บทที่ 110 จวนจี้กั๋วกงเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย
ยิ่งจี้จือฮวนพูดอย่างสบาย ๆ เช่นนี้ เผยยวนก็ยิ่งรู้สึกลำบากใจ
แต่มีบางอย่างเขาก็ยังอยากถามให้ชัดเจน เขาเป็นถึงบุตรภรรยาเอกของซิ่นอู๋โหว ทั้งยังไม่ใช่พวกคุณชายที่เอาแต่รอตำแหน่งจากบรรพบุรุษ มีอำนาจทหารและสร้างผลงานมามากมาย การจะแต่งกับองค์หญิงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แต่เพราะเซี่ยฉงฟางต้องการจะบีบเขา จึงจงใจให้เขาหมั้นหมายกับจวนจี้กั๋วกงที่กำลังตกต่ำ โดยให้เขาไปสู่ขอลูกสาวของอนุครอบครัวนั้น ทั้งยังอาศัยตอนที่เขาอยู่ในสนามรบส่งสินสอดทองหมั้นไปโดยไม่บอกกล่าว
ครั้งก่อนตอนที่เขากลับมาเมืองหลวงก็เพื่อต้องการถอนหมั้น แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้จัดการอะไร เขาก็สลบไปเสียก่อน
แม้เผยยวนจะไม่ได้รู้จักอะไรสตรีผู้นั้น แต่เขาจำได้ว่านางชื่อจี้หมิงซู และจากที่อาฉือเล่าให้ฟัง จี้จือฮวนนั้นเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนจี้กั๋วกง
และเป็นสตรีที่ถูกคนในเมืองหลวงมองว่าเป็นตัวอัปมงคล
เมื่อก่อนเผยยวนไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง ย่อมไม่เคยพบหน้าจี้จือฮวนมาก่อน ทว่าตั้งแต่ที่เขาเริ่มได้สติ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเมื่อก่อนตอนที่จี้จือฮวนอยู่ในจวนจี้กั๋วกงชีวิตก็คงไม่ดีเท่าไรนัก
แม้ในใจของเผยยวนจะรู้ดีว่าเป็นไปได้สูงที่จี้หมิงซูจะรู้ว่าเขาสลบไป ดังนั้นจึงไม่ยอมแต่งกับเขา แต่ก็ยังอยากฟังเรื่องที่เกิดขึ้นจากปากจี้จือฮวนอีกครั้ง
…
จี้จือฮวนหยิบถังไม้ใบเล็กขึ้นมาเตรียมจะไปรีดนมวัว การดื่มนมสด ๆ แบบนี้ทำให้เด็กทั้งสามรู้สึกว่ากลิ่นค่อนข้างแรง วันนี้นางจึงจะเอานมวัวมาทำชีสทอด และพัฒนาเป็นขนมหวานไปด้วย
เผยยวนเห็นดังนั้น จึงได้เดินตามด้านหลังของนางไปติด ๆ “ให้ข้าช่วยเจ้าถือเถอะ?”
“ได้อย่างไรกัน เจ้าพักรักษาตัวให้ดีเถอะ ข้าแรงเยอะอยู่แล้ว”
เผยยวนมองร่างเล็ก ๆ ของนาง ก่อนจะเม้มริมฝีปาก
ไม่แสร้งป่วยก็จะถูกไล่ออกจากบ้าน แต่แสร้งป่วยก็เป็นได้เพียงคนไร้ประโยชน์ ช่างลำบากใจจริง ๆ
“เอ๊ะ เหตุใดป่านนี้แล้วจ้านอิ่งยังนอนอยู่อีกเล่า เมื่อคืนไม่ได้นอนอย่างนั้นหรือ?” จี้จือฮวนมองจ้านอิ่งที่นอนหลับอย่างสบายอยู่ในคอกม้าด้วยความสงสัย
เผยยวนตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบเอ่ยขึ้นมา “อ้อ มันชินกับการวิ่งตอนกลางคืน เมื่อวานข้าเลยปล่อยมันออกไปวิ่งเล่นเองแหละ”
จี้จือฮวนทำท่าทางครุ่นคิด “มิน่าเล่าเมื่อคืนข้าถึงได้ยินเสียง แต่ว่าไกลออกไปเรื่อย ๆ ก็เลยไม่ได้สนใจ”
เผยยวนลอบถอนหายใจออกมา ยังดี ๆ แต่นางช่างเป็นคนที่ตื่นตัวยิ่งนัก คราวหน้าต้องระวังให้มากกว่านี้
จี้จือฮวนเข้าไปรีดนมในคอกวัว เผยยวนเห็นท่าทางคล่องแคล่วของนาง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากถามออกมา “เจ้าถูกคนบังคับให้แต่งงานใช่หรือไม่ จี้กั๋วกงบังคับเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
จี้จือฮวนที่กำลังตั้งใจรีดนมวัว เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถามก็ตอบกลับไปทันที “อืม”
เผยยวนเม้มริมฝีปาก มิน่าเล่านางถึงตั้งใจจะหย่าขาดกับเขา แต่เผยยวนกลับรู้สึกขอบคุณจี้กั๋วกง อย่างไรเสียก็ทำให้เขาได้รู้จักจี้จือฮวนในตอนนี้
เผยยวนถามเช่นนี้ ทำให้จี้จือฮวนนึกถึงนางเอกของเรื่องอย่างจี้หมิงซู ตามที่นิยายเขียนเอาไว้ จี้หมิงซูกลับชาติมาเกิด เดิมถูกท่านหญิงซ่างหยางแม่ของเผยยวนมาหมั้นหมาย สตรีทั้งเมืองหลวงล้วนอิจฉานาง นั่นเป็นช่วงเวลาที่มีเกียรติที่สุดในชีวิตของจี้หมิงซู
แต่เผยยวนไม่พอใจกับงานแต่งครั้งนี้ ดังนั้นจี้กั๋วกงจึงเป็นฝ่ายส่งจี้หมิงซูไปในจวนหย่งกวานโหว ให้จี้หมิงซูไปเป็นอนุแทน ทำให้นางกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั้งเมืองหลวง
สุดท้ายเผยยวนหาได้อยู่ในจวนไม่ เขาไปอยู่ในสนามรบ ส่วนจี้หมิงซูก็ไม่อยากอยู่คนเดียว จึงเข้าไปพัวพันกับศัตรูของเผยยวน สุดท้ายก็ถูกลูกน้องของเผยยวนจับได้ จึงถูกทำร้ายจนเสียโฉมและถูกฆ่าทิ้ง
ชาตินี้จี้หมิงซูจึงสาบานว่าจะอยู่เหนือกว่าผู้คน จะเหยียบย่ำคนที่เคยดูถูกนางทั้งหมดเอาไว้ใต้ฝ่าเท้า
ดังนั้นตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่จวน นางก็เริ่มสร้างเส้นสายของตัวเอง และคนแรกที่ต้องกำจัดก็คือบุตรสาวภรรยาเอกที่ขวางทางอย่างเจ้าของร่างเดิมนั่นเอง
บัดนี้คนหนึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นผู้นำของสตรีที่มีความสามารถของเมืองหลวง ส่วนอีกคนกลับเป็นสตรีอัปลักษณ์ที่ผู้คนโจษจัน
จี้กั๋วกงย่อมต้องตัดฝ่ายหลังทิ้ง
“เช่นนั้น…เช่นนั้นเจ้าคิดที่จะกลับไปจวนจี้กั๋วกงอีกหรือไม่?” เผยยวนแค้นจี้กั๋วกงที่เป็นคนชั่วช้า ถึงกับสละลูกสาวของตัวเอง แต่ก็กลัวว่าจี้จือฮวนจะยังรักพ่อของตัวเองอยู่ ถึงเวลาหากเขาจะจัดการ แล้วนางถูกบีบให้อยู่ตรงกลางจะลำบากใจได้
“กลับไปทำไม ข้าไม่ได้เสียดายจวนจี้กั๋วกงอะไรนั่นเสียหน่อย” จี้จือฮวนรีดนมวัวเสร็จแล้ว นางลุกขึ้นมองเผยยวนแล้วเอ่ยขึ้นมา “อีกอย่างข้าเองก็ไม่ใช่คนในครอบครัวพวกเขาแล้ว”
จี้จือฮวนหมายความว่า นางคือนาง จวนจี้กั๋วกงไม่มีความเกี่ยวข้องกับนาง และอย่ามาหาเรื่องนางอีก หากมาหาเรื่องกัน นางจะทำให้จวนของพวกเขาไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีก!
แต่สิ่งที่หูของเผยยวนได้ยินกลับเป็น ตอนนี้นางเป็นคนในครอบครัวเผยของเขาแล้ว
“ใช่ เจ้าไม่ได้เป็นคนในครอบครัวนั้นแล้ว” เผยยวนเอ่ยซ้ำอีกรอบ
จี้จือฮวนมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย ข้าไม่ใช่คนของจวนจี้กั๋วกงแล้วเจ้าดีใจอะไรกัน?
จี้จือฮวนกลับไปที่ห้องครัว เทนมลงในหม้อ เติมน้ำมะนาวลงไป ตั้งไฟอ่อน ๆ แล้วนำกรดซิทริกออกมาจากช่องว่างมิติ หลังจากคนให้เข้ากันแล้วก็ปิดฝาหม้อ ทิ้งไว้เป็นเวลาหนึ่งก้านธูป
ตอนนี้นมแข็งตัวแล้ว จี้จือฮวนจึงหยิบมีดเล็ก ๆ ขึ้นมาหั่นนมเป็นชิ้นเล็ก ๆ ในขณะที่หม้อยังร้อนอยู่ ก็เขย่าหม้อไปมาเพื่อให้ก้อนนมได้รับความร้อนอย่างทั่วถึง
เผยยวนคอยมองนางอยู่ตลอดเวลา ก่อนดวงตาจะเผยประกายประหลาดใจออกมา
เขาไม่เคยเห็นการทำนมแบบนี้มาก่อน อย่างน้อยคนต้าจิ้นก็ไม่ทำกันเช่นนี้แน่ แต่ว่าชาวถู่เจียชอบกินอาหารจากนม หรือว่าจี้จือฮวนคนนี้ไม่ใช่ชาวจงหยวน
หลังจากทิ้งเอาไว้อีกหนึ่งก้านธูป จี้จือฮวนก็ใช้กระชอนตักชีสข้างในออกมา แล้วใช้ทัพพีบี้หางนมส่วนเกินออกมาด้วย
“เจ้าช่วยเปิดหม้อใบนั้นให้ข้าที แล้วหยิบเกลือออกมาเล็กน้อย”
เผยยวนรีบทำทันที “ใช่อันนี้หรือไม่ นี่คงจะเป็นเกลือหิมะกระมัง?”
ขาวราวกับหิมะเช่นนี้ ไม่ใช่เกลือหลวงทั่วไปแน่
“ประมาณนั้นนั่นแหละ อาอินเป็นคนทำ เป็นอย่างไร?” ใบหน้าของจี้จือฮวนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
เผยยวนลองชิมดูเล็กน้อย “ละเอียดกว่าเกลือบรรณาการของราชวงศ์เสียอีก แต่หากว่ามีรสชาติอื่นด้วยก็จะยิ่งดี”
จี้จือฮวนดวงตาเป็นประกายขึ้นมา “เจ้าช่างพูดได้ตรงประเด็นจริง ๆ ข้าตั้งใจว่าหาเงินให้มากกว่านี้อีกหน่อย แล้วจะซื้อภูเขาด้านหลังกับนาด้านหน้า เอาไว้ทำเกลือไผ่ เกลือไผ่จะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ สามารถใช้บ้วนปากได้ด้วย ดีกว่าเกลือนี่เสียอีก”
แต่เมื่อจี้จือฮวนเอ่ยถึงตรงนี้ “จิ๊ แต่คงแอบขายได้ทีละหน่อย คงไม่สามารถทำเป็นโรงงานใหญ่โตได้”
เผยยวนมองหน้านาง “อยากทำก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้”
จี้จือฮวนเข้าใจได้ทันที เมื่อเขาจากไปแล้วจะต้องไปแก้แค้นอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นนางในฐานะอดีตภรรยา จะเกาะเขาบ้างเป็นครั้งคราวก็คงได้กระมัง
“เช่นนั้นตกลงกันแล้วนะ รอถึงเวลาเจ้าต้องปกป้องข้าตอนหาเงิน ถือเป็นค่ารักษาเจ้าก็แล้วกัน รักษาเจ้าไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะ”
แค่เขาคนเดียวก็ดื่มยาหลิงเฉวียนไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ตัวนางเองยังไม่กล้าใช้ขนาดนั้นเลย ตอนนี้ก็สามารถเอาหน้าได้แล้ว
เผยยวนได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ ย่อมต้องดีใจมากอยู่แล้ว เพราะนี่หมายความว่านางยังคิดที่จะมีอนาคตร่วมกันกับเขา และคิดว่าเขาสามารถปกป้องนางได้
เช่นนั้นเขาก็ยังมีข้อดีอยู่บ้างใช่หรือไม่?
จี้จือฮวนรับเกลือมาก่อนใส่ลงไปในนม แล้วอุ่นด้วยไฟอ่อน ๆ จากนั้นก็เทลงบนชีสเมื่อครู่ แช่ไว้ชั่วอึดใจก็เอาชีสที่กลายเป็นก้อนออกมายืดและพับหกครั้ง ชีสในมือก็จะเนียนละเอียดขึ้น จี้จือฮวนแบ่งชีสออกเป็นหลายลูก
“อยากลองชิมหรือไม่?” จี้จือฮวนหันไปถาม
เผยยวนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ข้าหรือ? เจ้าทำอย่างยากลำบากเพียงนั้น แต่จะให้ข้ากินเป็นคนแรกอย่างนั้นหรือ?”
“จะเป็นอะไรไป ใครอยู่คนนั้นก็ได้กิน” จี้จือฮวนหยิบมาหนึ่งก้อน ก่อนจะป้อนใส่ปากของเผยยวน