บทที่ 225 เดท
บทที่ 225 เดท
“อาจารย์เกิ่ง ร้านอาหารที่พูดถึงนั่นอยู่ที่ไหนเหรอครับ? อาจารย์อู๋เปิดร้านอาหารเหรอเนี่ย?” อาจารย์ซุนเยวี่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
แม้ออฟฟิศจะค่อนข้างกว้าง แต่อาจารย์อีกสามคนต่างก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างเกิ่งหย่าเฟยและอู๋ฝานกันอย่างชัดเจน ตอนแรกพวกเขานึกฉงนใจ เพราะไม่ทราบว่าคนทั้งสองกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องอะไร
ไม่ใช่ว่าอู๋ฝานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยหรอกเหรอ? เปิดร้านอาหารนี่คืออะไร? และเชฟที่คัลเลอร์แมนถึงขั้นไปทำงานเป็นเชฟให้กับร้านอาหารของเขา เรื่องราวนี้เหลือเชื่อไปหรือไม่?
คนทั้งสามเกิดความสงสัย เพียงแต่สัมพันธ์ระหว่างหลี่เทียน หวังฝู และอู๋ฝานไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะสงสัยก็กระดากใจเกินกว่าจะเอ่ยถาม ซุนเยวี่ยเป็นคนเดียวที่มีสัมพันธ์อันดีกับอู๋ฝานและเกิ่งหย่าเฟย ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะต้องเป็นคนถามขึ้น
“ใช่ค่ะ อาจารย์อู๋เปิดร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นร้านอาหารที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ดียิ่งกว่าคัลเลอร์แมนด้วยซ้ำ” เพราะเรื่องส่วนตัวบวกกับอู๋ฝานมีสัมพันธ์อันดีกับหวังจื่อหมิง เกิ่งหย่าเฟยจึงยินดีที่จะแนะนำร้านอาหารของเขา
แท้จริงแล้วทั้งบริการและรสชาติของร้านอาหารโลกในแหวนก้าวล้ำเหนือกว่าคัลเลอร์แมนไปไกลโข
“ดียิ่งกว่าคัลเลอร์แมนอีกเหรอครับ?” ซุนเยวี่ยประหลาดใจ กระทั่งหลี่เทียนและหวังฝูก็ยังตกใจไปตาม ๆ กัน
ในใจของพวกเขาทั้งสาม คัลเลอร์แมนถือเป็นร้านอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเจียงโจว ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาได้ไปกินก็นับว่าเป็นโชคดีอย่างล้นเหลือแล้ว มิหนำซ้ำรสชาติความประทับใจยังตราตรึงติดลิ้นอยู่เลย พวกเขาจึงมองว่า ยากที่ร้านอาหารอื่นในเจียงโจวจะดีไปกว่าคัลเลอร์แมน อู๋ฝานเพิ่งเปิดร้านอาหารใหม่ จะเอาอะไรมาดีกว่าคัลเลอร์แมนได้?
พวกเขาทั้งสามโดยเฉพาะหลี่เทียนและหวังฝูไม่เชื่อในตอนแรก พวกเขามองว่าเกิ่งหย่าเฟยกำลังพูดเกินจริง
“อาจารย์เกิ่ง คัลเลอร์แมนถือเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในเจียงโจว เป็นหนึ่งในร้านอาหารชั้นแนวหน้า มีหรือร้านอาหารที่อู๋ฝานเพิ่งเปิดจะเทียบคัลเลอร์แมนได้? ผมเดาว่าคงเทียบไม่ได้แม้ปลายนิ้วเสียด้วยซ้ำ” หลี่เทียนเอ่ยคำดูหมิ่นออกมา
“เห็นด้วย ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ทำบาร์บีคิวแผงลอยขายข้างถนนอยู่เหรอ มาตอนนี้เปิดร้านอาหารขึ้นร้านหนึ่ง ระดับอาหารก็คงใกล้เคียงกับแผงลอยนั่นล่ะ” หวังฝูเห็นพ้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“พวกคุณทั้งสอง หากไม่รู้อะไรก็ขอให้หยุดวาจาอันไร้สาระเอาไว้ด้วย” เกิ่งหย่าเฟยไม่คิดไว้หน้าทั้งคู่ ยิ่งได้ฟังคำพูดของพวกเขา เธอยิ่งเผยสีหน้าแข็งทื่อ “ร้านอาหารของอู๋ฝานใหญ่ยิ่งกว่าคัลเลอร์แมน ดีกว่าคัลเลอร์แมนเสียอีก เชฟก็เป็นอดีตเชฟใหญ่ของคัลเลอร์แมน แล้วจะเอาอะไรมาด้อยกว่าคัลเลอร์แมนได้? พวกคุณสองคนไม่มีกำลังทรัพย์ไปกิน จะไม่ทราบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
เกิ่งหย่าเฟยเชือดเฉือนด้วยคำพูดอย่างไร้ปรานี ทำเอาทั้งหลี่เทียนและหวังฝูมีสีหน้าอับอายเพราะความโกรธ เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าแสดงความเห็นเป็นอื่น เพราะเกิ่งหย่าเฟยก็จัดอยู่ในจำพวกเดียวกับหลี่ปิง เป็นชนชั้นที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังในเจียงโจว มีเส้นสายที่คนอย่างพวกเขาไม่อาจเทียบเคียงได้ หากเผลอไปยั่วยุเธอเข้า คงไม่ต่างอะไรจากการชักอันตรายมาถึงตัว ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ปิงยังคอยตามจีบเกิ่งหย่าเฟยไม่ลดละ หากอีกฝ่ายทราบว่าพวกเขาหาเรื่องเธอ สุดท้ายจะไม่เหลืออะไรให้คว้าไว้หยัดยืน
พวกเขาไม่คิดว่าตนเองจะสำคัญกับหลี่ปิงมากไปกว่าเกิ่งหย่าเฟยหรอกนะ
“อาจารย์ซุน หากมีเวลาก็เชิญไปลองกินได้นะครับ ผมจะแจ้งคนที่ร้านเอาไว้ว่ายินดีมอบส่วนลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ให้คุณครับ” อู๋ฝานบอกกับอาจารย์ซุนเยวี่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ขอบคุณอาจารย์อู๋ล่วงหน้าแล้วกัน” อีกฝ่ายยิ้มตอบรับ
แท้จริงแล้ว เขาทราบอยู่แก่ใจว่าหากร้านอาหารของอู๋ฝานอยู่ระดับเดียวกับคัลเลอร์แมน ต่อให้มีส่วนลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็ยังไม่ใช่อะไรที่เขาจะสามารถจ่ายไหว หากนาน ๆ ไปกินบ้างเป็นครั้งคราวก็คงจะพอได้อยู่
สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่อู๋ฝานเอ่ยชวนเขาต่อหน้าคนอื่น นี่ถือเป็นการให้เกียรติ
คนที่เปิดร้านอาหารระดับเดียวกับคัลเลอร์แมนได้มีหรือจะใช่คนธรรมดา? แม้แต่หลี่ปิงก็ยังไม่เคยเอาชนะอู๋ฝานได้ ทั้งเกิ่งหย่าเฟยก็มีท่าทีสุภาพกับเขาด้วย
ดังนั้นเมื่ออู๋ฝานกล่าวคำเชิญชวนและให้เกียรติเขาขนาดนี้ อาจารย์ซุนเยวี่ยย่อมยินดีรับเอาไว้อย่างรู้สึกเป็นเกียรติ
คาบเรียนวิชาหญิงล้วนยังคงได้รับความนิยมเช่นเคย หลังจากคุ้นเคยกับพวกเธอ เมื่อเวลาผ่านไป พวกเธอก็เริ่มแสดงความกล้ากันออกมามากขึ้น
เพียงแต่ขณะที่ถังอวี่เฟยเริ่มเข้าหาอู๋ฝาน คนอื่น ๆ ก็รู้ตัวและเว้นระยะห่างออกไป เพราะพวกเธอทั้งหลายทราบดีว่าตนเองไม่อาจเทียบอะไรกับถังอวี่เฟยได้
“แล้วจะไปเดทกับเธอตอนไหนกันคะ?” ถังอวี่เฟยเอ่ยถามไปตามปกติขณะนั่งข้างอู๋ฝานในชุดว่ายน้ำรัดรูป เผยให้เห็นเรือนร่างขาวเนี่ยนน่าเย้ายวน
“ครับ? พูดถึงหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เหรอครับ?” อู๋ฝานตอบ “พวกเราไม่ได้ไปเดทกันนะครับ แค่ไปช็อปปิ้งด้วยกันเท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มไม่ได้มีเจตนาหยอกเย้าหรือโกหกถังอวี่เฟยแต่อย่างใด แต่ในความเห็นของเขา เขาไม่ได้มองว่ามันคือการเดทจริง ๆ เพียงแค่รู้สึกว่าเป็นการออกไปภายนอกกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็เท่านั้นเอง
“คิดแบบนั้นจริงเหรอคะ?” ถังอวี่เฟยมองอู๋ฝานพลางถาม “ถ้าหากคิดแบบนั้นจริง ฉันเกรงว่าเธอคงผิดหวังมากแน่”
“มันไม่น่าจะซับซ้อนแบบที่คุณคิดนะครับ” เขาหัวเราะตอบ
“เพราะคุณคิดง่ายเกินไปต่างหากค่ะ” ถังอวี่เฟยตอบรับ “ฉันไม่สนใจหรอก ยังไงพรุ่งนี้คุณก็ต้องไปช็อปปิ้งกับฉัน และมันจะเป็นการเดท! เดทนะคะ รู้จักคำนี้ใช่ไหม? ไม่ใช่แค่ไปเดินเล่นนะคะ”
ถังอวี่เฟยค่อนข้างใจกล้าและเปิดเผย เธอได้รับแรงสนับสนุนจากทางตระกูล ดังนั้นจึงไม่คิดเขินอาย แต่เลือกที่จะเข้าหาชายหนุ่มตรง ๆ
“อ่า” อู๋ฝานไม่คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยออกมาตรงขนาดนี้
“อ่าถือเป็นคำตอบ ตามนั้นนะคะ” ถังอวี่เฟยรวบรัด ไม่คิดเปิดโอกาสให้อู๋ฝานปฏิเสธ “คุณรับปากฉันตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”
พอพูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืน เดินไปยังกระดานที่ใช้กระโดดลงสระว่ายน้ำ และกระโดดลงมาด้วยท่วงท่าสมบูรณ์แบบ ร่างกายของหญิงสาวยืดหยุ่นประหนึ่งนางเงือก เรียกความอิจฉาของเพื่อนนักศึกษาหญิงคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี
“นางจิ้งจอกของจริง” เสี่ยวอวิ๋นพึมพำอยู่ด้านข้าง
เมื่อครู่นี้ ขณะที่ถังอวี่เฟยกำลังพูดคุยกับอู๋ฝาน เสี่ยวอวิ๋นก็ดูอยู่ตลอด แม้ว่าเยี่ยเฟยเฟยจะอธิบายชัดเจนแล้วว่าระหว่างเธอกับอู๋ฝานไม่ได้มีสัมพันธ์อะไรต่อกัน แต่ในความเห็นของเสี่ยวอวิ๋น เธอรู้สึกว่าเยี่ยเฟยเฟยและอู๋ฝานดูใกล้ชิดกันมาก เป็นคู่ที่ดีงามและเหมาะสม เธอหวังว่าทั้งคู่จะมีโอกาสได้พัฒนาความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
“คงต้องหาโอกาสจับคู่เสียหน่อยแล้ว” เสี่ยวอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ในใจ
อู๋ฝานหาได้ทราบไม่ว่าเสี่ยวอวิ๋นกำลังวางแผนอะไรต่อตัวเองอยู่ หลังคาบเรียนพละศึกษาจบลง ชายหนุ่มที่เพิ่งออกมาจากสระว่ายน้ำก็ได้พบกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ เธอมารอเขาถึงตรงหน้าสระว่ายน้ำ
“ทำไมมาที่นี่กันครับ? รอผมเหรอ?” อู๋ฝานก้าวออกไปพลางถามด้วยความสงสัย
“แค่บังเอิญผ่านมาค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์หันศีรษะหลบหน้าเขา
ชายหนุ่มไม่คิดสงสัยอะไร จากนั้นจึงตอบ “ถ้าอย่างนั้น พวกเราไปกันเลยแล้วกันครับ”
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ
ไล่หลังคนทั้งสอง ถังอวี่เฟยตามออกมาจากสระว่ายน้ำ พอเห็นคนทั้งสองเดินไป เธอจึงเผยรอยยิ้มพร้อมกับตะโกนไล่หลัง “ขอให้สนุกนะคะ”
ร่องรอยความเขินอายพลันปรากฏบนใบหน้าอู๋ฝาน พร้อมกันนี้เขายังได้เห็น ว่าใบหน้าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็แดงเรื่อขึ้นมาเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าถังอวี่เฟยจงใจตะโกนเสียงดัง
อู๋ฝานไม่ได้นำรถมาที่มหาวิทยาลัย ตลอดมาเขาคิดว่ารถคันนั้นโดดเด่นจนเกินไป ว่ากันตามตรง มันไม่ค่อยเหมาะสมกับสถานะของอาจารย์สักเท่าไหร่
นับเป็นโชคดีที่เขาอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ดังนั้นคนทั้งสองจึงเดินไปด้วยกันได้