บทที่ 716 : การแสดงดี ๆ เริ่มแล้ว (11)
แม่ล่อลวงเจ้าตำหนักน้อยส่วนลูกสาวก็ล่อลวงเจ้าตำหนักน้อยรอง ช่างสมเป็นแม่ลูกกันจริง ๆ ! นางผู้หญิงเจ้ามารยา
”อาวุโส”
บัดนี้ชายชราที่เพิ่งจากไปเมื่อครู่ก็เดินผ่านประตูเข้ามาพลางกล่าวว่า “ข้าได้จัดการมันเรียบร้อยแล้ว มีสัตว์อสูรมากมายในหลุมศพ เพียงไม่ช้ามันก็จะกลายเป็นอาหารในท้องของสัตว์อสูรเหล่านั้น เช่นนั้นท่านไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไปแล้ว”
”อืม”มู่เจินพยักหน้าอย่างสงบ “ตอนนี้ข้าถูกเจ้าตำหนักกักบริเวณ จงส่งคนไปลอบสังเกตการณ์ที่คฤหาสน์ของเจ้าตำหนักให้มากขึ้น และรายงานเรื่องต่าง ๆ กลับมาที่ข้า”
“ขอรับ”ชายชราเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “ผู้อาวุโส หญิงที่เจ้าตำหนักน้อยเคยสนใจ นางเป็นเพียงสตรีธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้นจริง ๆ หรือ”
“แน่นอน!” มู่เจินเย้ยหยัน “แม้ว่าจะไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป ทว่าก็เป็นเพียงเด็กสาวจากครอบครัวเล็ก ๆ คนประเภทนี้มีค่าเพียงพอกับเจ้าตำหนักน้อยกระนั้นหรือ ? นางคงเดาฐานะของเจ้าตำหนักน้อยออกก่อนหน้านี้มาเป็นเวลานานแล้ว นางจึงจงใจเข้าหาเขา เพื่อที่จะเข้ามาในตำหนักเซียนพยับหมอกของเรา โชคไม่ดี ที่นางไม่อาจเข้าตำหนักเซียนพยับหมอกของเราได้”
ดูราวกับว่านางเป็นผู้นำของตำหนักเซียนพยับหมอกเสียเองเพราะแม้เจ้าตำหนักน้อยต้องการจะมีภรรยา ก็ต้องขอให้นางเห็นด้วย
ชายชราหยุดกล่าวเขาไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อน ทั้งเขาก็ไม่เคยเห็นหญิงผู้นั้นด้วย หากแต่เขาก็ยังคงไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย
ทั้งเขาเองก็ไม่รู้ว่าความไม่สบายใจนี้เกิดจากที่ใด
“ออกไปได้ข้าต้องการพักผ่อน” มู่เจินหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า
บางทีอาจเป็นเพราะความตายของมู่เหลงในวันนี้ทำให้นางเจ็บปวดอย่างมาก นอกจากนี้นางยังรู้สึกว่าตำหนักเซียนพยับหมอกไม่เหลือที่ยืนสำหรับนาง
นางต้องคิดหาวิธีอื่นเพื่อจัดการกับชายชราสกุลจงทั้งสอง
”ขอรับ”
ชายชราป้องกำปั้นของเขาก่อนจะถอยกลับไปที่ประตู ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาถอนหายใจด้วยความโศกเศร้า เขาไม่อยากคิดอะไรมากมายอีก เพียงพริบตาเขาก็หายตัวไปจากลานบ้าน
*****
ในขณะเดียวกัน
ณคฤหาสน์เจ้าตำหนัก
เหวินหยุนเฟิงนอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบสงบเขาไม่เหลือความบ้าคลั่งเฉกเช่นเคยแล้ว ใบหน้าของเขาแลดูหล่อเหลามาก
ไป๋หยานเดินไปข้างหน้าช้าๆ นิ้วของนางลูบไล้คิ้วที่ขมวดมุ่นของเหวินหยุนเฟิง ใบหน้าของเขาขาวซีด “ท่านเป็นผู้ใดกันแน่ ?”
พินิจดูยังไงเขาก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าเหตุใดนางถึงรู้สึกเจ็บปวดได้ ?
นางตัดสินใจที่จะรักษาเขาไม่ว่าจะอย่างไร!
ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินเสียงของนางหรือไม่? หากแต่คิ้วของเหวินหยุนเฟิงก็คลายลง ท่าทีของเขาแลดูสงบลงอีกครั้ง เขาหลับตาเงียบ ๆ จากนั้นก็หลับไป
”ไม่ต้องกังวลข้าจะรักษาท่านเอง”
เมื่อท่านตื่นขึ้นมาข้าอาจได้รับคำตอบที่ข้าอยากรู้
ไป๋หยานพยายามกดคำตอบที่แทบจะทะลุออกมาจากหัวใจของนางเองนางหายใจเข้าลึก ๆ พลางหยิบเตาหลอมยาออกมาจากถุงเก็บสมบัติ
ครานี้นางจะปรุงยาชนิดพิเศษระดับแปด!
มีเพียงยาเม็ดระดับแปดเท่านั้นที่สามารถควบคุมปีศาจในจิตใจที่เกิดจากความเจ็บปวดของเหวินหยุนเฟิงได้
และนี่เป็นครั้งแรกที่นางปรุงยาเม็ดระดับแปดหลังจากที่นางมายังโลกนี้!
หลังจากที่ไป๋หยานนำเตาหลอมออกมาก็มีเสียงเคาะประตู
“เข้ามา”นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
หญิงสาวผู้หนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามาในมือของนางถือถาด นางวางถาดลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
”นี่คือสมุนไพรที่แม่นางต้องการ”
”ข้ารู้แล้วเจ้าออกไปได้” ไป๋หยานพยักหน้าเล็กน้อย “นอกจากนี้ ช่วยบอกทุกคนด้วยว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม นับจากนี้ข้าไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาอีก !”
ความสำเร็จของการปรุงยาเม็ดระดับแปดจะทำให้เกิดฟ้าผ่าลงมาได้อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของสายฟ้าในระดับแปดก็ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับระดับเก้า เช่นนั้นร่างของนางก็ยังพอจะต้านรับไหว
เพราะในชีวิตก่อนของนางเมื่อนางทำการปรุงยาระดับเก้า นางก็ถูกฟ้าผ่าตาย
***จบบทการแสดงดี ๆ เริ่มแล้ว (11)***
บทที่ 717 : อสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (1)
หลังจากสาวใช้พ้นจากห้องไป๋หยานก็เปิดเตาหลอม นางหยิบสมุนไพรมากมายทีละชนิดใส่ลงเตาหลอม
นางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดด้วยความรู้สึกหดหู่พลางหลับตาลงทันใดนั้นเอง สูตรยาเม็ดชั้นยอดพลันปรากฏเบื้องหน้านางราวกับกล้องถ่ายภาพยนตร์
นางลืมตาขึ้นทันทีนัยน์ตาเปล่งประกายราวกับสายฟ้าคมเฉียบ ทั้งวาววับราวกับสายลม
”ข้าไม่เคยกล้าลองปรุงยาเม็ดระดับแปดที่นี่มาก่อนเลยทว่าบัดนี้ข้าจะลองดู !”
ยาเม็ดระดับแปดนั้นแตกต่างจากยาเม็ดที่นางเคยปรุงมาก่อนหน้านี้ความแข็งแกร่งในชีวิตก่อนของนางไม่สามารถต้านทานอสนีบาตได้ เช่นนั้นนางจึงไม่กล้าปรุงยานี้ ทว่าตอนนี้เพื่อช่วยเหวินหยุนเฟิงนางไม่มีทางเลือกอื่น
*****
”หยุนเฟิง!”
ภายในห้องจุนเทียนเยว่ลืมตาขึ้นอย่างงุนงง พลางลุกขึ้นจากเตียง มือของนางจับแขนของเหวินหวู่เหว่ยแน่น นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนก “หยุนเฟิงเป็นเช่นไรบ้าง ?”
แขนของเหวินหวู่เหว่ยรู้สึกเจ็บจากการดึงของจุนเทียนเยว่ทว่าเขาก็อดทนกับมัน ทั้งยังพยายามเอ่ยปลอบโยนนาง “ไม่ต้องกังวล หยุนเฟิงจะไม่เป็นไร แม่นางไป๋กำลังรักษาเขา และไป๋ฉางเฟิ่งก็กำลังเดินทางมา หยุนเฟิงจะต้อง กำจัดปีศาจในใจ และหายดีเหมือนเดิม”
”จริงๆนะ ?”
นัยน์ตาของจุนเทียนเยว่เปล่งประกาย
แม้นางจะรู้ว่าเป็นเพียงคำลวงทว่านางก็ยังอยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูด
”ข้าจะหาหยุนเฟิง”
”อย่าเพิ่ง”
ครั้นเห็นว่าจุนเทียนเยว่กำลังจะก้าวลงจากเตียงเหวินหวู่เหว่ยก็รีบคว้าแขนของนางไว้ “แม่นางไป๋สั่งไว้ว่าห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนนางในระหว่างให้การรักษา เราควรจะรอก่อนจะดีกว่าหรือไม่ ?”
แม้แต่เหวินหวู่เหว่ยเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดเมื่อไป๋หยานสั่งเช่นนั้นเขาก็ยินยอมปล่อยเหวินหยุนเฟิงให้อยู่กับนางโดยไร้สิ้นซึ่งความลังเล ?
บางทีอาจเป็นเพราะนัยน์ตาของหญิงผู้นั้นคล้ายกับหยุนเฟิงมากเหลือเกิน
”ดีดี ดี”
จุนเทียนเยว่กล่าวออกมาซ้ำๆ นัยน์ตาของนางเปล่งประกายด้วยความดีใจ
เนื่องจากไป๋หยานเป็นหมอปรุงยาเพียงคนเดียวที่ไม่ส่ายศีรษะภายหลังจากเห็นอาการของเหวินหยุนเฟิง
นั่นจึงทำให้นางมีความหวังอย่างมาก
*****
ด้านนอกคฤหาสน์เจ้าตำหนักเซียนพยับหมอกมีหุบเขาลึก
ยามนี้เหรินอี้หยุดยืนอยู่ในหุบเขาลึก ใบหน้าเแก่ชราของเขาแลดูค่อนข้างโกรธ “หยานเอ๋อ เจ้านี่จริง ๆ เลย นางไม่คิดจะกลับมาบอกพวกเราบ้างเลยว่าเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ นี่นางกล้าบุกเข้าตำหนักเซียนพยับหมอกเพียงลำพัง หากข้าไม่ได้บังคับถามเสี่ยวมี่ ข้าคงไม่รู้ว่าเฉินเอ๋อเกิดเหตุร้าย! ”
ฉิวชู่หรงยิ้มอย่างขมขื่น”บางทีหยานเอ๋ออาจจะรู้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และตำหนักเซียนพยับหมอกไม่ถูกกัน เช่นนั้นนางจึงไม่ไปพบเรา นางเป็นคนหัวแข็ง นางจึงคิดจะจัดการทุกอย่างเพียงลำพังโดยไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้ใด”
ในครั้งนี้หากมิใช่เป็นเพราะเสี่ยวมี่เผลอพูดความจริงออกมาด้วยถูกพวกเขากดดัน พวกเขาก็คงไม่ทราบว่าไป๋หยานประสบเหตุร้าย
ครั้นรู้ว่านางพบเจอเรื่องใดมาเขาและเหรินอี้ก็ออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต !
หากมิใช่เป็นเพราะเจิ้งฉีเข้าสันโดษบางทีเจิ้งฉีก็อาจจะมาที่ตำหนักเซียนพยับหมอกพร้อมกับพวกเขาด้วย
“ตอนนี้พวกเราอยู่ห่างจากตำหนักเซียนพยับหมอกประมาณหนึ่งพันลี้ด้วยความรวดเร็วของพวกเรา พวกเราน่าที่จะสามารถไปถึงตำหนักเซียนพยับหมอกได้ภายในค่ำคืนนี้” นัยน์ตาของเหรินอี้เปล่งประกายแสงอันดุดัน “หากศิษย์ของพวกเราโดนทำร้าย แม้ว่าตำหนักเซียนพยับหมอกจะมีชื่อเสียงเทียบเท่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่าข้าก็จะถล่มพวกเขาให้พินาศย่อยยับ !”
ในฐานะผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงเทียบเท่าตำหนักเซียนพยับหมอกเหรินอี้จะไม่รู้จักพื้นฐานของตำหนักเซียนพยับหมอกได้อย่างไร ?
ผู้คนในตำหนักเซียนพยับหมอกทั้งจองหองทั้งหยิ่งยโสเสมอ !
ส่วนศิษย์ของพวกเขาก็มิใช่คนที่จะเก็บปากเก็บคำ หรือจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้แก่ผู้ใด นางจะทนให้คนรังแกนางได้อย่างไร ? หากพวกเขาไม่ห่วงว่านางจะถูกรังแก พวกเขาก็คงจะไม่ดั้นด้นจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาถึงตำหนักเซียนพยับหมอก เพื่อช่วยนางหรอก !
***จบบทอสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (1)***
บทที่ 718 : อสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (2)
”ไปต่อกันเถอะต่อให้ดึกเพียงใดเราก็ต้องไป ข้าไม่รู้ว่าพวกคนในตำหนักเซียนพยับหมอกจะทำอะไรนางบ้าง ?”
ฉิวชู่หรงเม้มปากพลันนัยน์ตาของเขาก็เย็นชา
ครั้นกล่าวจบร่างของทั้งคู่ก็พุ่งปราดออกไปไกลอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็หายไปในหุบเขาอันเงียบสงบ
*****
ตอนแรกท้องฟ้าของตำหนักเซียนพยับหมอกยังคงสว่างไสวทว่าตอนนี้ท้องฟ้ากลับถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหม่นดำ ดูเหมือนสายฟ้าจะผ่าลงมาในเวลาใดก็ได้
จุนเทียนเยว่และเหวินหวู่เหว่ยกำลังรออยู่ในห้องโถงด้วยความเป็นกังวล แม้ว่าทั้งคู่จะไม่มั่นใจในการปรุงยาของไป๋หยาน ทว่าพวกเขาก็ยังหวังว่าหญิงผู้นี้จะสร้างปาฏิหาริย์ได้
ทันใดนั้นเอง
เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบพลันปรากฏสาวใช้ก้าวผ่านประตูเข้ามา นางกล่าวว่า “ท่านเจ้าตำหนัก อาวุโสมู่เจินขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
”ว่าไงนะ?”
จุนเทียนเยว่โกรธพลางตบมือลงบนโต๊ะ “ข้าสั่งให้คนเฝ้าดูนาง ทั้งไม่อนุญาตให้นางก้าวออกจากบ้านสกุลมู่แม้สักก้าว เช่นนั้นนางออกมาได้อย่างไร ?”
สาวใช้กำลังจะกล่าวตอบหากแต่ก็ต้องหยุดชะงัก โดยที่จุนเทียนเยว่เองก็ไม่มีเวลาได้ถามต่อ เพราะเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งก็ช่างเสียดแทงหัวใจของนางเสียเหลือเกิน
”เหตุใดฮูหยินต้องโกรธมากถึงเพียงนี้? ข้ามาที่นี่ก็เพื่อแจ้งบางอย่างแก่ท่าน”
จุนเทียนเยว่กำหมัดแน่นนางเงยหน้าขึ้นอย่างโกรธแค้น พลางจ้องมองสตรีผู้ซึ่งผ่านเข้าประตูมาอย่างช้า ๆ ด้วยความเย็นชา
”เจ้าต้องการจะพูดอะไร?” แววตาของจุนเทียนเยว่เฉยเมย
ในสภาผู้อาวุโสความแข็งแกร่งของมู่เจินนับว่าสูงที่สุด แน่นอนว่าผู้ที่นางส่งไปไม่สามารถเฝ้าดูมู่เจินไว้ได้
หากแต่นางไม่คาดคิดว่ามู่เจินจะกล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของนาง!
”ข้าได้ยินมาว่าท่านให้หญิงผู้นั้นรักษาเจ้าตำหนักน้อยตามลำพังใช่หรือไม่ ?” มู่เจินหรี่ตาพลางหัวเราะเยาะ “ข้าไม่รู้ว่า ข้าควรจะกล่าวว่า ท่านโง่หรือเชื่อคนง่ายไปหรือไม่ ? ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นจะสามารถรักษาเจ้าตำหนักน้อยได้อย่างไร ? ในความคิดของข้านางตั้งใจจะทำร้ายเจ้าตำหนักน้อยเสียล่ะมากกว่า ! ”
”มู่เจิน!” จุนเทียนเยว่โกรธมาก กระทั่งหายใจแทบจะไม่ออก นางระงับความโกรธที่รุนแรงของตน “ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการคิดบัญชีกับเจ้า เจ้าออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ !”
มู่เจินไม่สนใจจุนเทียนเยว่นางหันมามองเหวินหวู่เหว่ย “ท่านคิดว่าการปรากฏตัวของหญิงผู้นี้เป็นเรื่องบังเอิญกระนั้นหรือ ?”
นางทำเป็นไม่ได้ยินและไม่สนใจสิ่งใด ต่างจากจุนเทียนเยว่ผู้ซึ่งกำลังอารมณ์เสียด้วยความโกรธเคือง แววตาของนางเย็นชาลงเล็กน้อย
ส่วนเหวินหวู่เหว่ยก็ยังคงเยือกเย็นขณะเอ่ยถามว่า”เจ้าต้องการพูดอะไรก็พูดมาตรง ๆ เหตุใดต้องอ้อมค้อมด้วย ?”
”เช่นนั้นข้าก็จะบอกความจริงกับท่าน”มู่เจินเอ่ยกล่าวเบา ๆ “ข้าจำได้ว่าหญิงผู้นี้เหมือนใครบางคนมาก ๆ”
”ผู้ใด?” นัยน์ตาของเหวินหวู่เหว่ยเต็มไปด้วยความสงสัย เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
”ผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยสนิทสนมกับท่านเจ้าตำหนักน้อยแล้วก็ทิ้งเจ้าตำหนักน้อยไป”
เพล้ง!
ถ้วยน้ำชาในมือของเหวินหวู่เหว่ยตกลงพื้นนัยน์ตาของเขาเป็นสีแดง เขาลุกขึ้นยืนทันที “เจ้าหมายความว่าไป๋หยานเป็น…ของข้า … ”
หลานสาวรึ?
สองคำนี้เขาไม่ได้กล่าวทว่าน้ำเสียงของเขาสั่น
”อย่าได้มีความสุขเกินไปนักท่านเจ้าตำหนัก ข้าพูดเพียงว่านางเป็นบุตรสาวของหญิงผู้นั้น หาใช่ของเจ้าตำหนักน้อยไม่”
”ไม่มีทางนัยน์ตาของนางเหมือนกับหยุนเฟิงมากหากนางเป็นบุตรสาวของหญิงผู้นั้น นางก็ต้องเป็น… ”
อารมณ์ของเหวินหวู่เหว่ยทั้งตึงเครียดทั้งตื่นเต้น ทั้งยินดีอย่างบอกไม่ถูก หากไป๋หยานเป็นหลานสาวของเขาจริง ๆ นางก็จะเป็นเจ้าตำหนักน้อยหญิงของตำหนักเซียนพยับหมอก
”นัยน์ตาคล้ายคลึงกันแล้วอย่างไร? มีผู้คนตั้งหลายพันคนในโลกนี้ อาจจะคล้ายกันบ้าง ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่านางเป็นบุตรสาวของเจ้าตำหนักน้อย ! เท่าที่ข้ารู้ เพื่อที่จะได้เงิน หญิงผู้นั้นสามารถให้ความสนิทสนมกับผู้ชายนับไม่ถ้วน แม้ว่านางจะเป็นบุตรสาวของเจ้าตำหนักน้อยจริง มีผู้หญิงประเภทนี้มาให้กำเนิดจะดีได้อย่างไร ?”
***จบบทอสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (2)***
บทที่ 719 : อสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (3)
ความสุขในหัวใจของเหวินหวู่เหว่ยดับมอดลงเขาทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้อย่างสิ้นหวัง
ใช่เขายังไม่ได้ตรวจสอบ จะรู้ได้อย่างไรว่าหญิงผู้นี้เป็นหลานสาวของเขาจริง ๆ ?
ตำหนักเซียนพยับหมอกไม่เหมือนสำนักเวชโอสถไม่มีทางตรวจสอบสายเลือดแต่หากไป๋ฉางเฟิ่งเดินทางมาถึงก็อาจจะสามารถสอนวิธีตรวจสอบสายเลือดให้แก่เขาได้
”ฮ่าฮ่าฮ่า!” จุนเทียนเยว่เย้ยหยัน “เจ้าหมายความว่าแม่นางไป๋มาตำหนักเซียนพยับหมอก เพื่อใกล้ชิดกับหยุนเฟิง”
”เดาได้ไม่เลว!” มู่เจินกระพริบตาน้อย ๆ “จุดประสงค์ของนางอาจต้องการสร้างความโกลาหลให้แก่ตำหนักเซียนพยับหมอก ! ด้วยการสนับสนุนจากอำนาจของตำหนักเซียนพยับหมอก นางอาจจะกลายเป็นผู้มีอิทธิพลได้ภายในเวลาชั่วข้ามคืน”
“แม่นางไป๋เป็นผู้มีความสามารถระดับซุ่นเจี่ยหากพรสวรรค์ของนางร่ำลือออกไป บรรดาสำนักใหญ่ในแผ่นดินมีแต่จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงนาง นางจำเป็นต้องหลอกลวงเรากระนั้นหรือ ?”
จุนเทียนเยว่ไม่เชื่อมู่เจิน
บางทีคนอื่นอาจไม่รู้แต่ในฐานะแม่ นางรู้สึกถึงความคิดไม่ซื่อที่มู่เจินมีต่อบุตรชายของนาง !
นางจะเชื่อมู่เจินได้อย่างไร? ในเมื่อนางรู้ตื้นลึกหนาบางในใจหญิงผู้นี้เป็นอย่างดี
”ฮ่าๆ ๆ ๆ !”
ครั้นได้ยินสิ่งนี้มู่เจินก็หัวเราะร่าอย่างประชดประชัน สายตาของนางเยาะเย้ย
”ท่านเชื่อจริงๆ หรือว่านางอยู่ระดับซุ่นเจี่ย ? ในโลกนี้มีสมบัติมากมายที่สามารถทำให้กลิ่นอายของคนแข็งแกร่งขึ้น กระทั่งไม่สามารถพบความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนาง … ” ทันทีที่มู่เจินคิดถึงการต่อสู้ระหว่างไป๋หยานกับมู่เหลง หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “และที่นางสามารถเอาชนะลูกศิษย์ของข้าได้ ก็เป็นเพราะสมบัติเหล่านั้น ! ท่านคิดว่านางมีพรสวรรค์อย่างนั้นจริงหรือ ?”
จุนเทียนเยว่หยิบถ้วยชาขึ้นมาบนโต๊ะจากนั้นก็ทุบมันอย่างแรง กระทั่งมันปลิวไปทางมู่เจิน
ปัง! มู่เจินหลบ ถ้วยน้ำชาตกลงบนพื้นดินแตกกระจาย น้ำชาไหลนองพื้น
”ข้าเชื่อในตัวไป๋หยานมากกว่าเจ้าออกไปจากที่นี่ ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ !”
“อาวุโสมู่เจินเจ้าออกไปก่อนจะดีหรือไม่?” เหวินหวู่เหว่ยขมวดคิ้วมองนางอย่างเย็นชา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ “เจ้าอยากจะตาย เพราะความโกรธกระนั้นรึ ?”
ครั้นเห็นภรรยาของเขาโกรธกระทั่งสั่นเทิ้มไปทั้งร่างหัวใจของเขาก็กระตุกด้วยความเจ็บปวดหลายต่อหลายครั้ง
”อ้อ! ข้าเพียงต่อสู้เพื่อลูกศิษย์ของข้า ข้าไม่อยากให้นางตายอย่างไม่สมควร… ”
จุนเทียนเยว่แทบเป็นบ้าด้วยความโกรธใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงนัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยเส้นเลือด หากมิใช่เพราะมู่เจินเคยช่วยบุตรชายของนาง นางคงจะฉีกปากหญิงผู้นี้ไปแล้ว
บูม!
ทันใดนั้นเองเหนือท้องฟ้า สายฟ้าพลันพุ่งลงฟาดห้องที่เหวินหยุนเฟิงอยู่ ทำให้จุนเทียนเยว่แข้งขาสั่น นางวิ่งไปที่ประตูไม่ต่างกับสายลมพัด
หลังจากที่ทุกคนวิ่งออกจากประตูพวกเขาก็พบว่ามีสายฟ้าสีม่วงอยู่เหนือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆดำ และห้องทั้งห้องก็สั่นสะเทือน
”เจ้าตำหนักน้อย!”
ขาของมู่เจินสั่นเทาใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นซีดขาว
นางเกลียดไป๋หยานทั้งก็เกลียดเหวินหวู่เหว่ยและจุนเทียนเยว่ด้วย ทว่าตอนนี้ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นก็คือเจ้าตำหนักน้อยที่นางหลงรักมานานหลายปี !
นางอาจจะเกลียดผู้ใดก็ได้หากแต่ก็ไม่ต้องการให้เขาประสบกับเหตุร้าย
”ฮูหยินนี่คือสิ่งที่ท่านรอคอย !” มู่เจินหันไปมองจุนเทียนเยว่ด้วยความโกรธ พลางจ้องมองจุนเทียนเยว่ราวกับเป็นศัตรูของนาง
ในยามนี้มู่เจินดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าเหวินหยุนเฟิงเป็นบุตรชายของจุนเทียนเยว่ ทั้งนางก็ไม่มีคุณสมบัติใดที่จะถามจุนเทียนเยว่ด้วย !
การแสดงออกของจุนเทียนเยว่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกนางไม่แม้แต่จะมองมู่เจิน นางต้องให้เหวินหวู่เหว่ยช่วยพยุงจึงทรงกายยืนอยู่ได้
”นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“อา…หรือว่าหญิงผู้นั้นอยากจะสังหารเจ้าตำหนักน้อย !” มู่เจินกัดฟันพลันนัยน์ตาของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “หากมิใช่เพราะท่าน เจ้าตำหนักน้อยก็จะไม่พบเหตุร้าย หากเจ้าตำหนักน้อยเป็นอะไรไป ข้าจะไม่ปล่อยท่านเป็นแน่ !”
***จบบทอสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (3)***
บทที่ 720 : อสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (4)
ยามนี้เหวินหวู่เหว่ยเป็นผู้ที่สงบที่สุดแต่ครั้นได้ยินถ้อยคำดังกล่าว เขาก็รู้สึกผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเหลือบมองมู่เจินอย่างเย็นชา
ในตำหนักเซียนพยับหมอกทุกคนต่างก็ตกตะลึงพวกเขาต่างก็พากันวิ่งออกไปที่สนามหญ้า เพื่อเฝ้าดูฟ้าร้องและฟ้าผ่าด้วยความประหลาดใจ
หมอปรุงยาคนหนึ่งที่พอจะมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้างครั้นเห็นเมฆดำ พร้อมกับสายฟ้าบนท้องฟ้าเขาก็ตกตะลึง “นี่คืออสนีบาตจากการปรุงยาระดับแปดนี่”
อสนีบาตของยาเม็ดระดับแปดกระนั้นรึ?
เหวินหวู่เหว่ยขมวดคิ้วเขาหันไปทางหมอปรุงยาพลางเอ่ยถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่านี่เป็นอสนีบาต ?”
”น่าจะใช่”หมอปรุงยาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน “ตอนที่ไป๋ฉางเฟิ่ง เจ้าสำนักเวชโอสถปรุงยาระดับแปด ข้าบังเอิญอยู่แถวนั้นพอดี ข้าจึงทันได้เห็นอสนีบาตเช่นนี้ด้วยตาของข้าเอง ตอนนี้มันคล้ายกับอสนีบาตในครานั้น หากแต่พลังของอสนีบาตครั้งนี้ ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าในตอนนั้นเสียอีก”
เช่นนั้นเขาจึงไม่แน่ใจอยู่ครู่หนึ่ง
”แล้วหยุนเฟิงจะเป็นอันตรายหรือไม่?”
แววตาของจุนเทียนเยว่เต็มไปด้วยความกังวลขณะเอ่ยถามออกมา
”ไม่”หมอปรุงยากล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะ “ข้าได้ยินมาว่าอสนีบาตของยาเม็ดระดับแปดจะระเบิดใส่ผู้ที่ปรุงยา หากแต่จะไม่เป็นอันตรายต่อคนรอบข้าง”
”ไป๋หยานจะเป็นเช่นไรบ้าง? นางอยู่ในระดับซุ่นเจี่ย นางจะสามารถต้านทานการโจมตีจากยาเม็ดระดับแปดได้หรือไม่ ?” จุนเทียนเยว่หวั่นไหวนางรีบเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ในครั้งนั้นไป๋ฉางเฟิ่งปรุงยาเม็ดระดับแปด ภายหลังจากที่เขาผ่านระดับตี้เจี่ย ซึ่งนับเป็นเรื่องยากมากที่จะต้านทานภัยพิบัติจากอสนีบาตด้วยร่างกายในระดับต่ำกว่านี้” หมอปรุงยาถอนหายใจอย่างหม่นหมองพลางส่ายศีรษะ
”แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับนางหากต้านรับไว้ไม่ไหว?”
จุนเทียนเยว่กัดริมฝีปาก
นางไม่ได้เป็นหมอปรุงยานางไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ นอกจากนี้มีหมอปรุงยาเพียงคนเดียวที่นางรู้จัก นั่นก็คือไป๋ฉางเฟิ่งผู้ซึ่งอยู่ในดินแดนภายนอก เช่นนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้ นางจึงไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย นางจึงไม่เข้าใจนัก
หมอปรุงยากล่าวหลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง”วิญญาณโบยบิน”
หากนางไม่สามารถต้านรับได้ผลที่ตามมาจากอสนีบาตนี้ ก็คือความตาย
จุนเทียนเยว่ซวนเซในใจของนางมีภาพของไป๋หยานปรากฏขึ้น นางสะเทือนใจ กระทั่งน้ำตาเอ่อคลอ
”ไม่ข้าต้องเห็นแม่นางไป๋ก่อน ข้าต้องนอนไม่หลับแน่หากไม่ได้เห็นนาง”
”เย่วเอ๋ออย่าตื่นตระหนก” เหวินหวู่เหว่ยรีบพยุงจุนเทียนเยว่ “หากเจ้ารีบเข้าไป อาจจะส่งผลกระทบต่อไป๋หยาน ในยามนี้นางอาจกำลังยุ่งอยู่ หากนางยังปลอดภัย”
จุนเทียนเยว่ชะงักฝีเท้านางกำหมัดแน่น ฝ่ามือของนางชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
”ยาเม็ดระดับแปดกระนั้นรึ?” มู่เจินเย้ยหยัน “นางเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ วัยแค่ยี่สิบกว่า หากนางจะสามารถปรุงยาเม็ดระดับแปดได้ ข้าก็คงปรุงยาเม็ดระดับเก้าได้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”
ความโกรธความโมโห และความตึงเครียดภายในหัวใจของจุนเทียนเยว่ ได้แปรเปลี่ยนเป็นพลังฝ่ามือแห่งความโกรธเคือง นางพุ่งกำปั้นเข้ากระแทกหน้าอกของมู่เจินทันที
มู่เจินเซถอยหลังไปสองสามก้าวกระอักเลือดออกมาเต็มปาก นางเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ บางทีนางอาจจะไม่ทันคาดคิดว่าจุนเทียนเยว่จะลงมือทำร้ายนางจริง ๆ
ผู้คนในตำหนักเซียนพยับหมอกเองต่างก็รู้สึกตกใจเช่นกัน
ในความคิดของพวกเขาฮูหยินนั้นทั้งอ่อนโยน ทั้งเปี่ยมด้วยคุณธรรม นางไม่เคยลงมือกับผู้ใดเลย ตอนนี้นางทำร้ายมู่เจินต่อหน้าผู้คนเลยกระนั้นหรือ ?
”ฮูหยินข้าผิดอะไร ? อย่างนางไม่สามารถเป็นหมอปรุงยาระดับแปดได้หรอก และมันก็ไม่ใช่อสนีบาต !”
มู่เจินกัดฟันไม่รู้ว่าหญิงผู้นั้นล้างสมองฮูหยินของนางเช่นไร ? ทำให้ฮูหยินไว้ใจหญิงผู้นั้นเป็นอย่างมาก
”อ๊ะ?”
เสียงหนึ่งดังมาจากท้องฟ้าที่ว่างเปล่าเสียงนั้นดูชราภาพทว่าทรงพลัง “บังเอิญจริง ๆ ข้ามาที่นี่ทันได้เห็นคนกำลังปรุงยาเม็ดระดับแปด ดูเหมือนว่านอกจากข้าแล้วในโลกนี้ยังมีหมอปรุงยาระดับแปดอยู่เหมือนกัน”
***จบบทอสนีบาตของยาเม็ดระดับแปด (4)***