บทที่ 242 ช่างใจดำจริง ๆ
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร ของนี่เป็นของของเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้าถึงจะเอาไป มียางอายบ้างหรือไม่?!” หลี่ต้าจ้วงกัดซาลาเปาเนื้อพลางจ้องมองพวกเขาเขม็ง “จะวางลงหรือไม่!”
“เจ้าอยากได้ใช่หรือไม่! ทุบมันซะ! เจ้าลูกหมา ข้ายอมพูดกับเจ้าก็นับว่าเป็นบุญของเจ้ามากแล้ว”
“เจ้าลูกหมา เจ้าด่าใครกัน!” อาฮุยถลกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนเล็ก ๆ ของเขา
“เจ้าคิดจะหาเรื่องข้าหรือ? เวลาข้าต่อยตีในสำนักศึกษา คนอย่างเจ้าแม้จะมาเลียเท้าข้าก็ยังไม่คู่ควรด้วยซ้ำ” เด็กผู้ชายตัวอ้วนและรูปร่างสูงที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นเอ่ยจบก็หิ้วคอเสื้อของอาฮุยขึ้น ก่อนจะเหวี่ยงเขาลงกับพื้น
อาฝูและหลี่ต้าจ้วงต่างก็จ้องเขาเขม็ง ก่อนจะกระโดดและพุ่งตัวเข้าไป เหวี่ยงหมัดใส่เด็กผู้ชายตัวอ้วนผู้นั้นครั้งแล้วครั้งเล่า “ใครใช้ให้เจ้ารังแกคนอื่นกัน!”
เด็กคนนั้นคิดไม่ถึงว่าจะมีเด็กบ้านนอกกล้าต่อยเขา “เจ้ากล้าต่อยข้าหรือ! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เด็กคนนั้นคลานมาข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนจะคว้าก้อนหินที่อยู่ข้างคันนาขึ้นมาหนึ่งก้อน พลางหมุนตัวและกำลังจะทุบกลับ แต่ก็ถูกแรงมหาศาลจับข้อมือเอาไว้เสียก่อน เขาเจ็บปวดจนน้ำตาร่วงลงมาทันที “เจ็บ!!”
พวกหลี่ต้าจ้วงและอาฝูเงยหน้าขึ้น “ลูกพี่อิน!”
อาอินขมวดคิ้วมุ่น ความขยะแขยงพาดผ่านใบหน้าเล็กที่น่ารักนั่น ก่อนจะลากเด็กที่สูงกว่าตนเป็นคืบผู้นั้นขึ้นมา “สู้ไม่ได้ก็คิดจะเอาก้อนหินมาฆ่าคนอย่างนั้นหรือ? ช่างเก่งจริง ๆ”
น้ำเสียงนี้ทำให้เจ้าเด็กอ้วนคนนั้นโมโหจนเอากำปั้นทุบพื้น ก่อนจะชี้ไปที่อาอิน “พวกเจ้ายังจะรออะไรอีก ยังไม่รีบฆ่านางเด็กนี่อีก! ข้าจะเอาหัวนางมาทำเป็นฉิว*ไว้เตะเล่น!”
* ฉิว (球) หมายถึง ลูกบอล
อาอินหัวเราะเสียงเย็น จากนั้นก็ออกแรงที่มือเล็กน้อย อย่าว่าแต่ก้อนหินก้อนนั้นเลย แม้แต่กระดูกมือของเขานางก็จะหัก “จะเอาหัวข้าไปทำเป็นฉิวไว้เตะเล่นหรือ? เจ้าควรจะกังวลว่าตัวเองจะอยู่ถึงตอนนั้นหรือไม่จะดีกว่า”
นายน้อยคนอื่น ๆ ที่เหลือเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ พวกที่อายุน้อยหน่อยต่างก็ร้องไห้ออกมา ทว่ากลับมีคนหนึ่งหัวเราะเยาะอาอิน ดูท่าทางเขาน่าจะมีอายุมากที่สุด แต่สายตาคู่นั้นกลับทำให้คนยากจะคาดเดา
“เฮ้ เด็กน้อย เจ้ารีบปล่อยเขาเร็วเข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร เขาเป็นคนที่เจ้าไม่อาจล่วงเกินได้นะ!”
อาอินเอ่ยอย่างดูแคลน “ข้าไม่สนใจว่าเขาจะเป็นใคร! หากมารังแกคนในหมู่บ้านตระกูลเฉินของเรา เช่นนั้นก็ต้องดูว่าตัวเองมีความสามารถมากพอหรือไม่”
เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กำลังลากเด็กอ้วนที่สูงกว่าตัวเองไป คนรับใช้ก็ย่ำเท้าอย่างกระวนกระวาย “แม่นางน้อย จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาดนะ”
วันนี้ฝ่าบาทถูกกลั่นแกล้งอย่างไร พวกเขาล้วนเห็นกับตาแล้ว เหล่านายน้อยยังไม่รู้ความ เมื่อถึงเวลาหากสั่งลงโทษไม่ได้ คนที่จะต้องตายก็คือบรรดาคนรับใช้อย่างพวกเขา
หากในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เกิดทำให้ไท่ซ่างหวงไม่พอพระทัยขึ้นมา พวกเขารับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ
อาอินเห็นท่าทางที่แทบจะร้องไห้ออกมาของคนรับใช้ผู้นั้นก็เม้มริมฝีปาก “ก็ได้ ข้าจะปล่อยเขาไปสักครั้ง พวกเจ้าเอาของเล่นของพวกข้าวางลงให้หมด ไหนบอกว่าเป็นคนสูงศักดิ์ไม่ใช่หรือ เหตุใดแม้แต่ของเหล่านี้ก็ยังไม่เคยเห็นกันเล่า?”
อาอินตั้งใจพูดประโยคนี้ออกมา ของที่ท่านแม่ทำจะมีสักกี่คนกันที่เคยเห็น พวกนางไม่สนใจพวกคนสูงศักดิ์ในเมืองหลวงอะไรนั่นหรอก!
พวกอาฝูก็กระโดดออกมา “ใช่ มาจากเมืองหลวงไม่ใช่หรือ? เหตุใดยังมาแย่งของเล่นของพวกเราอีก!”
“คงไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นและไม่เคยเล่นหรอกกระมัง จุ ๆ ๆ คำนั้นพูดว่าอย่างไรนะ? ก็แค่นี้เอง!”
“เจ้า! พวกเจ้ารนหาที่ตายชัด ๆ!” เด็กชายที่ถูกอาอินคว้าคอเสื้อเมื่อครู่ หยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากรองเท้า และกำลังจะแทงเข้าที่ด้านหลังของอาอิน มีดสั้นเพิ่งจะออกจากฝักก็ถูกคนขวางเอาไว้เสียก่อน
“หากองค์ชายสิบต้องการอวดมีดสั้นประดับอัญมณีเล่มนี้ ก็ไม่เห็นจะต้องรีบร้อนเช่นนี้ คราวหน้าค่อยเอาให้ดูก็ได้นี่พ่ะย่ะค่ะ” เสียงสดใสดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
เมื่ออาอินหันหน้าไปก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนหันหลังให้แสงตะวันอยู่ ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยแสงอันนวลตา นางจึงมองด้วยความเคลิบเคลิ้มครู่หนึ่ง รู้สึกว่าในนัยน์ตาดอกท้อของคนตรงหน้าเป็นประกายระยิบระยับราวกับแสงดาวก็มิปาน รอยยิ้มเจิดจ้าจนทำให้คนตาพร่า และดูมีอายุมากกว่าพี่ใหญ่เล็กน้อย นางยังสูงไม่ถึงหน้าอกของเขาเลยด้วยซ้ำ
อาอินถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความระแวง ท่านแม่บอกว่าของยิ่งสวยก็ยิ่งมีพิษ
เขามีใบหน้างดงามยิ่งกว่าสาวน้อยเสียอีก ไม่แน่อาจมีพิษมากที่สุดก็เป็นได้
คนรับใช้เห็นเด็กหนุ่มคนนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ซื่อจื่อ”
เด็กหนุ่มปัดมือไปมา ก่อนจะดึงร่างที่ล้มอยู่ที่พื้นขึ้นมา “เมื่อครู่ซูเฟยกำลังตามหาเจ้าอยู่ เจ้าวิ่งมาที่นี่ไม่กลัวว่าอีกเดี๋ยวนางจะลงโทษให้เจ้าท่องหนังสือหรอกหรือ?”
องค์ชายสิบที่มีรูปร่างจ้ำม่ำได้ยินดังนั้นก็หน้าสั่นทันที เขาจ้องมองเด็กหนุ่มคนนั้นเขม็ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “เจ้าภูมิใจอะไรกัน เจ้าก็แค่คนที่ถูกเลี้ยงไว้ในตำหนักของท่านแม่ข้าก็เท่านั้น ยังจะกล้ามายุ่งกับข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”
คำพูดที่ดูถูกเหยียดหยามคนเช่นนี้ เด็กหนุ่มได้ฟังก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าวออกมา “องค์ชายสิบกล่าวผิดแล้ว หน้าที่รับผิดชอบเลี้ยงดูสั่งสอนข้า เป็นซูเฟยต่างหากเล่าที่ไปแย่งสิทธิ์เลี้ยงดูข้ามาจากคนอื่น และหากข้าไม่อยากอยู่ก็สามารถไปได้ทุกเมื่อ”
เอ่ยจบ เด็กหนุ่มก็โยนมีดสั้นเล่มนั้นลงบนพื้น ก่อนจะผายมือเอ่ยกับอาอิน “ต้องขอโทษด้วย แม่นางเชิญตามสบาย”
อาอินคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนพูดง่ายเช่นนี้ นางจึงคว้าหูขององค์ชายสิบมาบิดทันที “ข้าปล่อยเจ้าไปครั้งหนึ่ง แต่เจ้าก็ยังกล้ามาลอบทำร้ายข้าอีก อาฝู ต้าจ้วง จัดการเขา!”
องค์ชายสิบกระทืบเท้าเร่า ๆ “พวกเจ้าใช้คนมากรังแกคนน้อย”
“ไร้สาระ ก็ในเมื่อสามารถใช้คนมากรังแกคนน้อยได้ เหตุใดต้องสู้กับเจ้าตัวต่อตัวด้วย!? จัดการ!”
กลุ่มเด็ก ๆ ในหมู่บ้านตระกูลเฉินรีบวิ่งเข้ามาทันที ทำให้เหล่าองค์ชายและองค์หญิงที่อายุน้อยทั้งหลายต่างตกใจกลัวจนร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลเป็นทาง พลางหลบอยู่ในอ้อมแขนของคนรับใช้เพราะไม่กล้ามอง
คนรับใช้ร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก รีบหันไปเอ่ยกับเด็กหนุ่มผู้นั้น “ซื่อจื่อ ท่านเอาแต่ดูเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ”
เด็กหนุ่มยักไหล่ ก่อนจะเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ใช่ว่าไม่ช่วย แต่นี่เป็นสิ่งที่องค์ชายสิบเลือกเอง ผู้กล้าไม่มีสิ่งใดต้องกลัว เจ้าวางใจเถอะ ถูกตีแค่นี้ไม่ตายหรอก”
อาอินเหวี่ยงหมัดนำออกไปก่อนสองครั้ง จากนั้นก็ออกจากการต่อสู้มายืนหอบอยู่นอกวง เมื่อปรายตามองไปด้านข้างก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นยกยิ้มให้นางอยู่
นางจึงไปยืนหลบอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะเห็นเขาขยับเข้ามาใกล้
นางจึงขยับไปอีกสองก้าว แต่ก็รู้สึกว่าเขาเข้าใกล้กว่าเดิม
!!!
“เหตุใดเจ้าต้องทำลับ ๆ ล่อ ๆ เข้ามาใกล้ข้าด้วย”
“ที่นี่มีกฎเขียนเอาไว้ว่าห้ามข้าเข้าใกล้ด้วยหรือ?” เด็กหนุ่มเอียงคอถาม ท่าทางดูอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
“ก็…ก็ไม่มี” อาอินเอ่ยขึ้นช้า ๆ
“เช่นนั้นข้าที่ขายาวก็ช่วยไม่ได้นี่นา” เด็กหนุ่มแบมือออก แล้วก็ยกยิ้มให้นางอีกครั้ง เมื่อเขาเข้ามาใกล้ ๆ อาอินจึงกวาดตามองเล็กน้อย ขายาวมากจริง ๆ ด้วย
อาอินรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาช่างเปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งนัก นางจึงพึมพำออกมา “เหตุใดเจ้าไม่ช่วยเขา พวกเจ้าไม่ใช่พวกเดียวกันหรอกหรือ?”
คงไม่ใช่เป็นเพราะสู้ไม่ได้ก็เลยคิดจะยอมแพ้หรอกกระมัง!
เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างมีเหตุผล “เขาไม่รับน้ำใจข้า แล้วข้าจะต้องช่วยเขาอีกทำไม ข้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่จะต้องช่วยเหลือผู้คนให้พ้นทุกข์เสียหน่อย”
“…” ไม่สามารถตอบโต้ได้จริง ๆ
จากนั้นก็ไม่มีคำพูดใด ๆ ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนอีก เป็นความเงียบที่แปลกประหลาดยิ่งนัก
จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่ นางก็ได้ยินเสียงสูดหายใจดังขึ้นข้าง ๆ ตัว
“เผยถังอิน เจ้าช่างใจดำจริง ๆ ลืมพี่ชายอย่างข้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ? ตอนเด็ก ๆ พี่ชายยังเคยอาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อมให้เจ้าอยู่เลย”
อาอินกำลังคิดหาข้ออ้างเพื่ออยู่ให้ห่างจากเจ้าเด็กคนนี้อยู่พอดี เมื่อได้ยินประโยคนี้นางจึงหันไปมองหน้าเขา ราวกับคนเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
“อ๋า~ ดูท่าคงจะจำไม่ได้แล้วจริง ๆ” เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปขยับจุกผมทั้งสองข้างบนศีรษะของนาง “เช่นนั้นจำให้ดีล่ะ พี่ชายอยู่ตระกูลอ๋องเจิ้นเป่ย ข้ามีชื่อว่า เซียวเซวียนจิ่น ครั้งนี้อย่าลืมล่ะ”
.
.
.