ตอนที่ 71 น้ำแกงหมาล่ากับชานมไข่มุก
ที่ฮวาเซียงเซียงพูดมาล้วนเป็นความจริง นางไม่ได้ยกยอแม้แต่น้อย
จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้น “นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเจ้าก็ดีใจเพียงนี้แล้ว ต่อไปจะทำอย่างไรกัน”
“เจ้าวางใจ ข้าเป็นคนปรับตัวเก่ง เรื่องเงินข้าไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ได้เยอะเท่าไรยิ่งดี เจ้าคิดว่าเกลือของเจ้าดีกว่าเกลือบรรณาการในเมืองหลวงหรือไม่?” ฮวาเซียงเซียงไม่เคยกิน เพราะของแบบนั้นมีไว้สำหรับขุนนางเท่านั้น พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์กิน
“ข้าก็ไม่เคยกิน คราวหน้าลองเอามาเทียบกันดู” จี้จือฮวนเดินตามนางเข้าไปในภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหล จ้านอิ่งรออยู่ด้านนอก มีคนรับใช้ในร้านคอยดูแลให้ นางจึงไม่กังวล
หลังจากทักทายร้านค้าที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงแล้ว จี้จือฮวนก็เข้าไปในครัว
ฮวาเซียงเซียงเห็นครั้งนี้นางเอาเกลือมาไม่น้อย จึงสั่งให้คนรีบนำไปเก็บไว้ “จะว่าไปแล้ว การค้าสองวันนี้ก็เงียบลงไปจริง ๆ อาหารพวกนั้นทุกคนที่ได้ชิมรสชาติแปลกใหม่แล้ว ก็กลับมากินอีกไม่มากนัก เจ้ายังมีสูตรอะไรอีกหรือไม่ รีบเอาออกมาเร็วเข้า”
จี้จือฮวนจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่ข้ามาก็เพราะเรื่องนี้แหละ การค้าหลักตอนนี้ทำเงินได้แค่ตอนเช้ากับตอนกลางวัน ส่วนอาหารเย็น ภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่ก็ยังคงได้ส่วนแบ่งลูกค้าไปอยู่กระมัง”
ฮวาเซียงเซียงพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว ร้านของพวกเขาเป็นร้านเก่าแก่ ชื่อเสียงของพวกเรายังไม่โด่งดังเท่า พอได้ยินชื่อเค่ออวิ๋นไหล ลูกค้าก็ยังรู้สึกว่าดีไม่พอ เรื่องนี้เป็นอะไรที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ”
“เช่นนั้นก็ทำให้ชื่อเสียงโด่งดังไปเลย อยากขายของอร่อยและราคาถูกเพื่อดึงดูดลูกค้าหรือไม่?”
“ทำอย่างไร?” ฮวาเซียงเซียงสนใจขึ้นมาทันที
จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้น ฮวาเซียงเซียงเห็นดังนั้นก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา “โอ๊ย น้องสาว เจ้าเลิกอุบไว้คนเดียวได้แล้ว”
“ไม่มีอะไรหรอก อาหารนี้จะพุ่งเป้าไปที่ชาวบ้านทั่วไปเป็นหลัก เรียกว่าน้ำแกงหมาล่ากับชานมไข่มุก”
???
ฮวาเซียงเซียงฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ แต่รอจนกระทั่งจี้จือฮวนเข้าไปในห้องครัว และเริ่มลงมือทำนางถึงได้เข้าใจ
“ดังนั้นให้พวกเขาเลือกเองพวกเราแค่คอยดูแล? ทว่าเช่นนี้จะมีคนกินหรือ พวกเขาทำกันเองก็ได้นี่นา” ฮวาเซียงเซียงสงสัย
“จุดเด่นของน้ำแกงหมาล่านี้อยู่ที่น้ำแกง เลือกวัตถุดิบและเครื่องปรุงได้เอง พวกเขาสามารถต้มเองก็ได้ แต่น้ำปรุงรสของข้าไม่เหมือนใคร กินตอนร้อน ๆ ได้ทั้งเช้า เที่ยง และเย็น กินคู่กับชานมที่พวกเจ้าเตรียมไว้อย่างดี ต้องได้รับความชื่นชอบอย่างแน่นอน”
จี้จือฮวนเอ่ยจบก็หยิบน้ำปรุงรสที่นางปรุงมาเองจากที่บ้านในช่วงสองวันที่ผ่านมาออกมาจากตะกร้า
“รสเสฉวน รสมะเขือเทศ น้ำแกงกระดูก พริกกระเทียม เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของคนทุกกลุ่ม พวกเจ้าแค่ต้มน้ำแกงเอาไว้ทุกวันเท่านั้น จากนั้นนำวัตถุดิบต่าง ๆ มาจัดเรียงไว้ให้เรียบร้อย ให้ลูกค้าเลือกเองก็พอแล้ว”
ทางด้านนี้ ในครัวได้มีการต้มน้ำแกงหมาล่าที่ฮวาเซียงเซียงเลือกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งรสที่นางเลือกก็คือรสเสฉวน
จากนั้นจี้จือฮวนก็เติมน้ำปรุงรสสูตรพิเศษ และโรยงาขาวบาง ๆ ก่อนยื่นให้นาง “ลองชิมดู”
ฮวาเซียงเซียงกินไปคำหนึ่งพร้อมท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “โอ๊ะ รสชาตินี้ สดชื่นจัง”
อย่างไรเสียฮวาเซียงเซียงก็เปิดภัตตาคาร ย่อมเคยกินอาหารมามากกว่าชาวบ้านทั่วไป หากนางรู้สึกว่าอร่อย เช่นนั้นก็แสดงว่าใช้ได้แล้ว
“นี่คือก้าวแรก ดังนั้นต้องวางรากฐานของน้ำแกงหมาล่าให้ดีก่อน เพราะหลังจากนี้ยังมีของกินอร่อย ๆ อีกสารพัด ต้องให้คนบอกกันปากต่อปาก ถึงเวลาเราค่อยจัดรายการส่งเสริมการขาย เพื่อเป็นการคืนกำไรให้ลูกค้าบ้าง”
“เข้าใจแล้ว แล้วชานมนั่นเล่า?”
“รอก่อน”
จี้จือฮวนขอให้คนเตรียมน้ำตาลทรายแดงและแป้งมันสำปะหลังมา หลังจากละลายน้ำตาลทรายแดงแล้ว ก็เติมแป้งมันสำปะหลังลงไปแล้วนวดจนเป็นก้อน ระหว่างที่พักแป้งไว้ก็ให้คนไปที่คอกวัวที่สวนด้านหลัง รีดนมวัวมาครึ่งถัง จากนั้นก็เทน้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ ตั้งไฟและเคี่ยวจนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน คนอีกเล็กน้อย จากนั้นก็เทนมลงไป ใส่ใบชา แล้วใช้ตะหลิวคนจนน้ำตาลละลายกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับส่วนผสมต่าง ๆ
จนกระทั่งมีกลิ่นหอมของนมเข้มข้นโชยออกมาแล้ว จี้จือฮวนจึงยกขึ้นจากเตา และกรองใบชาออก อีกด้านหนึ่งก็ให้คนนำแป้งที่พักไว้มาปั้นเป็นลูกกลม ๆ เล็ก ๆ โยนลงไปต้มในน้ำ และรอจนน้ำเดือด จากนั้นก็นำกระบอกไม้ไผ่กลวง ๆ ออกมาจากในตะกร้า เทชานมและไข่มุกลงไป เสียบหลอดต้นกกและไม้จิ้มฟันยาวลงไป เพื่อเอาไว้ใช้จิ้มไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ นั่นตอนกิน
การกระทำต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ฮวาเซียงเซียงถึงกับตกตะลึง
หลังจากได้กินชานมไข่มุกไปหนึ่งอึก ฮวาเซียงเซียงก็ร้องออกมาว่า “อร่อยมาก อันนี้ผู้หญิงกับเด็กต้องชอบมากแน่ ๆ”
“เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ลองที่ร้านของพวกเจ้าก่อนก็แล้วกัน แล้วข้าจะสอนพวกเจ้าทำอาหารอีกสองสามอย่างด้วย สูตรข้าก็นำมาแล้ว”
จี้จือฮวนยังคงสอนตามหลักการที่ว่าพ่อครัวแม่ครัวแต่ละคนจะได้เรียนวิธีการทำคนละหนึ่งขั้นตอน ฮวาเซียงเซียงเองก็จัดการอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็นำเอาป้ายรายการอาหารจานใหม่ขึ้นมาติด
ทุกอย่างเขียนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่และหนา ไม่ช้าก็มีลูกค้าประจำสังเกตเห็นว่าที่ร้านมีอาหารจานใหม่อีกแล้ว
บะหมี่หอยขม บะหมี่ซวนล่า ปูอบหม้อดิน ตีนไก่อบหม้อดิน แค่ได้ยินก็ทำให้คนน้ำลายสอแล้ว!
“เปิดรับจองแล้วนะขอรับ พรุ่งนี้มาถึงก็สามารถรับประทานได้เลยขอรับ!”
“ข้าเอา ๆ!”
ทุกคนต่างกลัวที่จะต้องต่อแถว จึงรีบสั่งจองเอาไว้ก่อน
…
อีกด้านหนึ่ง
จุ้ยเซียนจวี่เห็นการค้าของเค่ออวิ๋นไหลที่เงียบลง จู่ ๆ ก็มีคนมาต่อแถวยาวเหยียดอีกครั้ง ฉือชางไห่ก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นมา “นี่มันเรื่องอะไรกันอีก?”
โจวเหล่ยจึงให้คนรีบไปสืบข่าว ก่อนกลับมารายงานว่ามีอาหารจานใหม่
“มีอีกแล้วหรือ นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันมีจานใหม่อีกแล้วหรือ?”
แค่เจียนปิ่งกั่วจือที่เค่ออวิ๋นไหลทำ ไม่ว่าจุ้ยเซียนจวี่ของพวกเขาจะทำเช่นไรก็ไม่สามารถทำรสชาตินั้นออกมาได้
“หรือเค่ออวิ๋นไหลเปลี่ยนแม่ครัวใหม่แล้ว?”
ฉือชางไห่รู้สึกว่าปัญหานี้ ไม่แน่อาจจะอยู่ที่ตัวแม่ครัวก็เป็นได้
“ยังเป็นคนพวกนั้นอยู่นะขอรับ อีกอย่างจี้จือฮวนนั่นก็ไม่ได้มาบ่อย ๆ ด้วย”
“พวกเจ้าไม่ได้ยินคนพูดหรืออย่างไรว่าอาหารชนิดเดียวกัน แต่ภัตตาคารของเรากลับทำอร่อยสู้พวกเขาไม่ได้?”
เรื่องนี้โจวเหล่ยเองก็แปลกใจ เมื่อก่อนอาหารของเค่ออวิ๋นไหลไม่สามารถเทียบเคียงกับรสชาติของพวกเขาได้เลย แต่ตอนนี้กลับมีคนบอกว่าแม้แต่ผัดผักก็ยังอร่อยกว่าพวกเขาเสียอีก
นี่มันจะเกินไปแล้วกระมัง
“หาวิธีส่งคนเข้าไปในเค่ออวิ๋นไหล อีกอย่าง เจ้าบอกว่าจางต้าเปียวขายเนื้อตุ๋นดีไปได้สวยอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ขอรับ ทางด้านจางต้าเปียวก็ไม่พอขายเช่นกัน ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร ถึงตั้งแผงที่ประตูร้านเพื่อขายเนื้อตุ๋นโดยเฉพาะ แต่จะว่าไปเนื้อตุ๋นนั่นรสชาติไม่เลวจริง ๆ นะขอรับ”
“ไป ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง”
มีเค่ออวิ๋นไหลมาแย่งการค้าก็มากพอแล้ว ทว่าตอนนี้แม้แต่จางต้าเปียวก็ยังมาขายอาหารแข่งอีก นี่ทำให้ฉือชางไห่รู้สึกถึงวิกฤตจริง ๆ
เมื่อมาถึงร้านอาหารป่า ก็พบว่ามีคนมุงอยู่ที่หน้าร้านจำนวนมาก โจวเหล่ยจึงลำบากไม่น้อยกว่าจะหาตัวจางต้าเปียวเจอ ไหนเลยจะคิดว่าจางต้าเปียวเมื่อเห็นหน้าฉือชางไห่ก็ไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจแต่อย่างใด ราวกับคิดไว้อยู่แล้วว่าเขาจะมาหาอย่างไรอย่างนั้น
“นายท่านฉือ วันนี้ลมอะไรหอบท่านมาที่ร้านเล็ก ๆ ของข้าได้หรือขอรับ”
ฉือชางไห่หรี่ตาลง “ได้ยินว่าการค้าของเจ้าช่วงนี้ไม่เลว ข้าเลยอยากจะมาดูสักหน่อย”
“ไม่นับว่าดีมากอะไรหรอกขอรับ ก็ไปได้เรื่อย ๆ หากนายท่านฉือจะมาดู เช่นนั้นก็ตามสบายเลยนะขอรับ ข้าต้องกลับไปขายของแล้ว” จางต้าเปียวไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย
ฉือชางไห่ขมวดคิ้ว โจวเหล่ยจึงรีบเกลี้ยกล่อมทันที “เถ้าแก่จาง พวกเราล้วนเป็นคนคุ้นเคยกัน ท่านว่าการขายเนื้อตุ๋นนี่…”
จางต้าเปียวรู้อยู่แล้วว่าที่พวกเขามาต้องไม่หวังดีแน่ ดูจากท่าทางของสองคนนายบ่าวแล้ว ราวกับต้องการบีบให้เขารับข้อเสนอ แค่เห็นก็รู้สึกน่าขยะแขยงแล้ว
.
.
.