงที่กล้าไปต่อ คนอื่นนั้นไม่คิดเสนอราคาแม้แต่น้อย เพราะไม่มีใครในที่นี้กระหายอยากครอบครองมากขนาดนั้น
ทว่าหวังจื่อหมิงกลับนั่งนิ่งด้วยสีหน้าสงบ ราวกับไม่รับรู้ถึงสายตาที่ผู้คนรอบด้านมองมา กระทั่งกระซิบกระซาบอยู่กับอู๋ฝานถึงเรื่องของภาพวาดที่อยู่บนเวที แม้เมื่อครู่จะสู้ตายเพื่อซื้อหามาครอบครอง แต่ตอนนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเลยด้วยซ้ำ
เหตุใดเขาจึงยอมปล่อยมืออย่างกะทันหันเช่นนี้?
หลังเห็นท่าทีของหวังจื่อหมิง หลายคนจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายยอมถอยแล้วจริง และไม่มีความคิดที่จะเสนอราคาสู้ต่อ เพียงแต่สิ่งที่ทุกคนยังไม่ทราบคือสาเหตุที่ชายหนุ่มล้มเลิกอย่างกะทันหัน
“นายน้อยหวัง หมดเงินแล้วงั้นเหรอ? ตระกูลหวังคงกำลังขาดเงินอยู่สินะ? ผมให้ยืมดีไหม?” เจียงอวี่ยังคงพยายามพูดจายั่วยุโทสะหวังจื่อหมิง
“ขอบคุณในความหวังดีของนายน้อยเจียงก็แล้วกัน” หวังจื่อหมิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่ใช่ด้วยสีหน้าเหยเกเช่นก่อนหน้านี้ “เพียงแต่ฉันคนนี้ไม่ได้ขาดเงิน ตระกูลหวังของเราก็ไม่ได้ขาดเงิน เพียงแค่ไม่คิดอยากเสียเงินก็เท่านั้น”
ไม่อยากเสียเงิน? ถ้าอย่างนั้นการเสนอราคาก่อนหน้านี้หมายความว่าอย่างไร? เห็นได้ชัดว่าราคาที่เสนอมันเกินมูลค่าของภาพวาดไปแล้ว แต่ก็ยังเสนอต่อ การพูดตอนนี้ว่าไม่อยากเสียเงิน ต้องการสื่อถึงอะไรกันแน่?
คนบางส่วนในที่นี้ไม่เชื่อคำของหวังจื่อหมิง เพียงแต่พวกเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
ผู้เฒ่าฟางเองก็รับชมมาโดยตลอด แต่มุมมองของเขานั้นแตกต่างไปจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด คนอื่นคาดเดาว่าเหตุใดหวังจื่อหมิงจึงยอมปล่อยมืออย่างกะทันหัน แต่ชายชรากำลังมองที่อู๋ฝาน
เมื่อครู่ผู้เฒ่าฟางเห็นอย่างชัดเจนว่าหวังจื่อหมิงพูดคุยอะไรอยู่กับอู๋ฝาน ระหว่างนั้นสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ตัดสินใจทิ้งการเสนอราคา เขาจึงคาดเดาว่าที่นายน้อยหวังถอนตัวอย่างกะทันหัน อาจเป็นเพราะอู๋ฝานที่อยู่เคียงข้างบอกกล่าวอะไรสักอย่าง
เมื่อนึกถึงอู๋ฝานที่เคยพยายามเตือนตนเองไม่ให้ซื้อสินค้าเมื่อวันก่อน ผู้เฒ่าฟางจึงคิดว่าชายหนุ่มพบเห็นอะไรเข้า ดังนั้นจึงเอ่ยเตือนหวังจื่อหมิง จนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายที่หมายมั่นเอาชัยก่อนหน้าถอนตัวอย่างกะทันหันเสียได้
“อู๋ฝาน เธอเป็นใครกันแน่?” ผู้เฒ่าฟางพึมพำกับตัวเอง
หลังแยกกับอู๋ฝานเมื่อวันก่อน ผู้เฒ่าฟางก็จัดแจงส่งคนไปตรวจสอบชายหนุ่ม ก่อนพบว่าตัวตนของเขาช่างราบเรียบ ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง ข้อมูลจึงสามารถสืบมาได้อย่างรวดเร็ว แต่หลังจากอ่านข้อมูลที่สืบมาแล้ว ชายชรากลับยิ่งสงสัยในตัวตนของอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น
ตามข้อมูลที่ได้ตรวจสอบมา อู๋ฝานมีความสามารถด้านการทำอาหารมาจากที่ไหน เรื่องของไม้ชิงชันเป็นมาอย่างไร ความสามารถในการตรวจสอบวิเคราะห์คืออะไร มันไม่มีคำอธิบายอะไรทั้งสิ้น อีกฝ่ายจึงเปรียบดังหมอกควันที่ดูเรียบง่าย คล้ายคนธรรมดา แต่กลับเต็มไปด้วยความลึกลับที่ไม่อาจคาดเดาได้
ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าฟางนึกสงสัยว่าอู๋ฝานอาจมีแรงจูงใจอื่นในการเข้าหา แต่หลังอ่านข้อมูลของชายหนุ่ม เขาจึงคลายความสงสัยไปโดยปริยาย เพราะความเป็นมานั้นธรรมดา ไม่เคยข้องเกี่ยวกับการฝึกฝนอะไรเลยทั้งสิ้น
แต่อู๋ฝานที่ไม่เคยข้องเกี่ยวกับการฝึกฝน ไฉนร่างกายจึงมีเลือดลมไหลเวียนได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนั้น?
มันไม่มีคำที่สามารถอธิบายได้
เพราะอู๋ฝานมีเรื่องราวที่ไม่อาจอธิบายได้อยู่มากจนเกินไป ผู้เฒ่าฟางจึงยิ่งสงสัยในตัวตนของเขา กระหายใคร่รู้มากยิ่งกว่าที่เป็น ดังนั้นก่อนเริ่มการประมูลตนจึงขอเวลาได้พูดคุยสนทนากับชายหนุ่มอีกครั้ง
“หกสิบล้านครั้งที่สอง!” เห็นหวังจื่อหมิงไม่มีทีท่าจะเสนอราคาอีก พิธีกรดำเนินงานประมูลจึงตะโกนขึ้นอีกครั้ง
เจียงอวี่เผยสีหน้าเหยเก หรือว่าภาพวาดนี้จะต้องตกอยู่ในมือของเขาเสียแล้ว? ทั้งที่แรกเริ่มตนก็ไม่คิดอยากจะซื้อหรืออยากได้มันเลยด้วยซ้ำ
หกสิบล้านสำหรับเจียงอวี่ มันไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลย เขาเป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลที่ร่ำรวย แต่ไม่ได้มีอำนาจมากถึงขนาดนั้น ปกติแล้วมักกินดื่ม ใช้จ่าย และสวมใส่ตามที่ตระกูลจัดสรรให้ หกสิบล้านหยวน เพียงเพื่อซื้อภาพใบหนึ่ง ตนยังจำเป็นต้องร้องขอเงินจากทางบ้านพร้อมเหตุผลที่เหมาะสม
“แต่ถือว่าครั้งนี้ฉันชนะล่ะนะ ส่วนหวังจื่อหมิงก็จะถูกเคลือบแคลง ถือว่าประสบความสำเร็จอยู่” เจียงอวี่พยายามปลอบใจตนเอง
“หกสิบล้านครั้งที่สาม!”
“ขายครับ!”
ค้อนถูกเคาะจึงสิ้นสุดการเสนอราคา การซื้อขายถือเป็นอันยุติ ภาพวาดน้ำหมึกที่เต็มไปด้วยหัวข้อสนทนาหลากหลาย ในที่สุดก็ตกไปอยู่ในมือของเจียงอวี่ที่มูลค่าหกสิบล้านหยวน
“นายน้อยเจียงยอดเยี่ยมจริง ๆ”
“ยินดีด้วย ยินดีด้วย”
ผู้คนรอบด้านต่างแสดงความยินดีกับเจียงอวี่ ขณะที่เขาเกิดรู้สึกขื่นขมอยู่ในใจ เพียงแต่สีหน้ายังคงยิ้มแย้ม ขณะรับมือกับผู้คนรอบด้าน สายตาก็มองยังหวังจื่อหมิงคล้ายคิดหาเรื่อง
“นายน้อยหวัง ต้องขออภัย ภาพวาดที่นายน้อยชื่นชอบกลายเป็นของผมไปซะแล้ว ไม่ทราบเลยว่าวันนี้นายน้อยหวังจะอธิบายให้พ่อของคุณฟังอย่างไร ฮ่าฮ่าฮ่า” เจียงอวี่หัวเราะเสียงดัง
สาเหตุที่เขาเสนอราคาซื้อภาพวาดนี้ ก็เพื่อหมายตบหน้าหวังจื่อหมิง แม้ว่าเรื่องราวปัจจุบันจะแตกต่างไปจากที่คาดคิดเอาไว้พอสมควร แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงขนาดไม่สามารถเยาะเย้ยอีกฝ่ายได้
“ถ้าชอบ ก็เก็บเอาไว้ให้ดี” หวังจื่อหมิงตอบคำเสียงเบา “แต่หวังว่าจะไม่นึกเสียใจภายหลังก็แล้วกัน”
“เสียใจ? ยังต้องเสียใจเรื่องอะไรกัน?” เจียงอวี่เอ่ยถาม “แม้ว่าหกสิบล้านจะไม่ใช่เงินเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นจำนวนที่ผมสามารถจ่ายได้ คุณคิดว่านายน้อยคนโตของตระกูลเจียงอย่างผม จะเสียดายกับแค่เงินหกสิบล้านงั้นเหรอ? เป็นนายน้อยหวังต่างหากที่แค่หกสิบล้านยังจ่ายไม่ได้ ทำเอาผมสงสัยขึ้นมาเลยว่าความแข็งแกร่งของตระกูลหวังในอดีตมันไปไหนหมดแล้ว ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าตระกูลหวังประสบปัญหา ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่แค่ข่าวลือแล้วล่ะมั้ง”
“เรื่องของตระกูลหวังไม่ใช่เรื่องที่นายจะต้องห่วงหรอกนะ ถ้ามีเวลามากก็เก็บไว้ดูแลตัวเองเถอะ บางทีหกสิบล้านที่จ่ายไปอาจไม่ใช่สมบัติ แต่เป็นขยะก็ได้!” หวังจื่อหมิงตอบกลับ
“ขยะ?” เจียงอวี่เผยยิ้มเหยียดหยัน “นายน้อยหวัง คุณที่ไม่มีเงินซื้อมาเป็นของตนเอง ตอนนี้ถึงกับพูดคำเหล่านี้กับคนอื่นแล้ว?”
“เหอะ เหอะ” หวังจื่อหมิงยิ้มตอบเจียงอวี่ โดยไม่พูดคำใดอีก
งานประมูลยังคงดำเนินต่อไป
หลังศึกความเกลียดชังระหว่างหวังจื่อหมิงและเจียงอวี่จบสิ้นลง ทั้งห้องโถงงานประมูลจึงเริ่มสงบขึ้น
มันเป็นเช่นนั้นไปจนกระทั่ง [ส่งแขกกลับ] ที่อู๋ฝานและหวังจื่อหมิงส่งเข้าประมูลถูกนำออกมา พร้อมกับบรรยากาศรอบด้านที่เปลี่ยนเป็นคึกคักอีกครั้งหนึ่ง
“ขณะนี้ พวกเราจะเริ่มการประมูลสินค้าชิ้นถัดไป และมันยังเป็นสินค้าชิ้นสุดท้ายของค่ำคืนนี้ด้วยครับ” พิธีกรพูดเสียงดังมากขึ้น พร้อมกับคลี่งานภาพคัดลายมืออันเก่าแก่ตรงหน้าผู้คนมากมาย
ใจของอู๋ฝานยิ่งเต้นรัวเร็ว
สุดท้ายปัญหาเรื่องเงินทุนซื้อร้านของเขาจะได้รับการคลี่คลายหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับมันแล้ว!