บทที่ 153 ทำลายโครงเรื่อง สองสามีภรรยาเข้าเมืองหลวง
นางว่องไวเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าอาฉื่อน่าหลู่ไม่ทันได้เตรียมตัว จนกระทั่งสติของเขาคืนกลับมาประกายดาบก็สะท้อนอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว หวิดไปเพียงนิดเดียวก็จะตัดศีรษะของเขาได้แล้ว
หลังจากจี้จือฮวนกระโจนลงบนพื้น ก็ย่อตัวลงและพยุงตัวกับพื้นด้วยมือเพียงข้างเดียว ขาเรียวยาวงอลงเตรียมพร้อมที่จะโจมตีอีกครั้ง
อาฉื่อน่าหลู่ดูจากรูปร่างก็ตัดสินได้ว่าคนที่จู่โจมเขาเมื่อครู่เป็นสตรี
เขาหัวเราะออกมาอย่างหยาบคาย พร้อมทั้งเอ่ยขึ้น “นางตัวดี คิดว่าฝีมือเพียงเท่านี้จะสามารถทำร้ายนักรบผู้กล้าหาญแห่งทุ่งกว้างเช่นข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
จี้จือฮวนก็ด่ากลับด้วยคำหยาบเป็นภาษาถู่เจียอย่างคล่องแคล่ว ทำให้อาฉื่อน่าหลู่กระทืบเท้าด้วยความโมโห “เจ้าต้องเป็นคนที่นางผู้หญิงสารเลวเซี่ยวั่งซูส่งมาเป็นแน่ รอข้าฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ แล้ว ค่อยส่งเจ้าไปให้เซี่ยวั่งซู!”
“พระนามขององค์หญิงใหญ่แห่งต้าจิ้น หาใช่สิ่งที่หนอนเช่นเจ้าจะเอ่ยออกมาได้!” กล้ารังแกท่านป้าของนาง รนหาที่ตายชัด ๆ!
จี้จือฮวนหรี่ตาลง ทันใดนั้นก็กระโจนเข้าใส่ทันที อาฉื่อน่าหลู่ถนัดการต่อสู้บนทุ่งหญ้า การเคลื่อนไหวจึงไม่ยืดหยุ่นและว่องไวเท่ากับศิลปะการต่อสู้ของจงหยวน ที่รู้จักเอาชนะความแข็งแกร่งด้วยความนุ่มนวล
และด้วยเทคนิคการต่อสู้ระยะประชิดของจี้จือฮวนนั้น ทำให้การต่อสู้ระหว่างพวกเขาเป็นไปอย่างสูสี
ทั้งสองจึงถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ทว่าอาฉื่อน่าหลู่กลับไม่เห็นสตรีที่อ่อนแออย่างจี้จือฮวนอยู่ในสายตา
น่าเสียดายที่เขาประเมินศัตรูในสนามรบต่ำเกินไป จึงถือเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุด
ไม่นานกริชที่คล่องแคล่วในมือของจี้จือฮวนก็กรีดลงบนร่างของเขาไปหลายแผล เลือดก็ค่อย ๆ ไหลซึมออกมา แต่เขากลับไม่สามารถทำอะไรจี้จือฮวนได้เลยแม้กระทั่งเส้นผม
ท้องฟ้าที่มืดมิดยามค่ำคืน เขาคุ้นเคยกับการต่อสู้บนทุ่งหญ้า ที่นั่นไม่มีป่าหนาทึบเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงกะระยะที่แน่นอนของจี้จือฮวนไม่ได้
และดูเหมือนว่าสภาพแวดล้อมยามค่ำคืนจะไม่ได้ส่งผลใด ๆ ต่อสตรีผู้นี้เลย ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของนาง
อาฉื่อน่าหลู่ชักอาวุธของเขาออกมาและกวัดแกว่งไปทั่วด้วยความโมโห จี้จือฮวนกระโดดหลบราวกับแมวที่คล่องแคล่ว ก่อนจะพลิกตัวกระโดดข้ามศีรษะของเขาพลางยกยิ้มให้ แล้วใช้เชือกที่ทำขึ้นพิเศษเกี่ยวอาวุธของเขามา จากนั้นก็ฟันไปที่คอของเขาอย่างแรง
อาฉื่อน่าหลู่ต่อให้ตายไปแล้ว ก็คงคิดไม่ถึงว่าจะต้องมาตายด้วยคมดาบของตัวเอง
ร่างกายที่ใหญ่โตราวกับภูเขาลูกเล็ก ๆ ล้มลงจนเกิดเสียงดังตึง จี้จือฮวนปัดมือไปมา ขาเรียวยาวเตะเข้าที่ร่างของเขาอย่างแรง ทำให้ศีรษะของอาฉื่อน่าหลู่กระเด็นไปอีกทาง
ข้าจะดูสิว่าเจ้าเซี่ยหยางคราวนี้จะใช้ใครช่วยในการขึ้นครองบัลลังก์
เฮอะ!
ตอนที่เผยยวนกลับมา จี้จือฮวนก็ออกกำลังกายเสร็จไปรอบหนึ่งแล้ว
“บาดเจ็บหรือไม่?” เผยยวนเมื่อครู่มัวแต่เป็นห่วงนางจนลืมหยิบไม้ค้ำมาด้วย จี้จือฮวนเหลือบมองเขาเล็กน้อยแล้วส่ายหน้าไปมา “ข้าไม่เป็นอะไร ชุดของข้าแม้แต่ปืนก็ยังยิงไม่เข้า”
เผยยวนไม่เข้าใจว่าปืนคืออะไร แต่ฟังดูร้ายกาจมาก “เช่นนั้นข้าจะไปกำจัดศพก่อน”
“ใช้สิ่งนี้” จี้จือฮวนนำกรดกำมะถันเข้มข้นออกมาจากกล่องยาน้อย
แม้จะยังคงหลงเหลือร่องรอยอยู่บ้างหลังจากการกัดกร่อน แต่ในป่าในเขาเช่นนี้ ไม่นานก็คงถูกต้นไม้ใบหญ้าปกคลุมแล้ว
วีรบุรุษแห่งทุ่งกว้าง อยู่ที่นี่ไปก็แล้วกัน
“ระวังอย่าให้มันหกใส่มือตัวเองล่ะ” จี้จือฮวนเอ่ยกำชับ เพราะมือคู่นั้นของเขานางชอบเป็นอย่างมาก
เผยยวนรับคำ ไม่นานก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา จี้จือฮวนมองดูความว่องไวของเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา ต้องขอโทษยาหลิงเฉวียนแล้ว ที่ก่อนหน้านี้นางเข้าใจผิดไป
ยาหลิงเฉวียน╭(╯^╰)╮
จี้จือฮวนเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาเป็นชุดเดิม เมื่อเผยยวนกลับมาทั้งคู่ต่างก็รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นพวกเขาจึงไปกินมื้อค่ำกันในตำบล
ระหว่างทางเขามีท่าทางอึกอักเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากเช่นไร
“ไม่ต้องคิดแล้ว ข้าสามารถอธิบายเจ้าได้” จี้จือฮวนวิเคราะห์โครงเรื่องที่ตนเองรู้มาให้เขาฟัง “บางทีอาจมีข้อผิดพลาดเล็กน้อย แต่หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดก็คงเป็นไปตามนี้”
การปรากฏตัวของนางส่งผลกระทบต่อโครงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจี้จือฮวน โดยเข้ามาเปลี่ยนสถานะของตัวร้ายและตัวประกอบหลาย ๆ คน น่าเสียดายที่เส้นเรื่องของพระเอกจำต้องเสียสละคนที่นางปกป้องอยู่ เช่นนั้นก็อย่าโทษที่นางต้องทำให้โครงเรื่องเปลี่ยนไปก็แล้วกัน
เผยยวนเชื่อจี้จือฮวนอย่างหมดหัวใจ นางเป็นเซียนนี่นา อยากรู้ความลับบางอย่างย่อมเป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว
ขณะที่เขากำลังคิดว่าพวกเซียนนั้นมีเงาหรือไม่ สายตาก็มองลงไปที่พื้นเสียแล้ว
“ในเมื่ออาฉื่อน่าหลู่ตายไป ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของท่านป้าก็คงหายไปแล้ว” จี้จือฮวนกินเกี๊ยวร้อน ๆ เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ก็ผุดขึ้นที่ปลายจมูกของนาง
เผยยวนไม่มีความคิดเห็นใด ๆ และเชื่อฟังเพียงฮวนฮวนเท่านั้น
“เช่นนั้นเหตุใดไม่พาตัวกลับไปเป็นเจ้าชี ปา จิ่ว ฉือเล่า?” ตัวใหญ่เพียงนี้ คงจะช่วยงานได้ไม่น้อย
จี้จือฮวนส่ายหน้าและเอ่ยขึ้นมา “คนผู้นี้ต้องยังมีอำนาจในถู่เจียอยู่ หากไม่ล้มเลิกความคิดในหัว ไม่มีทางยอมเป็นเชลยแน่ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต ฆ่าทิ้งเสียน่าจะดีกว่า เก็บเขาไว้เท่ากับจุดชนวนระเบิดให้ตัวเองเสียเปล่า ๆ โอกาสเช่นนี้อาจไม่มีครั้งต่อไปแล้วก็ได้ ดังคำกล่าวที่ว่าอาศัยตอนเขาป่วยฆ่าเขาทิ้งซะ หากรอให้พลังของเขากลับมาแข็งแกร่ง การจะฆ่าเขาไหนเลยจะราบรื่นเหมือนในคืนนี้อีก”
เผยยวนยังคิดว่าฮวนฮวนชอบจับคนกลับไปเลี้ยงหมูเสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่านางจะตัดสินใจได้เด็ดขาดไม่แพ้บุรุษเลย ความชื่นชมในแววตาของเขาเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
เมื่อกินเสร็จและกลับไปที่โรงเตี๊ยม ก่อนเข้าห้องจี้จือฮวนได้เรียบเรียงคำพูดเล็กน้อย
“คืนนี้เจ้าทำได้ไม่เลว” เวลาทำงานจี้จือฮวนไม่ชอบคนที่ชักช้ายืดยาดรบกวนการทำงานของนาง เห็นได้ชัดว่าเผยยวนเป็นคู่หูที่ดีมาก
เผยยวนได้ยินดังนั้นก็เอ่ยถามหยั่งเชิงขึ้นมา “เช่นนั้นผลงานคืนนี้ของข้า สามารถเอาห้าคะแนนที่หักไปเมื่อครู่คืนมาได้หรือไม่?”
จี้จือฮวนอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก “ได้”
เจ้าเด็กคนนี้น่ารักจริง ๆ
เผยยวนดีใจมาก “เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าข้ามาเรียกเจ้านะ”
เขาเดินถอยหลังออกไปอย่างมีความสุข จนท้ายทอยกระแทกเข้ากับประตูก็ยังไม่รู้ตัว ก่อนจะช่วยปิดประตูห้องให้นาง และยังได้กำชับนางอีกหลายเรื่องราวกับยายแก่
ไม่ใช่ว่าจี้จือฮวนไม่เคยคิดที่จะมีความรัก แต่เพราะภารกิจที่ได้รับมอบหมายนั้นอันตรายเกินไป ลำพังตัวนางเองก็ยังดูแลตัวเองไม่ได้ จึงกลัวว่าจะทำให้คนอื่นลำบากไปด้วย ดังนั้นนางจึงอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด
แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ จู่ ๆ ก็ตระหนักได้ว่าสายสัมพันธ์ของนางกับคนอื่น ๆ เริ่มลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
…
เช้าวันรุ่งขึ้น เสี่ยวเอ้อกำลังสงสัยว่าแขกเมื่อคืนหายไปไหนอยู่นั้น จี้จือฮวนกับเผยยวนก็ได้ขึ้นรถม้าและออกเดินทางต่อแล้ว
ตอนที่พวกเขามาถึงเมืองหลวงก็เป็นตอนเที่ยงพอดี จ้านอิ่งชะลอฝีเท้าลง เดินปะปนไปกับรถม้าธรรมดาเพื่อรับการตรวจค้น
อาจเป็นเพราะเรื่องขององค์หญิงใหญ่ ที่ประตูเมืองนอกจากเด็กแล้ว ทั้งบุรุษและสตรีต่างก็ต้องเข้าแถวเพื่อรับการตรวจค้น ดังนั้นการทำงานจึงช้ามาก
“อยากดื่มน้ำหรือไม่?” เมื่อเช้าเผยยวนไปต้มชาขิงน้ำตาลทรายแดงที่ห้องครัวอีกครั้ง และเก็บไว้ในถุงใส่น้ำเผื่อยามจำเป็น
จี้จือฮวนตอนนี้ไม่ได้รู้สึกปวดท้องมากแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้าไปมา
“เฮ้อ ข้างหน้าเหตุใดถึงมีเรื่องกันได้เล่า”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
รถม้าที่อยู่รอบ ๆ เริ่มพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้า บางคนตัวสูงไม่พอจึงต้องเขย่งเท้าเพื่อดู
ที่แท้ก็มียามเฝ้าประตูเมืองทะเลาะกันอยู่
เรียกว่ารุมยังจะดีซะกว่า คนเหล่านั้นตีไปก็ใช้แส้ฟาดไปด้วย ส่วนปากก็ด่าทอไม่หยุด
“เจ้าคิดว่าตัวเองยังเป็นทหารเกราะเหล็กอยู่อย่างนั้นหรือ? มาแล้วก็ต้องทำตัวสงบเสงี่ยม!”
“ข้าจะค้นตัว เจ้ามายุ่งอะไรด้วย!”
สีหน้าของเผยยวนเข้มขึ้นมาทันที เขาวางถุงใส่น้ำชาลง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับจี้จือฮวน “รอเดี๋ยวนะ”
จี้จือฮวนพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเห็นเผยยวนสาวเท้าก้าวไปด้านหน้า
ขณะที่ยามเฝ้าประตูเมืองผู้นั้นปลดสายคาดเอวและจะฉี่ใส่คนที่ถูกตี ก็ถูกแรงมหาศาลเหวี่ยงจนกระเด็นออกไป
เผยยวนย่อตัวลงและเกลี่ยผมที่ปรกหน้าของคนที่โดนตีออก บนไหล่ของทหารล้วนมีป้ายชื่อห้อยอยู่ ในนั้นจะมีบันทึกบ้านเกิดและอายุของพวกเขาเอาไว้ เผยยวนพลิกป้ายขึ้นมาดู เป็นทหารม้าหน่วยที่สิบห้าของกองทัพเกราะเหล็ก จั๋วฉวิน
ท่าทางของเผยยวนจึงเปลี่ยนไปทันที
“เจ้าเป็นใครกัน!” ยามเฝ้าประตูเมืองถูกทำให้อับอายต่อหน้าผู้คน จึงตะโกนใส่เผยยวนอย่างไม่กลัวตาย
เผยยวนไม่สนใจ เขาใช้แขนโอบลำตัวของคนผู้นั้นเอาไว้ และออกแรงพยุงเขาขึ้นมา “ยังทนไหวหรือไม่?”
จั๋วฉวินเป็นเพียงทหารตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งในกองทัพเกราะเหล็ก เขาพยายามเปิดเปลือกตาที่บวมช้ำจากการถูกต่อยด้วยความยากลำบาก เมื่อเขาหรี่ตาและเห็นใบหน้าเผยยวน เขาก็ดีใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา
“ท่าน…ท่านแม่ทัพ!?”
ทหารที่มีฝีมือดีหน่อยต่างก็ถูกส่งให้ไปอยู่กับขุนศึกของตระกูลขุนนางอื่น ๆ ส่วนทหารตัวเล็ก ๆ อย่างเขาได้รับมอบหมายให้เป็นยามเฝ้าประตูเมืองก็นับว่าโชคดีมากแล้ว แต่น่าเสียดายที่เลี่ยงไม่ให้ถูกคนอื่นรังแกไม่ได้เมื่อพวกเขาได้ยินคำว่ากองทัพเกราะเหล็ก
แต่เหตุใดท่านแม่ทัพถึงมาอยู่ที่นี่ได้!
ไหนมีคนบอกว่าท่านแม่ทัพล้มป่วย จึงออกไปรักษาตัวที่นอกเมืองหลวง และไม่ต้องการพวกเขาอีกแล้วอย่างไรเล่า!