บทที่ 166 ของปลอม
บทที่ 166 ของปลอม
“ฉันเลือกเป็นฝ่ายยอมปล่อยมือด้วยตัวเองหรอก” หวังจื่อหมิงตอบกลับ
“เลือกยอมเองงั้นเหรอครับ?” เจียงอวี่ยิ่งหัวเราะดังราวกับภูมิอกภูมิใจเป็นล้นพ้น “นายน้อยหวัง เหมือนคุณเองก็เรียนรู้วิธีการพูดจามาบ้างแล้วล่ะมั้งครับ? มีใครไม่รู้บ้างว่าพ่อของคุณชอบผลงานของหลี่เยี่ยนจื่อ ทั้งยังเป็นผลงานชิ้นเอก กว่าจะมีเข้ามาประมูลไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ทำไมถึงยอมเลิกรากะทันหันกันล่ะครับ? ถ้าซื้อไม่ไหวก็บอกว่าไม่ไหว ไม่ใช่ใช้คำพูดเลี่ยงความจริง”
คนในแวดวงเจียงโจวทราบกันดีว่าหวังจื่อหมิงและเจียงอวี่มีเรื่องราวพิพาทโต้เถียงกันเช่นไร และค่ำคืนนี้ หลายคนในแวดวงดังกล่าวก็มาเยือนกันไม่ใช่น้อย จึงไม่แปลกหากพวกเขาจะเห็นเจียงอวี่เป็นฝ่ายเข้าปะทะคารมกับหวังจื่อหมิง หลายคนกระทั่งหันมองด้วยความสนใจ ราวกับรับชมละครสนุกฉากหนึ่ง มันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เจียงอวี่จงใจมุ่งเข้าหาเรื่องอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
อย่างไรหวังจื่อหมิงก็อยู่ในเจียงโจว ขณะนี้ถูกเจียงอวี่หาเรื่องต่อหน้าผู้คน ไม่แปลกหากสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ภาพวาดดังกล่าวนั้นนายน้อยหวังตั้งใจยอมปล่อยวางด้วยตัวเองจริงครับ” ขณะนี้เองที่อู๋ฝานเอ่ยคำขึ้น
“นายเป็นใคร? ใช่ที่ให้นายเสนอหน้าพูดได้เหรอ?” เจียงอวี่ไม่พอใจที่อู๋ฝานเอ่ยคำขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ที่นี่คือโรงประมูลดอกไม้งาม ผมเป็นแขกของที่นี่ แต่ที่นี่ไม่มีที่ให้ผมพูดงั้นหรอกเหรอเนี่ย?” อู๋ฝานตอบคำกลับ “ก็อาจเป็นไปได้นะครับ นายน้อยเจียงซื้อโรงประมูลดอกไม้งามขึ้นเป็นเจ้าของแทนแล้วใช่หรือไม่ครับ?”
โรงประมูลดอกไม้งามถือเป็นหนึ่งในสี่โรงประมูลใหญ่ในประเทศ รากฐานแข็งแกร่ง แม้ว่าไม่กี่ปีมานี้จะมีผู้เข้าแข่งขันในวงการเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด แต่ขนาดของที่นี่ก็ยังถือว่ายิ่งใหญ่ แม้ตระกูลเจียงของเจียงอวี่จะร่ำรวยไม่น้อย แต่หากกล่าวว่าสามารถเป็นเจ้าของโรงประมูลดอกไม้งามได้นั้น ยังออกจะเป็นเรื่องเกินจริงมากจนเกินไป
“ฝีปากแหลมคมดี” เจียงอวี่เผยสีหน้าดำมืดตอบกลับ “พวกคุณสองคนก็คงมีเพียงแค่ฝีปากสินะครับ”
“จะด้วยอะไรก็ดีกว่านายน้อยเจียงที่จ่ายหกสิบล้านซื้อเศษขยะไปนะครับ” อู๋ฝานตอบกลับ
แม้เป็นไปได้ว่าการกระทำครั้งนี้อาจยั่วยุเจียงอวี่ แต่อย่างไรแล้วหวังจื่อหมิงก็ยอมเชื่อคำแนะนำของเขา ยอมปล่อยวางการแข่งขันเสนอราคา ขณะนี้อีกฝ่ายมุ่งตรงมาเย้ยหยันสร้างความอับอายต่อหน้าผู้คน ไม่แปลกหากอู๋ฝานมองว่าตนเองควรต้องรับผิดชอบบ้างสักส่วนหนึ่ง
“เหอะ ของที่พวกคุณซื้อไม่ได้ กลับเรียกมันว่าเศษขยะเนี่ยนะครับ?” เจียงอวี่เผยยิ้มกว้าง สีหน้าท่าทีเวลานี้ทั้งค่อนแคะและดูหมิ่น “นายน้อยหวัง เพราะคุณจ่ายไม่ไหวเองไม่ใช่หรือยังไงครับ?”
“ไม่ใช่ว่าจ่ายไม่ไหว แต่ที่ไม่ทำเพราะมันคือการซื้อขยะชิ้นหนึ่ง” หวังจื่อหมิงตอบกลับ “ฉันคงไม่จ่ายหกสิบล้านซื้อของปลอมหรอก”
ของปลอม!
สองคำที่หลุดจากปากของหวังจื่อหมิง เป็นการดึงความสนใจของผู้คนมากมายในที่นี้ เดิมพวกเขากำลังรับชมบทวิวาทระหว่างชายหนุ่มกับเจียงอวี่ ขณะนี้อีกฝ่ายกลับถึงขั้นพูดออกมาว่าหกสิบล้านที่เจียงอวี่จ่ายซื้อภาพดังกล่าว มันเป็นของปลอม เรื่องราวนี้จึงยิ่งทำทั้งสถานที่ฮือฮาอึกทึก
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นายน้อยหวัง น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ผมมองคุณเป็นคู่แข่งมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่แพ้ไม่รู้จักแพ้ไปเสียแล้วนะครับ” เจียงอวี่หัวเราะตอบรับ “ภาพวาดนี้ไม่เพียงแต่ได้รับการยืนยันโดยโรงประมูลดอกไม้งาม แต่หลายคนก็ยังได้ขึ้นไปตรวจสอบอย่างใกล้ชิดแล้ว ไม่มีใครพบปัญหาแม้แต่คนเดียว คุณเอาอะไรมาพูดว่าเป็นของปลอม?! กำลังจะทำให้ผมคนนี้หัวเราะจนท้องแข็งตายเหรอ? หรือจะบอกว่าคนมากมายที่ขึ้นไปตรวจสอบนั้นสายตาไม่ดีเท่าตัวเองกันแน่? ถ้าอย่างนั้นบอกมาว่าภาพวาดนี้มันเป็นของปลอมที่ตรงไหน!”
หวังจื่อหมิงพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง สายตาหันมองอู๋ฝานโดยไม่รู้ตัว เขากล่าวว่าภาพวาดเป็นของปลอมก็เพราะชายหนุ่มบอกมาเช่นนั้น เป็นอีกฝ่ายที่มองออกว่ามันคือของปลอม ส่วนสำหรับตัวตนเองนั้น ไม่พบเห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ขณะนี้จึงไม่แปลกหากจะต้องโยนประเด็นนี้ให้คนอื่นรับผิดชอบต่อ
“ภาพวาดนั้นเป็นของปลอมไม่ผิดแน่ครับ” อู๋ฝานทราบดีว่าถึงคราวตนเองต้องเอ่ยปากแล้ว “หากนายน้อยเจียงและทุกท่านในที่นี้ไม่เชื่อ ผมสามารถชี้แนะให้เห็นได้”
“ก็ได้ ฉันล่ะอยากเห็นจริง ๆ ว่านายจะชี้แนะอะไร!” เจียงอวี่ยังคงเย้ยหยันไม่เลิกรา สุดท้ายจึงคลี่กางภาพวาดในมือออก เขาไม่เชื่อคำของอู๋ฝานและหวังจื่อหมิง เจียงอวี่คิดไปว่าคนทั้งสองกำลังดื้อรั้นจนเกินตัว มันถือเป็นโอกาสอันเหมาะสมที่จะเปิดโปงความดื้อรั้นของทั้งสอง เพื่อเป็นการตบหน้าอีกสักครั้ง!
ด้วยการกระทำครั้งนี้ หกสิบล้านที่จ่ายไปจะยิ่งคู่ควร!
ตอนนี้เองที่หลายคนรอบด้านได้ยินบทสนทนาดังกล่าว พวกเขาจึงมารวมตัวตั้งวงล้อมรับชม อย่างไรแล้วภาพวาดดังกล่าวก็ถูกซื้อไปด้วยมูลค่าหกสิบล้าน นับได้ว่าเป็นอันดับที่สองรองจากส่งแขกกลับ ไม่แปลกหากจะมีหลายคนให้ความสนใจ
เพียงแต่ผู้คนส่วนใหญ่มองว่าอู๋ฝานพูดจาไร้สาระไม่มีความน่าเชื่อถือ อย่างไรแล้วพวกเขาหลายคนก็ได้ตรวจสอบภาพวาดด้วยตนเองกันถ้วนหน้า ไม่มีใครพบเห็นความผิดปกติทั้งสิ้น พวกเขายังไม่พบว่ามันมีปัญหา หรือจะบอกว่ามีอีกฝ่ายคนเดียวที่เห็นสิ่งที่ทุกคนมองข้าม?
เห็นได้ชัดว่าในสายตาของพวกเขา มันไม่อาจเป็นไปได้
แต่สำหรับผู้เฒ่าฟางและเหล่าหลี่ที่เคยช่วยตรวจสอบผลงานส่งแขกกลับมาด้วยตนเอง พวกเขามีความประทับใจมอบให้แก่อู๋ฝานอย่างแรงกล้า ตลอดมาคนทั้งสองรู้สึกว่าชายหนุ่มไม่ใช่พูดเพื่อแก้ตัว แต่เป็นพบเห็นอะไรเข้าจึงเอ่ยคำเช่นที่ว่าจริง
“ภายนอกนั้น ผลงานภาพวาดนี้ดูคล้ายกับเทคนิคการสร้างผลงานของอาจารย์หลี่เยี่ยนจื่อ แต่แท้จริงแล้วมันไม่ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยอาจารย์หลี่เยี่ยนจื่อ” เผชิญหน้ากับผู้คนมากมาย ทว่าอู๋ฝานยังสามารถพูดจาได้อย่างฉะฉาน ไม่มีแม้อาการแตกตื่นให้พบเห็น ด้วยวิชาตรวจสอบที่ระบุชัดเจนแล้ว ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็เพียงแค่แจงรายละเอียดตามวิชาตรวจสอบออกไป
“นายบอกว่าไม่ใช่ ก็ไม่ใช่ว่ามันจะใช่เรื่องจริงสักหน่อย” เจียงอวี่เย้ยหยัน
“ในตอนที่อาจารย์หลี่เยี่ยนจื่อวาดภาพนก เขามีนิสัยส่วนตัวเช่นกันการวาดขนนกให้เงยขึ้นเล็กน้อย แต่ภาพวาดนี้ ขนนกที่เห็นมันค่อนข้างตรงจนเกินไป” อู๋ฝานเมินเฉยคำเย้ยหยันของเจียงอวี่ โดยยังคงบรรยายต่อไป “ยังมีเรื่องเทคนิคการรวมน้ำหมึก ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ทำการรวมน้ำหมึกในโครงสร้างของภาพ เพราะหากไม่ระมัดระวัง มันจะเป็นการทำลายโครงสร้างโดยรวมของภาพ แต่ไม่ใช่กับอาจารย์หลี่เยี่ยนจื่อ เขามักจะรวมน้ำหมึกในโครงสร้าง สิ่งที่แสดงออกจึงแตกต่างไปจากผลงานของคนอื่น และผู้ที่วาดภาพนี้ขึ้น เห็นได้ชัดว่ายังไปไม่ถึงระดับนั้น ทำให้เขาไม่กล้าที่จะรวมน้ำหมึกในชั้นโครงสร้าง ถ้าไม่เชื่อที่ผมพูด ลองพิจารณาใกล้ ๆ ดูได้เลยครับ”
ได้ยินดังนั้นฝูงชนรอบด้านจึงมองไปยังภาพวาดในมือเจียงอวี่โดยไม่รู้ตัว มันเป็นจริงดังคำบอกเล่าของอู๋ฝาน โครงสร้างแตกต่างไปตามคำบรรยาย ไม่มีการรวมน้ำหมึกในชั้นโครงสร้างให้พบเห็น
หลายคนในที่นี้เริ่มแสดงสีหน้างุนงงออกมา พวกเขาล้วนทราบดีว่าอาจารย์หลี่เยี่ยนจื่อมีนิสัยส่วนตัวอย่างไร ก่อนหน้านี้ไม่ได้ตระหนักพบเห็นอะไรมากนัก แต่พอได้ยินคำบอกเล่าตรงจุดของอู๋ฝาน พวกเขาจึงตรวจสอบกันอย่างถี่ถ้วน จนพบว่ามันไม่ได้เป็นดังเช่นที่เคยเห็นอีกต่อไป
เจียงอวี่เผยสีหน้าเหยเก ลำพังตัวเขาไม่ทราบเรื่องการประเมินโบราณวัตถุใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ขณะนี้พบเห็นสีหน้าผู้คนรอบด้าน รวมถึงเสียงกระซิบกระซาบ จึงทราบได้ทันทีว่าคำพูดของอู๋ฝานเป็นจริงทั้งสิ้น
หรือว่า มันจะเป็นของปลอม?
แม้แบบนั้น อู๋ฝานก็ยังคงเอ่ยคำต่อเนื่อง “ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง น้ำหมึกที่ใช้กับภาพวาดนี้ไม่ใช่มาจากยุคราชวงศ์ถัง แม้ว่าดูแนบเนียนอย่างถึงที่สุด แต่ยังคงมีข้อบกพร่อง หากวิเคราะห์เปรียบเทียบกับน้ำหมึกจากยุคราชวงศ์ถังอย่างจริงจังจะพบเห็นข้อแตกต่างเอง แม้ว่าความแตกต่างนั้นจะไม่มากก็ตาม”
“ฉันเคยศึกษาเรื่องน้ำหมึกของแต่ละยุคสมัย น้องชายคนนี้พูดได้ถูกต้องแล้ว เพียงแต่บุคคลที่ฝีมือสูงล้ำขนาดทำของปลอมโดยหมึกปลอมและหมึกจริงมีความต่างน้อยนิดขนาดนี้ ถ้าไม่พูดเตือนให้ฉุกใจคิด ก็คงไม่มีใครพบเห็นแล้ว นับว่าน่าอับอายจริง ๆ” ตอนนี้เองที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งในสถานที่เอ่ยคำพลางเผยสีหน้านึกละอายออกมา