บทที่ 203 เซี่ยฉงฟางมาแล้ว
รถม้าหรูหราที่ห้อมล้อมไปด้วยองครักษ์เคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว
ลูกปัดหรูหราที่ประดับอยู่รายรอบส่องประกายแวววาวภายใต้แสงอาทิตย์ จื่อเยว่ยกน้ำชามาให้เซี่ยฉงฟางด้วยตัวเอง ต่อให้เป็นการออกจากเมืองหลวงแบบเรียบง่ายและมีผู้ติดตามไม่มาก แต่การแต่งกายของเซี่ยฉงฟางก็ไม่ได้น้อยลงเลย ทุกอย่างต้องหรูหราที่สุด
มือเรียวที่ทาด้วยน้ำมันทาเล็บสีแดงสดรับถ้วยชามา แต่อารมณ์กลับไม่ได้เย็นลงอย่างใด
กลับเมืองหลวงครั้งนี้ นางได้ไปศาลต้าหลี่เป็นที่แรกแต่กลับถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ สาเหตุเป็นเพราะไท่ซ่างหวงเป็นผู้ออกราชโองการให้ตรวจสอบจวนยงอ๋องด้วยพระองค์เอง แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เสนาบดีของศาลต้าหลี่อาศัยอำนาจมารังแกกัน ถึงกับกล้ามองหน้านางและเรียกนางว่าท่านหญิงซ่างหยาง
หลังจากที่นางแต่งงานกับเผยเกอ ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังมักจะชอบให้คนอื่นเรียกนางว่าเผยฮูหยิน แต่บัดนี้เพราะหนังสือหย่าที่มิชอบด้วยกฎหมายและทำนองคลองธรรมของเผยยวน มิหนำซ้ำยังให้ถังกั๋วกงส่งไปที่โถงบรรพชนของตระกูลเผย และตัดชื่อของนางออกอีกด้วย
นางไม่อยู่เมืองหลวงเพียงไม่กี่วัน เผยยวนถึงกับกล้าก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ครั้งนี้เซี่ยฉงฟางไม่มีทางปล่อยเขาไปอีกอย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็โมโหจนหักเล็บที่นิ้วก้อยของตัวเอง
จื่อเยว่เห็นดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นและเอ่ยว่า “ด้านหน้าเป็นตำบลฉาซู่แล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยฉงฟางเปิดม่านรถม้าออกเล็กน้อย มองดูสภาพแวดล้อมสองฝั่งของถนน ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ นางเกลียดสภาพแวดล้อมที่ทุรกันดารเช่นนี้ที่สุด มองคนต่ำต้อยที่อยู่ข้างทางด้วยความขยะแขยง “เร็วหน่อย ข้าต้องรีบไปพบเผยยวน ข้าอยากเห็นเขาคุกเข่าแทบเท้าข้า ข้าจะฟาดเขาด้วยแส้เพื่อระบายความแค้นในใจของข้า”
“เจ้าค่ะ”
เซี่ยฉงฟางไม่ได้ปิดม่านในทันที จึงเห็นว่าบนถนนมีรถม้าจากเมืองหลวงหลายคันกำลังมุ่งหน้าไปยังตำบลฉาซู่เช่นกัน จึงเอ่ยถามขึ้นมา “คนมากมายเพียงนั้นจะไปที่ใดกัน?”
จื่อเยว่เอ่ย “เหมือนว่าทั้งหมดจะไปกินไอศกรีมและน้ำแกงหมาล่าที่ตำบลฉาซู่เจ้าค่ะ”
“มันคือสิ่งใดกัน? เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน?”
“เป็นของกินออกใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้เจ้าค่ะ ร้านของตระกูลเซียวในเมืองหลวงก็เปิดขายเช่นกัน แต่หลายคนรู้ว่ารสชาติที่ตำบลฉาซู่นั้นดีกว่าและหลากหลายกว่า จึงอยากมาที่นี่เพื่อลองชิมอะไรใหม่ ๆ เจ้าค่ะ”
ที่ผ่านมาเซี่ยฉงฟางรังเกียจของชั้นต่ำเหล่านี้มาตลอด หากนางจะใช้อะไรก็ต้องเป็นของที่ดีที่สุด หรูหราที่สุด ดังนั้นจึงเอาม่านลงและไม่มองพวกเขาอีก นางต้องคิดให้รอบคอบว่าหลังจากเจอเผยยวนแล้ว ควรจะทรมานลูกชายตัวดีของนางเช่นไรดี!
…
หมู่บ้านตระกูลเฉิน
จี้จือฮวนหยิบดอกกุหลาบที่เพิ่งบานออกมาจากช่องว่างมิติ นางนำกลีบดอกกุหลาบใส่ลงไปในครกหินแล้วบดจนมีน้ำออกมา จากนั้นก็เอาใส่ในถุงผ้าขาวบาง ก่อนวางไว้บนเครื่องคั้นน้ำ กดด้ามไม้ลงไปแล้วออกแรงคั้นน้ำดอกกุหลาบออกมา จากนั้นก็เทเกลือลงไปในกระทะและเทน้ำดอกกุหลาบที่คั้นได้ลงไป เคี่ยวด้วยไฟแรงจนน้ำส่วนใหญ่ระเหยกลายเป็นเกลือแห้ง ๆ ก็สามารถตักออกมาเก็บได้แล้ว
“ท่านแม่เจ้าคะ เกลือสีแดงดูงดงามยิ่งนัก กินได้หรือไม่เจ้าคะ?” อาอินเท้าคางพลางเอ่ยถามขึ้นมา
“จะกินก็กินได้ แต่ไม่ดีเท่ากับเกลือแกง อันนี้ข้านำมาใช้เป็นเกลืออาบน้ำ นับเป็นสินค้าเสริมความงาม” จี้จือฮวนปิดผนึกเกลือกุหลาบ ตั้งใจว่าคืนนี้จะแบ่งให้เซียวเย่เจ๋อลองเล็กน้อย หากว่าสามารถทำการตลาดได้ นางจะเปิดตลาดในกลุ่มสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงก่อน
สาวน้อยเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อายุของนางยังไม่ถึงวัยที่จะรู้จักรักสวยรักงามแต่งหน้าทาปาก แต่กลับมีความกระตือรือร้นในเรื่องการหาเงินอย่างมาก
จี้จือฮวนบดกลีบกุหลาบที่อบไว้เมื่อวานนี้จนเป็นผงละเอียด จากนั้นก็เติมน้ำแร่จากภูเขาลงไป กรองเอากากออกด้วยตาข่ายละเอียด และบีบน้ำมะนาวลงไป
“แอนโทไซยานินจะเปลี่ยนสีเมื่อเจอกรด ใช้หลอดหนังนี้ดูดของเหลวชั้นบนหลังจากตกตะกอนออก นี่คือหลักการกาลักน้ำ”
เสี่ยวฮุยยกมือขึ้นทันที “ข้ารู้ขอรับ เวลาที่ท่านปู่ข้าตักเหล้าก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน พวกเขาเรียกว่า มังกรข้ามเขา*”
* มังกรข้ามเขา (过山龙) เป็นชื่อเรียกกาลักน้ำในสมัยโบราณ
“ใช่ มันก็คือมังกรข้ามเขา” ภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนนั้นเหนือกว่าสิ่งที่คนสมัยใหม่คิดเอาไว้มาก
ตะกอนที่เหลือถูกเทลงในขวดลายครามขนาดเล็ก ก่อนจะนำไปตากแดดให้แห้ง “เมื่อถึงเวลาค่อยนำตะกอนที่ตากแดดจนแห้งแล้วมาบดเป็นผงละเอียดอีกที แล้วอัดให้แน่นก็จะกลายเป็นสีชาดทาหน้า”
ครั้งนี้จี้จือฮวนทำไว้ไม่น้อย ตั้งใจจะให้เซียวเย่เจ๋อนำกลับไปให้คนทดลองใช้ ถึงเวลาเมื่อโรงงานสร้างเสร็จก็สามารถเริ่มการผลิตได้เลย
“พวกเจ้าควรไปเข้าเรียนกันแล้วไม่ใช่หรือ ตัวอักษรที่เรียนเมื่อวานฝึกกันเสร็จหรือยัง?”
เจ้าตัวเล็กกลุ่มใหญ่แตกกระเจิงในทันที และรีบกลับไปนั่งที่ม้านั่งเล็ก ๆ ในสวนเพื่อฝึกคัดลายมือ
จี้จือฮวนส่ายหน้าอย่างระอา พลางเก็บของให้เรียบร้อยและเตรียมตัวเข้าไปดูการค้าที่ตำบล จะได้สืบความเคลื่อนไหวของราชสำนักด้วย
นางเตรียมไปที่คอกม้า พวกซูอิ่งและหลิวเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้น
ตั้งแต่วันที่นางได้รับบาดเจ็บ เผยยวนเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้นางขึ้นภูเขาหรือเข้าไปในตำบลคนเดียวอีก ต้องมีองครักษ์ส่วนตัวติดตามไปด้วยทุกครั้ง
จี้จือฮวนอยากจะปฏิเสธ แต่เจ้าเด็กนั่นกลับมองนางด้วยสายตาน้อยใจ จนทำให้จี้จือฮวนรู้สึกอึดอัด และทำได้เพียงทำตามที่เขาบอก พาคนไปด้วยทุกครั้ง
…
ตอนที่มาถึงเค่ออวิ๋นไหล นางก็พบว่ามีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าประตูร้าน และที่ประตูยังมีพรมแดงปูไว้อีกด้วย จี้จือฮวนจึงบอกกับพวกซูอิ่ง “พวกเราไปเข้าทางประตูหลังเถอะ อย่าขวางทางด้านหน้าเลย”
“ขอรับ ฮูหยิน”
ประตูหลังของเค่ออวิ๋นไหลมักมีคนเอาของมาส่ง ดังนั้นจะมีเสี่ยวเอ้อนั่งประจำการอยู่ เมื่อเห็นว่าเป็นจี้จือฮวนก็ดีใจอย่างมาก “แม่นางจี้ ไม่ได้มาพักใหญ่เลยนะขอรับ”
“ใช่แล้ว ครั้งนี้ข้าเอาของใหม่ ๆ มาให้เถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้าลองด้วย แต่ว่าวันนี้ที่หน้าประตูใหญ่มีแขกสูงศักดิ์มาอย่างนั้นหรือ?”
เอิกเกริกถึงเพียงนี้
เสี่ยวเอ้อได้ยินดังนั้นก็กลอกตามองบนแล้วเอ่ยขึ้นมา “อย่าพูดถึงดีกว่าขอรับ แขกสูงศักดิ์อันใดกันขอรับ เป็นสตรีบ้าที่มาแสดงอำนาจชัด ๆ บอกว่าร้านเราสกปรกอย่างนั้นอย่างนี้ จึงจะเหมาร้านของเราและให้เราทำความสะอาดที่นี่ใหม่ทั้งด้านนอกและด้านใน นางจึงจะยอมลงจากรถ เถ้าแก่เนี้ยของเราอารมณ์ร้ายเพียงนั้นจึงบอกปัดว่าไม่รับเหมาร้าน คนผู้นั้นเดิมก็จะไปอยู่แล้ว แต่จู่ ๆ ก็ลงมาบอกว่าจะกินข้าวที่นี่ให้ได้
ท่านคงจะยังไม่รู้ว่าการปูพรมแดงนั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะนางยังขนสาวใช้มาจนเต็มไปหมด เข้ามาในร้านได้ก็จุดเครื่องหอมและให้คนมาพัด อีกทั้งยังต้องยกฉากบังลมมาบังให้นางอีกด้วย ให้นางไปนั่งในห้องส่วนตัวนางก็ไม่ยอมไป ดึงดันจะนั่งที่ชั้นล่างให้ได้”
จี้จือฮวนขมวดคิ้ว “มาหาเรื่องหรือไม่?”
“ดูไม่เหมือนหาเรื่องนะขอรับ ไม่กินของของเรา เอาแต่จ้องมองคนอื่นกิน โชคดีที่วันนี้ข้ารับผิดชอบรอคนส่งผักที่ประตูหลัง หากต้องรับแขกด้านหน้าไม่แน่ว่าอาจจะถูกนางกลั่นแกล้งก็เป็นได้”
“ข้าจะไปดูก่อน จะได้ไปหาเถ้าแก่เนี้ยของเจ้าด้วย เจ้าทำงานต่อเถอะ”
“ขอรับ”
จี้จือฮวนให้หลิวเฟิงและคนอื่น ๆ ไปพักผ่อนและกินขนมรอที่ห้องครัวก่อน แล้วจึงได้เปิดม่านเข้าไปในห้องโถงด้านหน้า
หากเทียบกับความคึกคักเมื่อก่อนแล้ว วันนี้ภายในร้านเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด ยกเว้นคู่รักที่อยู่ตรงมุมหนึ่งกำลังป้อนอาหารให้อีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม
ดูรักใคร่ผูกพันเป็นพิเศษ ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขาก็รู้แล้วว่าเป็นแค่คนธรรมดา คงเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งจึงได้มากินที่ร้านอาหาร
“หากชอบกิน ครั้งหน้าพวกเราค่อยมากันอีก”
“มาครั้งเดียวก็พอแล้ว กว่าท่านจะหาเงินมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งร่างกายข้าก็ไม่แข็งแรงอีก”
ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม อบอวลไปด้วยความรักที่หอมหวานที่ไม่มีใครสามารถแทรกซึมเข้าไปได้
และความสุขเช่นนี้ กลับจี้ใจดำท่านหญิงซ่างหยางที่เฝ้ามองพวกเขามาโดยตลอด
มือที่กุมถ้วยของเซี่ยฉงฟางสั่นเทา ร้านที่ดูอนาถาเช่นนี้ เดิมทีนางก็ไม่ได้อยากจะเข้ามา แต่เป็นเพราะนางเห็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันดีคู่นี้ผ่านม่านรถม้า นางจึงอยากจะลงมาดู
แต่ยิ่งดูไฟอิจฉาริษยาก็ยิ่งลุกโชนขึ้นมา เพราะสำหรับนาง คนสองคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไปมาตั้งนานแล้ว ทว่าคือเผยเกอกับเซี่ยชิงหรู