บทที่ 232 มอนสเตอร์ต่อสู้กันเอง
บทที่ 232 มอนสเตอร์ต่อสู้กันเอง
หลังวางสายกับโหวเสี่ยวกวง อู๋ฝานค่อนข้างอารมณ์ดีไม่น้อย ทั้งยังคาดหวังต่อปาร์ตี้ในอีกหลายวันจากนี้ ถ้าหัวหน้าห้องช่วยเหลือโหวเสี่ยวกวงคลี่คลายปัญหาได้แล้ว เรื่องราวก็ถือว่าจบลงด้วยดี แต่หากว่าไม่ เช่นนั้นอู๋ฝานก็พร้อมจะหาทางช่วยเหลือโหวจื่อ
อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเพื่อนสนิทของเขาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
หลังพักผ่อนชั่วขณะ อู๋ฝานจึงขับรถไปยังสมาคมยิงธนูซิงเยวี่ย วิชาธนูในปัจจุบันสำเร็จสู่ระดับสูงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความต้องการจากระดับกลางสู่ระดับสูงไม่ได้มากมายอะไรนัก เพียงแต่จากระดับสูงไปสู่ระดับมาสเตอร์นั้นค่อนข้างยาวไกล ชายหนุ่มยังต้องเดินบนหนทางนี้อีกยาว ดังนั้นไม่ว่าจะมีเวลาหรือไม่ เขาก็จะต้องหมั่นฝึกซ้อมยิงธนูเอาไว้
หลังสู้ศึกหลายครั้ง อู๋ฝานก็ได้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของธนูในช่วงยุคอาวุธเย็น ฐานะของพลแม่นธนู มันก็เปรียบดังพลแม่นปืนในปัจจุบัน ที่สามารถเล็งเป้าสังหารก่อนกองทัพสองฝ่ายจะเปิดศึกกันอย่างเป็นทางการได้เสียด้วยซ้ำ นับเป็นบทบาทสำคัญที่สามารถสร้างผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของศัตรู เรียกได้ว่า ความสำคัญของพลแม่นธนูคนหนึ่ง มันมากกว่าที่หนึ่งกองพันจะทำได้เสียด้วยซ้ำ
ถ้าหน่วยใดมีพลแม่นธนูย่อมเปรียบดังสมบัติประการหนึ่ง
อู๋ฝานไม่เคยได้พบพลแม่นธนูมาก่อน อย่างไรจำนวนของพลแม่นธนูก็มีไม่มาก อีกทั้งพวกเขายังถูกนับเป็นสมบัติของแต่ละหน่วย โอกาสที่กองทัพสำรองเช่นพวกเขาจะได้พบนั้นมีเพียงน้อยนิด ทว่าตนคาดเดาโดยคร่าวว่าใครก็ตามที่ได้รับฉายาเทพธนู ก็สมควรจะต้องมีทักษะการยิงธนูระดับมาสเตอร์เป็นอย่างน้อย และขณะนี้ชายหนุ่มเองก็กำลังมุ่งหน้าสู่ทิศทางดังกล่าว
ที่สมาคมยิงธนูซิงเยวี่ยมีคนมาใช้บริการไม่มาก หลังจ่ายเงินแล้วอู๋ฝานก็ไม่จำเป็นต้องให้โค้ชฝึกสอนตามติดแต่อย่างใด ปัจจุบันตัวเขาทราบทุกสิ่งที่ควรทราบแล้ว ที่ยังขาดคือการฝึกนำไปใช้งาน การจะมีโค้ชฝึกสอนหรือไม่ ก็แทบไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนัก
จนกระทั่งถึงช่วงบ่ายกว่า อู๋ฝานจึงกลับไปยังร้านอาหารอีกครั้งหนึ่ง การฝึกฝนครึ่งวันช่วยเก็บค่าประสบการณ์ให้เขาระดับหนึ่ง มันคือระบบการฝึกฝน ตราบเท่าที่สะสมค่าประสบการณ์ของระดับนั้นจนเต็ม ความสามารถจะพัฒนาขึ้นสู่อีกระดับโดยอัตโนมัติ ไม่เหมือนกับผู้อื่นที่จำเป็นต้องฝึกซ้อมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งต้องบรรลุด้วยตัวเอง
กิจการของร้านอาหารในช่วงเย็นค่อนข้างร้อนแรง วันนี้หวังจื่อหมิงแวะเวียนมาอีกครั้ง นับตั้งแต่ร้านอาหารของอู๋ฝานเปิดทำการ ดูเหมือนว่าหวังจื่อหมิงจะหยุดการแวะเวียนไปที่ร้านคัลเลอร์แมนอย่างเด็ดขาด กระทั่งสุดท้ายกลายมาเป็นลูกค้าขาประจำของร้านอู๋ฝานแทน
“อู๋ฝาน คืนพรุ่งนี้พอจะมีเวลาหน่อยไหม? ฉันอยากจะพานายไปที่หนึ่ง” ก่อนเดินทางกลับ หวังจื่อหมิงบอกกับอู๋ฝาน
“มีเวลาอยู่ครับ ว่าแต่เป็นที่ไหนกัน?” อู๋ฝานถามกลับ
อู๋ฝานจะเทเลพอร์ตไปยังอีกโลกหนึ่งก็หลังช่วงพ้นเที่ยงคืนไปแล้ว จนกว่าจะถึงเวลานั้น เขาจึงยังพอมีเวลาว่าง
อย่างไรแล้วเขาก็คนโสด
“ไปถึงนายก็รู้เอง รับประกันเลยว่านายต้องชอบแน่” หวังจื่อหมิงเอ่ยคำทำทีเป็นลึกลับ
อู๋ฝานเกิดนึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งขึ้นมา
หลังเที่ยงคืน ภายในโลกแห่งเกม
รุ่งสาง อู๋ฝานออกเดินทางพร้อมหนิวเอ้อและพรรคพวกอีกครั้ง และครั้งนี้ ลั่วหยางไม่ได้ร่วมทางไปด้วย เพราะเมื่อวานต้องขนส่งผลการเก็บเกี่ยวออกล่าไปยังเทศมณฑล จนถึงตอนนี้ก็ยังกลับมาไม่ถึง
ด้วยกระบวนการออกล่าเช่นเมื่อวาน ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนโดยไม่ติดขัดอะไร ขณะเผชิญหน้ามอนสเตอร์ ก็ไม่ได้มีความตึงเครียดเท่าเมื่อวาน
เพื่อความปลอดภัยของทุกคน อู๋ฝานจึงตัดสินใจที่จะยังไม่เข้าไปในส่วนลึกของป่า ตอนนี้พวกเขาเพียงออกมาเคลื่อนไหวแค่บริเวณรอบนอกของป่าเท่านั้น อย่างไรด้วยจำนวนของคนในหน่วย ความเร็วในการสังหารมอนสเตอร์ย่อมรวดเร็วยิ่งกว่าการที่อู๋ฝานจะลงมือเพียงลำพัง
ตอนกลางวัน เลเวลของอู๋ฝานเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เป็นเลเวลห้า การเพิ่มเลเวลนำพาความก้าวหน้าทุกสัดส่วนมาสู่ชายหนุ่ม ขณะเดียวกัน ร่างกายของเขาก็ยังได้รับการปรับเปลี่ยนให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น ใบหน้าเริ่มมีเหลี่ยมคมมากขึ้น แม้ว่ารูปลักษณ์ไม่ได้แตกต่างไปมาก แต่โดยภาพรวมแล้วก็แตกต่างจากเดิม เพราะหล่อเหลาขึ้นกว่าที่เคยเป็น
“โฮก!”
ขณะอู๋ฝานกำลังชื่นชมความเปลี่ยนแปลงจากการที่เลเวลอัพอยู่นั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงคำรามดังขึ้น เป็นเสียงคำรามที่ค่อนข้างทรงอำนาจพอสมควร เป็นเหตุให้นกทั้งหลายในป่าต่างบินกระเจิง ส่วนทุกคนที่ได้ยิน พวกเขาต่างก็เกิดความรู้สึกหนักอึ้งขึ้นในใจ
“โฮก!”
ขณะทุกคนยังไม่ทันดึงสติจากเสียงคำรามเมื่อครู่ อีกหนึ่งเสียงคำรามหนึ่งก็ดังขึ้น พลังจากเสียงคำรามนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเสียงคำรามก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย
จากนั้นไม่นานทุกคนก็ได้ยินเสียงกิ่งไม้แตกหัก เสียงคำราม เสียงกรีดร้อง ทั้งหมดผสมผสานปนเปกันไปหมด
เกิดเรื่องราวขึ้นแล้ว!
“นายท่าน พวกเราควรถอยก่อน” เจิ้งเสี่ยวลิ่วกระซิบบอกอู๋ฝาน
เห็นได้ชัดว่าเขาทราบว่ามันจะต้องเกิดเหตุรุนแรงขึ้นจากทางด้านหน้า พิจารณาจากสภาพแวดล้อมแล้ว สมควรเป็นมอนสเตอร์สองตัวเปิดฉากต่อสู้กันเอง ทั้งยังดุร้ายและแข็งแกร่งมากเสียด้วย
อู๋ฝานเองก็คาดเดาได้เช่นกัน ในใจเวลานี้เกิดความลังเลขึ้นมา
ขณะที่เสียงคำรามสั่นสะเทือนในหัวใจของผู้คน ความรู้สึกนั้นมันก็ทำให้เกิดความเครียดขึ้นมา กระทั่งเส้นขนลุกชี้ชัน เห็นได้ชัดว่าเป็นมอนสเตอร์ดุร้ายและแข็งแกร่ง หากต้องเจอกับมอนสเตอร์ดังกล่าว ตอนนี้พวกเขาควรรีบอพยพถอนตัวโดยทันที ไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้
เพียงแต่ขณะคิดเรื่องมอนสเตอร์ดุร้ายสองตัวสู้กันเอง อู๋ฝานก็เกิดความสงสัยขึ้นมา เขาไม่เคยได้เห็นมอนสเตอร์สู้กันเองมาก่อน มันจะมีอะไรให้ฉวยโอกาสได้หรือไม่? มอนสเตอร์ระดับสูงสองตัว ไม่ว่าจะดร็อปไอเทมหรือวัตถุอะไรออกมา ก็สมควรเป็นไอเทมหายากทั้งสิ้น มูลค่าย่อมต้องไม่มีทางต่ำเตี้ย
“ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เคยเผชิญหน้าพบเจอกับมอนสเตอร์ครั้งแรก สองวันมานี้พวกเราสังหารพวกมันไปได้มากมายแล้วด้วยซ้ำ ก่อนจะทันได้เห็นตัวพวกมัน พวกเราจะหวาดกลัวหดหัวหลบหนีแล้วงั้นหรือ? นับได้ว่าเป็นความอับอาย!” หนิวเอ้อเอ่ยคำขึ้น
“ข้าต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของนายท่านเป็นหลัก” เจิ้งเสี่ยวลิ่วตอบรับ “ส่วนเรื่องกลัวอะไรนั้นหาได้มีไม่!”
แท้จริงแล้ว ทุกคนต่างก็มีความคิดดังเช่นที่ชายหนุ่มกำลังคิด พวกเขาทั้งสงสัยและอยากรู้ เพียงแต่ พวกเขายังจำสถานะของตนเองกันได้ดี พวกเขาคือทหารส่วนตัวของอู๋ฝาน สิ่งแรกที่ต้องคำนึงคืออีกฝ่าย ต่อให้พวกเขาสงสัยแทบตาย ก็ต้องไม่ใช่การนำพาอู๋ฝานไปเผชิญความเสี่ยง
“ไปทางด้านนั้นกัน และลองรอดูก่อน” อู๋ฝานลังเลไปครู่ก่อนจะตอบ “ไปเงียบ ๆ สำรวจสถานการณ์จากระยะไกล หากว่าสถานการณ์ดูไม่ดี พวกเราจะถอนตัวทันที”
ตอนที่อู๋ฝานตัดสินใจ คนอื่นย่อมไม่คัดค้าน เพียงแต่เพิ่มความระมัดระวังรอบด้าน เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ชายหนุ่ม
ทุกคนต่างก้าวเดินทุกย่างก้าวด้วยความระมัดระวัง หลังเดินไปจนถึงระยะหนึ่งแล้ว เสียงคำรามและเสียงการปะทะต่อสู้จึงยิ่งดังมากขึ้น พวกเขาได้เห็นร่างขนาดใหญ่สองตัวขยับเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า พร้อมกันนี้ก็ได้หาพงไม้หนามาเพื่อซุกซ่อนตัวตน
ตอนนี้เองที่ทุกคนได้เห็นเรื่องราวตรงหน้าอย่างกระจ่างชัด ขณะเดียวกันนั้นก็พร้อมใจกันอ้าปากค้าง
ตรงหน้าของพวกอู๋ฝาน ปรากฏภาพมอนสเตอร์ที่คล้ายเสือกำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่คล้ายควายไบซัน ทั้งสองต่างก็มีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ แทบจะเป็นประหนึ่งเนินเขาขนาดย่อม สีหน้าท่าทีและออร่าที่แผ่พุ่งออกมามีแต่ความดุร้าย
เพียงแต่ตอนนี้สภาพของพวกมันทั้งสองตัวกลับไม่ค่อยสู้ดีเท่าใดนัก บนร่างกายปรากฏบาดแผลหลายแห่ง เลือดไหลออกมาไม่หยุด แม้แบบนั้นก็ไม่คล้ายว่าจะสามารถส่งผลกระทบต่อแรงใจในการต่อสู้ของมอนสเตอร์ทั้งสองได้ อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นนั้น ราวกับพวกมันไม่รู้สึกใดทั้งสิ้น บาดแผลเหล่านั้นมีแต่จะไปกระตุ้นสัญชาตญาณความดุร้ายของพวกมันให้เท่าทวี