บทที่ 209 นั่นไม่ใช่ความรัก เป็นแค่การสนองความเห็นแก่ตัว
หากจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ พระราชนัดดาเหมือนไม่อยู่แล้วมิใช่หรือ?
นายอำเภอเจียงรู้สึกสงสัยว่าไท่ซ่างหวงอายุมากแล้ว สมอง…จำไม่ได้แล้วหรืออย่างไร?
ไม่อย่างนั้นจะสั่งให้นายอำเภอขั้นเจ็ดเช่นเขา ไปขวางฮ่องเต้ไว้ด้านนอกได้อย่างไรกัน? เขาสามารถขวางได้อย่างนั้นหรือ พูดออกไปจะมีใครเชื่อ
“เจ้าเพียงแค่ต้องจำในสิ่งที่ข้าบอกเจ้าก็พอแล้ว เรื่องอื่นเจ้าอย่าไปสืบให้เสียเวลา หมวกผ้าแพรบาง ๆ บนหัวเจ้ายังอยากได้หรือไม่อยากได้?” ไท่ซ่างหวงเห็นว่าปากของเขาขยับสองครั้ง แต่กลับไม่มีเสียงเปล่งออกมา ก็รู้ได้ว่าเขากำลังด่าตนอยู่ในใจว่าแก่จนเลอะเลือนเป็นแน่
“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำให้ได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าวางใจเถอะ เจ้าไม่ลำบากเพราะเรื่องนี้แน่นอน ถึงเวลาข้าจะส่งคนไปช่วยเจ้าเอง” ไท่ซ่างหวงตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้จะจัดการเจ้าสารเลวเซี่ยเจินนั่นให้หนัก เขารอให้เจ้าเซี่ยเจินมาถึงไม่ไหวแล้ว
…
หลังลงมาจากภูเขา เผยยวนก็ไม่ได้ไปหาเซี่ยฉงฟางทันทีทันใด แต่กลับไปหาจื่อเยว่ที่ถูกตีจนพิการก่อน
คนที่เซี่ยฉงฟางพามาทั้งหมดถูกโยนไว้ที่นี่ โดยมีพวกซูอิ่งคอยจัดการ ซึ่งพวกเขาล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ที่ติดตามเซี่ยฉงฟางมานาน ย่อมสามารถเค้นบางอย่างที่มีประโยชน์จากปากของพวกเขาได้
จื่อเยว่เป็นคนสนิทของเซี่ยฉงฟาง นับตั้งแต่เผยยวนรู้ความ จื่อเยว่ก็ติดตามเซี่ยฉงฟางแล้ว เมื่อก่อนเผยยวนยังเรียกจื่อเยว่ว่าพี่สาวอีกด้วย
เซี่ยฉงฟางไม่ชอบเห็นชายหญิงสมปรารถนาได้ครองคู่ จื่อเยว่จึงยังไม่ได้แต่งงาน ซึ่งก็นับว่านางจงรักภักดีมากทีเดียว
ประตูส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกับถูกเปิดออก จื่อเยว่ลืมตาที่เปื้อนไปด้วยคราบเลือดและมองไปที่ประตู
เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยของผู้มาเยือน จื่อเยว่ก็ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา “นายน้อย”
เผยยวนส่งสัญญาณเล็กน้อย พวกซูอิ่งจึงได้ออกไปพร้อมปิดประตูให้
จื่อเยว่ยังคงถูกแขวนอยู่กับคาน ร่างกายถูกเฆี่ยนตีจนไม่เหลือชิ้นดี แขนอยู่ในสภาพบิดเบี้ยว ขาก็มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
เผยยวนเองก็ไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งที่เขาได้พบกับจื่อเยว่อีกครั้ง นางจะมีสภาพเช่นนี้
จื่อเยว่บ้วนเลือดในปากออกมา จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นายน้อย จื่อเยว่เห็นท่านยังสบายดีก็วางใจแล้วเจ้าค่ะ”
เผยยวนพ่นเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ “เจ้าเป็นคนที่นางไว้ใจที่สุด นางให้ข้าดื่มอะไรเจ้าจะไม่รู้เลยอย่างนั้นหรือ?”
เขาเพียงแค่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ไม่มีท่าทีว่าต้องการจะโต้เถียงกับจื่อเยว่แต่อย่างใด
ใบหน้าของจื่อเยว่เผยความตื่นตระหนกออกมา ปกตินางมักจะไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ แต่เผยยวนเป็นคนที่นางเฝ้ามองดูเขาเติบโตขึ้นมา ย่อมต้องมีความรู้สึกให้อยู่แล้ว “ท่านหญิงนางก็เจ็บปวดหัวใจไม่น้อย แต่ถึงวางยาก็ไม่ได้ต้องการที่จะเอาชีวิตของท่าน ตอนนี้ท่านยังอยู่ดี…”
“ที่ข้าไม่ตายเป็นเพราะข้าได้พบคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ใช่เพราะนางมีเมตตา”
จื่อเยว่พูดไม่ออก ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วเอ่ยขึ้นมา “ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ จื่อเยว่ก็ยังเห็นท่านเป็นนายน้อยมาตลอด ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายท่าน”
“ในเมื่อเห็นข้าเป็นนาย เจ้าก็บอกความจริงข้ามาว่าแม่แท้ ๆ ของข้าเป็นใคร”
จื่อเยว่สะดุ้งทันที “อะไรนะเจ้าคะ?”
“เซี่ยฉงฟางไม่ได้เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดข้า ตอนนั้นท่านพ่อมีสตรีอื่น? หรือว่าข้าก็ไม่ใช่คนของตระกูลเผยด้วย?”
ด้วยนิสัยของเซี่ยฉงฟาง หากรู้ว่าเผยเกอมีลูกกับสตรีอื่นข้างนอก จะต้องฆ่าแม่และเก็บลูกเอาไว้ เช่นนั้นเขามิเท่ากับรับฆาตกรเป็นแม่หรอกหรือ
“ไม่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ เจ้าเป็นคนที่ติดตามนางมานานที่สุด และเป็นคนที่นางเชื่อใจมากที่สุด เรื่องของนางเจ้ารู้ดียิ่งกว่าใคร ต่อให้เจ้าจะเข้าจวนมาตอนที่ข้าอายุสามสี่ขวบ ทว่าเรื่องเก่าในอดีตเหล่านั้น ก็ไม่ยากที่เจ้าจะถามจากคนรับใช้เก่าแก่พวกนั้นอยู่แล้ว” เผยยวนราวกับมองออกว่าจื่อเยว่จะไม่พูดมันออกมา
จื่อเยว่ยิ้มออกมาอย่างระอา “นายน้อย เหตุใดถึงสงสัยเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ท่านหญิงนางก็กำลังทุกข์ใจ และเจ็บปวดใจอยู่มากเช่นกัน นางจะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของท่านได้อย่างไรกัน?”
“บนโลกนี้จะมีแม่แท้ ๆ คนใดคิดจะฆ่าเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเช่นนี้บ้าง? ยิ่งไปกว่านั้นนางรักท่านพ่อเพียงนั้น ตามหลักการแล้วข้าควรเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนางกับท่านพ่อที่เหลืออยู่บนโลกนี้ เหตุใดนางต้องทำเช่นนี้ด้วย? เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่หลอกได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ?” แววตาของเผยยวนเย็นเยียบ พลางพิงไปบนพนักเก้าอี้
จื่อเยว่ถูกแววตาเย็นชาคู่นั้นของเขาจ้องมองจนต้องหลบสายตา
ตอนเด็ก ๆ ก็เป็นเช่นนี้ เผยยวนในตอนเด็กนั้นร่างกายยังผอมบางอยู่มาก อ่านหนังสือจนดึกดื่นอ่านจนเป็นไข้สูง ทว่าก็ยังต้องมาคารวะเซี่ยฉงฟางตอนเช้าตามกฎ
น่าเสียดายที่เซี่ยฉงฟางให้เขาคุกเข่าที่หน้าประตู เผยยวนในตอนนั้นก็ใช้สายตาที่คมกล้าเช่นนี้จ้องมองนาง
เพียงแต่ในเวลานั้นสิ่งที่แฝงในแววตาคือความสับสนและความไม่เข้าใจ มองดูแล้วทำให้คนรู้สึกสงสารจับใจ แต่ตอนนี้ภายในดวงตาคู่นั้นเหมือนรู้ทุกอย่างหมดแล้ว
ภายใต้การจับจ้องของแววตาคูนั้น จื่อเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย “นายน้อย จื่อเยว่ไม่รู้เรื่องจริง ๆ เจ้าค่ะ”
ประโยคนี้เพียงพอแล้ว
หากเซี่ยฉงฟางเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของเขาจริง จื่อเยว่จะต้องตอกย้ำเสียงดังฟังชัดอย่างแน่นอน
เผยยวนลุกขึ้นยืน ไม่มีอะไรต้องพูดกับนางอีกแล้ว เส้นทางนี้นางเป็นคนเลือกเอง เช่นนั้นก็ควรรับผลกรรมที่ตัวเองเลือก
จื่อเยว่เห็นเขาจะจากไปแล้ว ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “นายน้อย จี้จือฮวนผู้นั้น นางดีกับท่านหรือไม่เจ้าคะ?”
เผยยวนจึงหันหน้ามาเล็กน้อย “ข้าถือว่านางเป็นชีวิตของข้า”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นางดีกับเขาจนเขารู้สึกว่าต่อให้เอาชีวิตมาแลกก็ยังไม่พอ
จื่อเยว่ตกใจขึ้นมา กำลังคิดที่จะบอกว่าผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควร แต่เมื่อเห็นท่าทางเฉยเมยของเผยยวนก็ได้แต่ก้มหัวลง
นางไม่กล้าเล่าเรื่องเหล่านั้นออกมา ต่อให้ต้องตายด้วยน้ำมือของเผยยวน นางก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
“อย่าเป็นเหมือนท่านหญิงที่รักคน ๆ หนึ่ง จนสูญเสียความเป็นตัวเองไปนะเจ้าคะ”
เดิมเผยยวนเดินไปจนถึงหน้าประตูแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้เขากลับพ่นเสียงหัวเราะออกมาและเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ นางไม่เคยรักท่านพ่อเลยต่างหาก แต่เป็นตัวนางเองที่ไม่เคยพอใจเพราะท่านพ่อไม่ได้รักนาง ดังนั้นนางจึงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ความรักจากท่านพ่อ เจ้าก็รู้ดีว่าข้าพูดไม่ผิด”
“ท่านหญิงเพียงแค่อยากได้ความรักจากสามีผิดด้วยหรือเจ้าคะ?”
“แต่การแต่งงานนี้ เป็นเพราะนางใช้คนมาบีบบังคับท่านพ่อ”
จื่อเยว่ดวงตาเบิกโพลง “เหตุใดท่าน…”
“เหตุใดข้าถึงรู้อย่างนั้นหรือ? ท่านพ่อยอมตายอยู่ในสนามรบแต่ไม่ยอมกลับมาที่จวนอีก เหตุใดหลังจากที่ข้าไปเก็บของที่เหลือแล้วจึงอยู่ที่ค่ายทหาร ยอมทิ้งการเรียนบุ๋นเพื่อเข้าสู่สายบู๊ ก็เพราะของที่ท่านพ่อทิ้งไว้มีจดหมายที่เซี่ยฉงฟางเขียน
ในจดหมายนั้นเขียนว่า ‘หากเจ้าขัดราชโองการ ข้าจะทำลายชื่อเสียงของนางและจะเอาชีวิตนาง เจ้ายอมล่วงเกินตำหนักยงอ๋องเพื่อลูกสาวของขุนนางระดับล่างคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ? ขอเพียงเจ้าแต่งกับข้า ข้าก็จะมอบยาถอนพิษให้เจ้า’”
เผยยวนใช้น้ำเสียงที่ฟังดูกำเริบเสิบสานเฉกเช่นเซี่ยฉงฟางขณะพูดถึงเนื้อหาของจดหมายฉบับนั้น ทำให้จื่อเยว่ใจสั่นระรัว
“นางบีบบังคับให้ท่านพ่อแต่งงานกับนาง คนที่ท่านพ่อรู้สึกผิดด้วยจนตายก็คือคนที่ท่านรัก นางยังหวังว่าจะได้ความรักจากท่านพ่ออีกอย่างนั้นหรือ? หากข้าจำไม่ผิดนับตั้งแต่ข้ารู้ความ ท่านพ่อไม่เคยเข้าไปในเรือนของนางเลยสักครั้งกระมัง” ทุกครั้งล้วนเป็นเซี่ยฉงฟางที่ลากเขาไปหาท่านพ่อเสียเอง
จื่อเยว่คิดไม่ถึงว่าเผยยวนจะรู้มากเพียงนี้ นางเลียริมฝีปากและไร้เรี่ยวแรงที่จะโต้แย้ง
“ข้าไม่ใช่นาง และไม่มีทางกลายเป็นเหมือนนาง ฮวนฮวนเองก็เช่นกัน ในเมื่อเจ้ารับนางเป็นนาย ตอนที่นางทำเรื่องที่เลวร้ายต่าง ๆ เจ้าไม่เคยคิดว่าจะมีจุดจบเช่นวันนี้เลยอย่างนั้นหรือ? เจ้าเอาฮวนฮวนไปเปรียบเทียบกับนาง เท่ากับเป็นการดูถูกเหยียดหยามฮวนฮวนอย่างมาก”
จื่อเยว่ส่ายหน้า “ท่านหญิงรักท่านแม่ทัพจริง ๆ…”
“การบีบบังคับเพื่อต้องการครอบครอง นั่นไม่เรียกว่าความรัก เรียกว่าการสนองต่อความเห็นแก่ตัวของตัวเอง” เผยยวนเอ่ยจบ จื่อเยว่ก็จ้องมองเขา
“นายน้อย หรือว่าท่านหญิงไม่มีบุญคุณที่เลี้ยงท่านมาเลยอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
.
.
.