บทที่ 188 ฮ้า เขาคือเหนี่ยวเหริน
“ไม่ใช่ เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น กล่องใส่สีชาดที่แค่เอาไปติดกับแท่งไม้ไผ่เฉย ๆ นั้นไม่สวย เจ้าก็แค่ทำตามขั้นตอนของร้านเครื่องสำอางของพวกเจ้า คิดดูว่าจะทำอย่างไรให้ภายนอกออกมาดูดี ใส่กระจกเอาไว้ด้านใน หรือว่าจะแกะสลักเป็นรูปดอกท้อ กล้วยไม้ ต้นไผ่ ดอกเบญจมาศก็ได้ ทางที่ดีทำให้ละเอียดประณีตหน่อย เรื่องนี้พวกเจ้าน่าจะเป็นมืออาชีพมากกว่าที่ข้าคิดไว้”
เซียวเย่เจ๋อพยักหน้ารับ “ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เรื่องนี้ง่ายมาก แล้วสีชาดทาแก้มมีตัวอย่างหรือไม่?”
จี้จือฮวนส่ายหน้า “ช่วงนี้ยุ่ง ๆ ข้ายังไม่ได้ทำ”
เซียวเย่เจ๋อนึกตำหนินางในใจ ยุ่งอะไร ยุ่งกับการไปรื้อจวนจี้กั๋วกงน่ะหรือ?
เก่งจริง ๆ ขนาดไท่ซ่างหวงยังสามารถดึงมาเป็นพวกคอยหนุนหลังได้ เมื่อก่อนเหตุใดเขาถึงไม่สังเกตเห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีความสามารถมากเพียงนี้กันนะ
“ทำโรงเรือนอะไรนั่น ต้องการคนงานหรือไม่?”
“ตอนนี้มีพอแล้ว ข้าจะส่งตัวอย่างชุดแรกไปให้เจ้าตามกำหนด เจ้าสามารถเอาไปให้บรรดาสตรีผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงลองใช้ก่อนได้”
ตอนนี้สิ่งที่มีมากที่สุดก็คือกำลังคน คนงานนางก็จะฝึกด้วยตัวเอง
เซียวเย่เจ๋อพยักหน้ารับ “เช่นนั้นไม่มีอะไรให้ข้าช่วยเลยหรือ?”
“มี” จี้จือฮวนดึงสัญญาออกมาจากโต๊ะ และยื่นไปตรงหน้าเขา “ทำสัญญา”
“…”
ยังคงเย็นชาเหมือนเดิม
เซียวเย่เจ๋อประทับตราและลงชื่อแต่โดยดี เมื่อเห็นว่ารอบ ๆ ไม่มีใคร เขาจึงกระแอมเล็กน้อยแล้วถามขึ้นมา “เจ้าเป็นภรรยาของเผยยวนจริงหรือ?”
จี้จือฮวนมองหน้าเขาด้วยท่าทางประหลาดใจ “เลิกคิดได้แล้ว ไม่มีข้าเขาก็ไม่แต่งกับเจ้าหรอก”
“…”
พูดคุยกับอดีตคู่หมั้นเรื่องสามีคนปัจจุบันของนาง นี่นับเป็นประสบการณ์เช่นไรกัน
เซียวเย่เจ๋อเอ่ยพร้อมสีหน้าราวกับคนท้องผูก “เหลวไหลอะไรของเจ้า ข้ามีหลายเรื่องที่จะถาม เหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นคนเก่งเช่นนี้ และยังดุข้าด้วย รวมถึงเรื่องที่เจ้าถูกรังแกที่จวนจี้กั๋วกงนั่นอีก”
นางสามารถพูดเรื่องอดีตกับเผยยวนได้ แต่กับเซียวเย่เจ๋อนั้นความใกล้ชิดแตกต่างกัน นางต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน
“เมื่อก่อนข้าถูกรังแกจนชินแล้ว” ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริง เจ้าของร่างเดิมตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ต่อให้นางอยากจะต่อต้านก็ต่อต้านไม่ไหวอยู่ดี
“เช่นนั้นเจ้าเสียใจหรือไม่?”
จี้จือฮวนมองหน้าเขา ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นทำให้เซียวเย่เจ๋อไม่กล้ามองนางตรง ๆ เพราะเขายังรู้สึกละอายใจต่อนาง
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึง”
เซียวเย่เจ๋อเห็นนางก้มหน้าลงวาดพิมพ์เขียวต่อ ก็ถามซักไซ้ต่อ “เช่นนั้นเจ้าโทษข้าหรือไม่?”
“ไม่” นี่ก็เป็นความจริง เจ้าของร่างเดิมไม่มีความทรงจำใด ๆ เกี่ยวกับเซียวเย่เจ๋อ และรู้ว่าอย่างไรเสียตัวเองก็ไม่มีทางแต่งกับเขา จะมีความคิดและคำกล่าวโทษอะไรได้
เซียวเย่เจ๋อถอนหายใจออกมา “เจ้าอย่าประชดข้าเลย ข้ารู้ว่าเจ้าต้องเคยกล่าวโทษข้าเป็นแน่ ภายหน้าเจ้าก็จงมีชีวิตที่มีความสุขกับเผยยวนเถอะ ได้แต่งกับเขาก็ไม่เลวแล้ว”
“…” จี้จือฮวนหนังตากระตุก
“เจ้าวางใจเถอะ จี้หมิงซูยังอยู่ที่ศาลต้าหลี่ ข้าจะให้คนดูแลนางอย่างดี!”
เซียวเย่เจ๋อคิดว่ากลับไปจะเรียกเซียวหรงหรงมาสั่งสอนสักยก ให้นางหัดมีสมองบ้าง ไม่ใช่ว่าคนประเภทใดก็ลากเข้ามาบ้านได้
“โอ๊ย แต่การที่เจ้าทำเช่นนี้ เกรงว่าองค์ชายรองต้องไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก รถถึงหน้าภูเขาย่อมต้องเจอทางไปต่อ* ยังไม่ทันเจอหน้าคนก็กลัวไปก่อนแล้ว ไม่มีประโยชน์อันใด”
* รถถึงหน้าภูเขาย่อมต้องเจอทางไปต่อ (车到山前必有路) หมายความว่า ทุกปัญหามีทางออก
จี้จือฮวนเอ่ยจบก็ไม่สนใจเซียวเย่เจ๋ออีก เขาจึงเดินดูรอบ ๆ ลานบ้านคนเดียว รู้สึกว่าด้วยบุคลิกของจี้จือฮวนในตอนนี้ เวลาที่เขาคุยกับนางกลับรู้สึกกลัวไม่น้อย ไม่ว่าจะพิมพ์เขียวที่นางวาดหรือคำที่นางพูด ล้วนไม่เหมือนคนที่เขาเคยรู้จักเลย
ทันใดนั้นเซียวเย่เจ๋อก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ต่อให้จวนจี้กั๋วกงไม่ยกเลิกการหมั้น เอ่อ…จี้จือฮวนก็ไม่ยอมรับเขาอยู่ดี
เผยยวนเวลาอยู่ต่อหน้านางยังต้องเชื่อฟังเลย นี่คืออะไร นี่ต้องเป็นลูกพี่ฮวนฮวนแล้ว
เขาดึงหญ้าหางสุนัขมาต้นหนึ่ง และกำลังสงสัยว่าเหตุใดเซียวผิงถึงยังไม่มาอีก ขณะที่เขากำลังเดินลงเนินไปนั้น ก็เห็นเด็กผู้หญิงในครอบครัวจี้จือฮวนคนนั้น นางไม่เท่ากับเป็นลูกสาวของเผยยวนหรอกหรือ?!
เซียวเย่เจ๋อเดินไปหาอาอิน และรอบ ๆ ยังมีเด็ก ๆ ในหมู่บ้านหลายคนยืนอยู่ด้วย
“ทำอะไรกันน่ะ?”
อาอินเมื่อเห็นว่าเป็นเซียวเย่เจ๋อ ก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดถึงเป็นเจ้า?”
เซียวเย่เจ๋อเอามือกอดหน้าอก ก่อนจะก้มลงมองนาง “มาคุยเรื่องการค้ากับแม่ของเจ้า”
“อ่อ” อาอินมองต้นสาลี่ต่อ
“อยากเด็ดลูกสาลี่หรือ! ง่ายจะตายไป” เซียวเย่เจ๋อกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับพวกเด็ก ๆ “ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าดู”
เอ่ยจบเซียวเย่เจ๋อก็กระโดดเด็ดลูกสาลี่จากต้นลงมาได้ลูกหนึ่ง ท่าทางต้องหล่อ การกระโดดต้องเร็ว เด็ก ๆ เหล่านี้คงถูกท่าทางของเขาดึงดูดเข้าแล้วกระมัง!
เซียวเย่เจ๋อสะบัดแขนเสื้อ รอคำชื่นชมที่ประหลาดใจของพวกเด็ก ๆ
แต่น่าเสียดายที่เมื่อหันไปก็เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นหยิบไม้ไผ่ขึ้นมา และเริ่มฟาดลูกสาลี่บนต้น
พวกเด็ก ๆ ที่เป็นลูกน้องก็รีบเข้ามาเก็บ พลางมองเขาด้วยสายตาราวกับมองคนโง่เขลาอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าคนผู้นั้นจะเปลืองแรงไปทำไมกัน ใช้ไม้ฟาดก็ร่วงลงมาแล้ว”
“กระโดดเหยง ๆ อยู่ได้ พ่อข้าบอกว่าคนที่กระโดดเช่นนี้คือเหนี่ยวเหริน**”
** เหนี่ยวเหริน (鸟人) หมายถึง คนน่ารำคาญ
“ฮ้า? เช่นนั้นเขาก็คือเหนี่ยวเหรินน่ะสิ!”
เซียวเย่เจ๋อ “…”
บัดซบ! ยังน่าโมโหเหมือนเดิม
พวกเขาใช้ไม้ฟาด ยังได้มากกว่าตอนที่พวกเขาเด็ดเสียอีก!
เพียงพริบตาก็สามารถเก็บได้หนึ่งกองใหญ่
“เท่านี้ยังไม่พอ” อาอินเอ่ย
อาฝูเก็บลูกสาลี่ไปด้วย พลางเอ่ยถามขึ้นมา “เก็บลูกสาลี่มากขนาดนี้ไปทำไมกัน เอาไปขายหรือ?”
“ท่านแม่ข้าบอกว่าจะทำยาลูกสาลี่เชื่อม เปลี่ยนฤดูแล้วไม่สบายได้ง่าย จึงเตรียมไว้ให้คนในหมู่บ้านมากหน่อย”
“ท่านน้าฮวนฮวนสั่ง เช่นนั้นพวกเราก็เก็บ!” เจ้าอ้วนน้อยหลี่ต้าจ้วงตอนนี้เป็นเด็กดีอย่างมาก ไม่กล้าตั้งพรรคพวกอีก เอาแต่เดินตามก้นอาอินต้อย ๆ
“ได้เลย เช่นนี้พวกเราก็สามารถทำยาลูกสาลี่เชื่อมให้คนในหมู่บ้านได้แล้ว!”
…
ทางหมู่บ้านตระกูลเฉินนั้นอบอุ่นมาก แต่ชีวิตคนในเมืองหลวงกลับลำบากกันอย่างยิ่ง
ฮ่องเต้เซี่ยเจินโมโหอย่างมาก จึงไม่มีขุนนางคนใดรอดไปได้ แค่เดินผ่านหน้าฮ่องเต้ทุกคนล้วนถูกด่าจนไม่เหลือชิ้นดี
หานกุ้ยเฟยเองก็ไม่กล้าพูดอะไร แค่กังวลว่าเซี่ยหยางที่ออกไปนอกเมืองหลวง อย่าเพิ่งกลับมาในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ก็พอ
ไม่อย่างนั้นหากฮ่องเต้สั่งให้เขาไปตามไท่ซ่างหวงกลับมา แล้วเกิดทำไม่ได้ คนที่จะซวยก็คือตัวเขาเอง
“พระนาง นี่คือลูกสาลี่ที่เพิ่งถูกส่งมาเป็นของบรรณาการปีนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“กินไม่ลง ทางศาลต้าหลี่รู้เรื่องหรือยัง? หากว่าจี้หมิงซูกลายเป็นคนไร้ค่าแล้วล่ะก็ จัดการนางเสีย ก่อนที่เซี่ยหยางจะกลับมา”
ทั่วทั้งใต้หล้ามีใครบ้างที่ไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของหยางเอ๋อร์กับจี้หมิงซู นางมีความคิดที่จะให้จี้หมิงซูขึ้นเป็นพระชายารองหลังจากที่เซี่ยหยางได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว ฐานะนี้สำหรับบุตรีอนุอย่างนางก็นับว่ามากพอแล้ว
ก่อนหน้านี้จี้หมิงซูผู้นั้นยังนับว่ามีความสามารถอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยหยางก็ยังมีหลายเรื่องที่ต้องการให้นางช่วยเหลือ ทว่าสุดท้ายตอนนี้มีแต่คนบอกว่านางใช้วิธีการที่ไม่ชอบให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศ! ทั้งยังวางแผนทำร้ายคนไปทั่ว สตรีที่ใจคดเช่นนี้อยู่ในวังนางเห็นมามากมาย แต่คนมักจะไม่ชอบ หากคนที่พวกเขาควบคุมอยู่ไม่ได้เป็นในแบบที่พวกเขาคิดเอาไว้
“เช่นนั้นองค์ชายรองจะเอาใจออกหากจากพระนางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เขากล้าหรือ? ไม่มีข้า เขาจะมีวันนี้อย่างนั้นหรือ อย่าลืมว่าตัวเองมีฐานะอะไร” หานกุ้ยเฟยกวาดตามอง คนผู้นั้นจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
เพียงแต่จี้หมิงซูผู้นั้นเกรงว่าคงจะรอจนเซี่ยหยางกลับมาไม่ไหวแล้ว แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร นั่นล้วนเป็นชะตากรรมของจี้หมิงซูโทษใครไม่ได้ แม้แต่ท่านหญิงซ่างหยางเองที่ถือดีมาทั้งชีวิต ตอนนี้ยังมีจุดจบด้วยการถูกฟ้องหย่าเลยมิใช่หรือ?