บทที่ 189 ท่านหญิงซ่างหยาง
ในห้องขังที่มืดสลัวและเย็นเยียบ ทั้งสองด้านของทางเดินที่มืดมิดมีแสงเทียนริบหรี่ส่องเข้ามาวูบไหวตามแรงลม ทำให้สามารถมองเห็นคนที่ยังหายใจรวยรินที่ดูราวกับซากศพเดินได้ในห้องขัง
กลิ่นเหม็นคาวผสมกับกลิ่นต่าง ๆ บนร่างของคน อบอวลจนทำให้คนอยากอาเจียนออกมา
เลือดหยดแล้วหยดเล่าไหลลงมาจากเก้าอี้ที่ใช้ทรมาน ตรงข้างเก้าอี้ยังมีเครื่องมือทรมานที่เพิ่งถอดออกจากร่างของคนวางอยู่นับสิบชิ้น เลือดบนพื้นแข็งตัวแล้ว ทว่าก็ยังมีเลือดสด ๆ ซึมลงมาไม่หยุด เยิ้มจนพื้นเป็นสีดำ
จี้หมิงซูถูกผู้คุมเรือนจำลากและโยนลงกับพื้น การลงโทษในวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว
หัวหน้าห้องขังสามสี่คนปิดประตูไม้ เมื่อเห็นสองแม่ลูกหายใจรวยริน ก็ได้แต่นึกเย้ยหยันอยู่ในใจ
“หัวหน้า สตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งของเมืองหลวงผู้นี้ ทางหานกุ้ยเฟยไม่สนใจนางแล้วหรือขอรับ?”
“ในวังไม่มีคำสั่งเจ้าจะร้อนใจไปทำไม หัวหน้าว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องทำเช่นนั้น ใบหน้าของนางน่าขยะแขยงกว่าคนหน้าบากเสียอีก เป็นเช่นนี้แล้วคิดว่าองค์ชายรองยังจะเอานางอยู่อีกหรือ?”
“ท่านพูดถูกแล้วขอรับ ข้าเตรียมเหล้าและกับแกล้มเอาไว้ให้ท่านแล้วขอรับ”
เสียงพูดไกลออกไป ไป๋อี๋เหนียงจึงได้ลากสังขารพลิกร่างของจี้หมิงซูกลับมา เมื่อเห็นสภาพของนางราวกับสุนัขใกล้ตายตัวหนึ่ง ในใจก็รู้สึกโกรธแค้นอย่างมาก
ประคองชีวิตต่อไปเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด วันเวลาที่ผ่านพ้นไปแต่ละวันช่างยาวนานยิ่งนัก องค์ชายรองจะยังจำพวกนางได้หรือไม่?
ตอนที่หานกุ้ยเฟยส่งคนมา จี้หมิงซูก็ถูกคนใช้น้ำเย็นสาดจนตื่นขึ้นมา
“แม่นางซุ่นไฉ จี้หมิงซูฟื้นแล้วขอรับ”
ซุ่นไฉปัดมือไปมา ก่อนจะใช้ไม้ปัดฝุ่นเชยคางของจี้หมิงซูขึ้นมา ทว่าก็ต้องหงายหลังไปด้วยความตกใจ สตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในอดีต นับว่ามีความโดดเด่นในด้านรูปลักษณ์ แต่ด้วยสภาพในตอนนี้ไม่มีทางที่จะติดตามองค์ชายรองได้อีกแล้ว
ซุ่นไฉคิดจะกลับไปรายงานหานกุ้ยเฟยว่าสามารถกำจัดจี้หมิงซูได้แล้ว ทว่านางเพิ่งจะส่ายหน้าและเตรียมที่จะจากไป ทันใดนั้นจี้หมิงซูก็ดึงชายเสื้อของนางเอาไว้เสียก่อน
ซุ่นไฉมองดูสภาพราวกับผีของจี้หมิงซูแล้วก็อยากจะอาเจียน “ปล่อย!”
“…ซุ่นไฉ ลืมเรื่องเรือรบของกองทัพเรือไปแล้วหรือ?”
ซุ่นไฉชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบสั่งให้ผู้คุมไสหัวออกไป จากนั้นก็นั่งยอง ๆ จ้องหน้าจี้หมิงซู “จวนจี้กั๋วกงถูกรื้อจนหมดแล้ว แบบร่างอยู่ที่ใดกัน?”
จี้หมิงซูชี้ไปที่ตัวเอง “ข้าก็คือแบบร่างที่มีชีวิต แผนการและภารกิจต่อไปขององค์ชายรองจะขาดข้าไปไม่ได้ ข้ารู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องของชาวถู่เจียก็ได้ข้าที่ช่วยวางแผนให้องค์ชายรอง ซุ่นไฉ เห็นแก่องค์ชายรอง พระนางกุ้ยเฟยต้องช่วยข้านะ ข้าทำทั้งหมดก็เพื่อองค์ชายรอง”
ซุ่นไฉจ้องหน้าจี้หมิงซูครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน “แม่นางจี้วางใจ คำพูดของท่านข้าจะส่งไปให้ถึงพระนาง”
จี้หมิงซูรอจนกระทั่งซุ่นไฉจากไปแล้ว จึงได้นอนลงบนกองหญ้า มีหนูตัวใหญ่อยู่บนกองหญ้านั้น จี้หมิงซูหรี่ตาลง ขอเพียงมีชีวิตรอดไปได้ นางก็จะมีโอกาสพลิกกระดานอีกครั้ง นางไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนี้แน่
…
ตำหนักเฉิงเฉียน
หานกุ้ยเฟยเพิ่งตัดแต่งกิ่งดอกไม้เสร็จ หลังจากฟังรายงานของซุ่นไฉแล้ว นางก็วางกรรไกรลง “นับว่าเป็นคนฉลาด ช่างเถอะ ให้โอกาสนางสักครั้ง ใบหน้านั้นเสียโฉมแล้วจริงหรือ?”
“เสียโฉมหมดแล้วเพคะ”
“ไปหาหมอให้นาง ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีอะไรอย่างน้อยก็ต้องให้นางกลับมาดูเหมือนคนให้ได้ ไม่อย่างนั้นมิเท่ากับจะทำให้คนหัวเราะเยาะเซี่ยหยางหรอกหรือ”
“เพคะ”
“เจ้าไปบอกนางว่าแบบร่างเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากทำไม่ดีล่ะก็ ข้าที่สามารถทำให้นางรอดชีวิตได้ ก็สามารถทำให้นางทุกข์ทรมานมากกว่าตอนนี้เป็นร้อยเท่าได้เหมือนกัน”
“พระนางทรงวางพระทัยได้เพคะ”
หานกุ้ยเฟยเอ่ยถึงตรงนี้ ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นอีกเรื่อง “เซี่ยฉงฟางยังไม่กลับมาเมืองหลวงอีกหรือ?”
“น่าจะทราบข่าวแล้วเพคะ”
ทันใดนั้นหานกุ้ยเฟยก็หัวเราะออกมา “เมื่อก่อนนางมักจะหาเรื่องข้าบ่อยครั้ง บัดนี้กลายเป็นหญิงม่ายที่ถูกหย่า อีกทั้งยังเป็นฝีมือของลูกชายตัวเองด้วย ข้าอยากจะเห็นหน้านางจนแทบทนไม่ไหวแล้ว ข้าจะดูสิว่านางยังจะหยิ่งยโสเช่นนั้นได้อีกหรือไม่”
…
ภายในห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ทั้งสี่ด้านมีกระจกบานใหญ่วางอยู่ บนพรมปูด้วยอัญมณีหลากสีเต็มไปหมด บนตั่งกุ้ยเฟย*ด้านหน้ามีหญิงงามนางหนึ่งกำลังนอนอยู่ รองเท้าปักไหมทองของนางยังประดับด้วยไข่มุกทะเลใต้ทรงกลม กระโปรงลายเมฆาที่ปักหงส์เอาไว้ ทำให้ดูสง่างาม หรูหรา และงดงามจับใจ
* ตั่งกุ้ยเฟย (贵妃榻) หมายถึง เก้าอี้ยาวมีที่เท้าแขนข้างหนึ่งใช้เอนนอนได้ แรกเริ่มเป็นตั่งที่สตรีสูงศักดิ์ในวังนิยมใช้พักผ่อนอิริยาบถ
เซี่ยฉงฟางเอาแต่จ้องไปที่รูปปั้นที่อยู่กลางห้อง รูปปั้นนั้นเป็นรูปบุรุษที่หล่อเหลาผู้หนึ่ง ดวงตาของนางฉายแววคลั่งไคล้ออกมา สามารถมองนาน ๆ เช่นนี้ได้โดยไม่รู้สึกเบื่อ
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก ผู้ที่เดินเข้ามาคือสาวใช้นางหนึ่ง การเคลื่อนไหวของนางแผ่วเบา ใบหน้าแน่วแน่ดูก็รู้ว่าเป็นคนที่ฝึกวรยุทธ์ “ท่านหญิง จวนยงอ๋องเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นข่าวจากเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
เซี่ยฉงฟางมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที “ใครให้พวกเจ้าเข้ามารบกวนข้า?”
สองวันนี้เป็นวันที่เซี่ยฉงฟางและเผยเกอพบกันเป็นครั้งแรก เวลานี้ของทุก ๆ ปีนางจะขังตัวเองเอาไว้ในนี้ เพื่ออยู่ร่วมกับเผยเกอทั้งวันทั้งคืน
สาวใช้นามว่าจื่อเยว่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ท่านหญิง ท่านอ่านสิ่งที่เขียนบนจดหมายก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”
เซี่ยฉงฟางรับจดหมายที่จวนยงอ๋องส่งมาไปอ่าน ก่อนจะปัดกระถางเครื่องหอมสามขาที่เป็นผลึกสีม่วงที่จุดไว้บนโต๊ะตกแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในทันที
“เผยยวน เขายังไม่ตายอย่างนั้นหรือ? เซี่ยอวินเจ้าคนไม่ได้เรื่อง หลังจากพ่อข้าตายยังจะสามารถวางใจให้พวกเขามาดูแลจวนยงอ๋องได้อีกอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าอย่างเขา แม้แต่ยศขั้นสี่ก็ยังเป็นไม่ได้ด้วยซ้ำ!” เซี่ยฉงฟางฉีกจดหมายหย่าเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“คิดจะให้ข้าหย่าอย่างนั้นหรือ? เขามีสิทธิ์อะไร? ข้าเป็นแม่ของเขา เขาคิดจะสลัดข้าทิ้งเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”
เซี่ยฉงฟางเพิ่งจะอาละวาดเสร็จ ก็เหลือบไปเห็นรูปปั้นของเผยเกอ ชายหนุ่มรูปงามเหมือนที่พบกันครั้งแรกในวัยเยาว์ เซี่ยฉงฟางมองเขาด้วยความหลงใหล ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าและลูบไล้รูปปั้นนั้น “เผยเกอ เดิมข้าคิดจะส่งเขาให้ไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน เขาเป็นลูกชายที่ท่านรักที่สุด แต่เขาไม่เชื่อฟัง ท่านว่าข้าควรทำเช่นไรดี?”
จื่อเยว่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับภาพตรงหน้า ราวกับเคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และชินชามานานมากแล้ว
เซี่ยฉงฟางหลังจากพึมพำกับตัวเองอยู่สักพัก ก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้มกับเผยเกอ “ไม่เป็นไร พวกเรายังมีโอกาส ใครก็ไม่สามารถแยกพวกเราจากกันได้ ข้าเป็นภรรยาของท่าน เป็นท่านหญิงซ่างหยางที่สูงส่งและงดงามที่สุด พวกเราต่างหากที่เป็นคู่ที่สวรรค์สรรค์สร้าง ข้าจะส่งเผยยวนไปอยู่เป็นเพื่อนท่านอย่างแน่นอน”
จื่อเยว่คิ้วกระตุกขึ้นมาทันที
เซี่ยฉงฟางหมุนกายกลับมา “เตรียมตัวกลับเมืองหลวง”
“เจ้าค่ะ”
…
“โฮก โฮก โฮก~~” หย่งหนิงส่งเสียงแข่งกับเมี้ยวเมี้ยวอยู่สักพัก ก่อนจะหันมาเอ่ยขึ้น “มันคงไม่ใช่ลูกเสือกระมัง มันร้องโฮกไม่เป็น”
เมี้ยวเมี้ยว “…”
อาชิงเกาหัว “เป็นเพราะกินไม่อิ่มหรือ?”
เอ่ยจบ อาชิงก็ยื่นมือไปคว้างูสองตัวมา “เมี้ยวเมี้ยวกินไหม?”
ขนบนตัวลูกเสือแทบจะพองขึ้นมา จี้จือฮวนคว้าตัวเมี้ยวเมี้ยวมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะโยนงูสองตัวนั้นออกไป “งูหนึ่งงูสองถูกเจ้าเล่นจนใกล้จะตายอยู่แล้ว รีบไปล้างมือเตรียมมากินข้าวได้แล้ว”
“ขอรับ” อาชิงจูงมือหย่งหนิงไปล้างมือ
เซียวเย่เจ๋อกำลังช่วยอาอินแบกลูกสาลี่กลับมา จี้จือฮวนเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้สิ่งที่กองทัพทหารเกราะเหล็กตั้งตารอมากที่สุดในทุก ๆ วันคือเวลากินข้าว พวกเขาที่เพิ่งไปวิ่งรอบภูเขามาหนึ่งรอบหิวจนไส้กิ่วไปหมดแล้ว
บังเอิญว่าเผยยวนก็กลับมาด้วยพอดี จี้จือฮวนจึงให้ท่านป้าหยางช่วยตักข้าวให้ ส่วนนางบอกให้เผยยวนตามนางมา เมื่อเข้ามาในห้อง จี้จือฮวนก็ล้วงเอาไข่ไก่ต้มที่ปอกแล้วลูกหนึ่งออกมา ก่อนจะห่อไว้ในผ้าบาง ๆ และคลึงที่ดวงตาให้เขา
ภายในดวงตาของเผยยวนแฝงไว้ด้วยประกายวิบวับ มองนางอย่างนิ่งงัน
จี้จือฮวนเห็นท่าทางซื่อ ๆ ของเขาก็อยากจะหัวเราะออกมา “มองข้าทำไม?”
“ตอนข้าเด็ก ๆ เวลาที่ล้มท่านพ่อก็จะนำยามาทาให้ข้า ต่อมาหลังจากท่านพ่อเสียไปแล้ว นอกจากแพทย์ทหารก็ไม่มีใครสนใจบาดแผลของข้าอีกแล้ว ฮวนฮวน เจ้าใจดีจังเลย”