บทที่ 258 แบ่งทหารออกเป็นสองทาง
จ้านอิ่งเดินไปอย่างช้า ๆ ไม่รีบร้อน เมื่อมาถึงเส้นทางชนบท ไป๋จิ่นกับเซียวเย่เจ๋อก็เริ่มทะเลาะกันขึ้นมา
จี้จือฮวนรู้สึกรำคาญพวกเขา จึงปรายตามองด้วยสายตาเย็นชา
ได้ เงียบก็ได้
ขณะที่กำลังจะมุ่งหน้าไปทางตำบลฉาซู่ ก็เห็นเกวียนวัวสามถึงสี่เล่มตามมาทางด้านหลัง ที่หลังคาของเกวียนคลุมด้วยผ้าสีดำ มองไม่ออกว่าเป็นใครมาจากไหน คนขับเกวียนล้วนเป็นชายหนุ่มร่างกายแข็งแรงกำยำ สีหน้าไร้อารมณ์ มีสตรีวัยชรานั่งข้าง ๆ โดยสตรีวัยชราผู้นั้นหน้าตาดูเฉลียวฉลาดและเจ้าแผนการ แววตาที่มองมาที่จี้จือฮวนแฝงไว้ด้วยความชั่วร้าย
คนเช่นนี้จี้จือฮวนเคยเห็นมาเยอะแล้วตอนที่ออกไปปฏิบัติภารกิจ เมื่อเห็นมาเยอะในใจย่อมเดาออกทันที ว่าภายในเกวียนนั่นต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
เดิมนางไม่อยากจะสนใจมากนัก เพียงแต่ตอนที่ลมพัดทำให้มุมหนึ่งของม่านเผยอขึ้นมา สามารถมองเห็นแขนสีขาวของคนผู้หนึ่งในเกวียนได้ ที่ด้านบนมีร่องรอยฟกช้ำมากมาย
จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้น เมื่อผ้าม่านนั้นถูกดึงลง นางก็ตัดสินใจได้ทันที
“เซียวเย่เจ๋อ”
“ฮะ?”
เจ้าคนเซ่อยังมัวแต่ทะเลาะกับไป๋จิ่นอยู่
“ข้ามีธุระ เจ้านำของในกล่องไปที่ตำบลฉาซู่มอบให้ฮวาเซียงเซียง ส่วนจะต้องทำอย่างไรต่อนั้นนางรู้ดี”
เซียวเย่เจ๋อนึกสงสัย “เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ?”
“อย่าถามมาก ไปเถอะ”
มีทางแยกอยู่ข้างหน้า ด้านหนึ่งไปยังตำบลฉาซู่ และอีกด้านหนึ่งไปยังอีกตำบลหนึ่ง
เซียวเย่เจ๋อรับเถาอาหารมา “เช่นนั้นเจ้ารีบกลับมานะ”
“อืม”
จี้จือฮวนรอจนกระทั่งเกวียนวัวไกลออกไปแล้ว จึงได้ให้จ้านอิ่งตามไปอย่างช้า ๆ
เซียวเย่เจ๋อยังคงหันหลังไปมองเป็นระยะ ๆ “เจ้าว่าจี้จือฮวนทิ้งพวกเราไปทำอะไรกัน?”
ไป๋จิ่นหรี่ตาลง “คนกลุ่มเมื่อครู่ไม่ธรรมดา น่าจะเป็นพวกลักพาตัว”
“ลักพาตัว?” เซียวเย่เจ๋อดวงตาเบิกโพลง “เจ้าหมายถึง ลักพาตัวผู้หญิงกับเด็กอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่”
อย่างไรเสียไป๋จิ่นก็เป็นคนในยุทธภพ ย่อมรู้เรื่องราวภายในยุทธภพดีกว่าคุณชายตระกูลใหญ่ผู้นี้อยู่แล้ว
“เช่นนั้นก็ไม่สามารถนิ่งดูดายได้ พวกเราจะไม่ไปช่วยจริงหรือ?”
เซียวเย่เจ๋อเองก็อยากเป็นวีรบุรุษเหมือนกัน
ไป๋จิ่นมองเขาด้วยสีหน้าราวกับฟังเรื่องเหลวไหลอยู่ “ลูกพี่ฮวนฮวนยังต้องการความช่วยเหลืออีกหรือ? เจ้าเป็นห่วงพวกลักพาตัวก่อนเถอะ ไป รีบไปตำบลฉาซู่ ข้าจะไปกินขนม”
“…” ไม่สามารถโต้แย้งได้เลย
…
เมื่อครู่ตอนที่จี้จือฮวนตัดสินใจตามไป เผยยวนก็เข้าใจเจตนาของนางได้ทันที
ราชสำนักได้จัดการเรื่องการลักพาตัวมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยสำเร็จ เบื้องบนมีคำสั่ง เบื้องล่างมีแผนการรับมือ ดังนั้นคนเหล่านี้จึงไม่กล้าใช้ถนนหลวง
ทั้งสองตามหลังไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นเกวียนแกว่งไปมา มีการเคลื่อนไหวเป็นระยะ ๆ เห็นชายร่างสูงใหญ่สองสามคนนั่งอยู่ในเกวียนเล่มสุดท้าย
“เมื่อก่อนตอนอยู่ซีเป่ยข้าเคยปราบโจรลักพาตัวกลุ่มหนึ่ง พวกมันจะมีที่พักอยู่ทุกหนทุกแห่ง และจะกระจายกันขายผู้หญิงกลุ่มนั้น เอาไปขายไกล ๆ จนทำให้พวกนางหาทางกลับบ้านไม่เจอ”
และในฐานที่มั่นเหล่านั้น พวกนางจะประสบกับอะไรบ้าง บางคนก็ดื่มยามากเกินไปจนสมองมีปัญหา บางคนก็ถูกขายให้กับหอนางโลม
มีคนของราชสำนักกี่คนกันที่สามารถตามมาถึงที่นี่ได้
เรียกฟ้าฟ้าไม่ตอบ เรียกดินดินไม่ขาน
จี้จือฮวนเกลียดการค้ามนุษย์ที่สุด และตอนนี้นางแทบอยากจะพุ่งเข้าไปสังหารคนเหล่านี้ซะ
แต่เมื่อพิจารณาว่าพวกมันน่าจะเอาคนไปขาย หรือไม่ก็ไปที่จุดส่งของ หากว่าตามพวกมันไปและสามารถขยายผลทั้งหมดได้ ก็คงจะดีกว่าแหวกหญ้าให้งูตื่นตั้งแต่ตอนนี้
…
ในตอนที่เซียวเย่เจ๋อกับไป๋จิ่นมาถึง ฮวาเซียงเซียงกลับไม่อยู่ที่ร้าน
“เมื่อเช้าเถ้าแก่เนี้ยบอกว่าจะไปตลาดปลาที่ท่าเรือ จนป่านนี้ก็ยังไม่กลับมาเลยขอรับ”
เซียวเย่เจ๋อรีบร้อนที่จะกินแล้วไปตามหาพวกจี้จือฮวน แต่ใครจะคิดว่าฮวาเซียงเซียงจะไม่อยู่เช่นนี้
“ตลาดปลาไกลหรือไม่?”
“หากขี่ม้าไป ต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยามขอรับ”
“เจ้าบอกทางมาหน่อยสิ”
ตลาดปลาจะมีการตั้งแผงขายในวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือนเท่านั้น ถึงตอนนั้นจะมีของดีจำนวนไม่น้อย ทุกครั้งฮวาเซียงเซียงจึงรีบไปตั้งแต่เช้า
ขณะที่กำลังจะออกจากประตู จางปาเหลี่ยงที่มีสภาพสะบักสะบอมไปทั้งตัวราวกับลงไปกลิ้งในโคลนก็วิ่งกลับมา “เร็วเข้า รีบไปแจ้งทางการ เถ้าแก่เนี้ยถูกคนลักพาตัวไปแล้ว!”
หลังจากฉือชางไห่ล้มลง จางปาเหลี่ยงก็ไม่มีงานทำเอาแต่ทำตัวเป็นอันธพาลข้างถนนไปวัน ๆ จี้จือฮวนจึงให้เขามาอยู่ที่เค่ออวิ๋นไหลเพื่อช่วยขนของซึ่งถือเป็นอาชีพที่จริงจัง เมื่อเช้าเขาก็เป็นคนไปซื้ออาหารทะเลเป็นเพื่อนฮวาเซียงเซียง
ก็นับได้ว่าเป็นองครักษ์ของนางด้วย แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะมีสภาพสะบักสะบอมเช่นนี้กลับมา
เสี่ยวเอ้อตกใจขึ้นมาทันที “ถูกใครลักพาตัวไป?”
จางปาเหลี่ยงเองก็ไม่รู้ “เป็นคนกลุ่มหนึ่ง พวกมันทั้งหมดขี่ม้ามา พอเห็นเถ้าแก่เนี้ยฮวาก็พุ่งเข้ามาทันที ข้าตามไปก็ไม่เร็วเท่าม้าวิ่ง จึงรีบกลับมาบอกพวกเจ้า”
ตำบลฉาซู่เดิมมีโจรขี่ม้าอยู่ แต่ว่าทั้งหมดถูกจับขังคุกอยู่ในที่ว่าการแล้วไม่ใช่หรือ?
อีกทั้งสองวันมานี้นายอำเภอเจียงก็ไม่อยู่ คราวนี้เสี่ยวเอ้อถึงกับล้มลงไปกองกับพื้น “จบกัน ๆ ต้องเป็นเพราะเถ้าแก่เนี้ยฮวาหน้าตางดงาม จึงต้องตาต้องใจพวกโจรเข้าเป็นแน่”
ยุคสมัยนี้หากผู้หญิงถูกคนลักพาตัวไป กลับมายังจะมีชีวิตต่อไปได้อีกอย่างไรกัน
เซียวเย่เจ๋อส่งเสียงตำหนิออกมา “อย่าพูดจาเหลวไหล ช่วงนี้เถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้าได้ไปล่วงเกินผู้ใดหรือไม่?”
เสี่ยวเอ้อส่ายหน้า “ไม่มีนะขอรับ เมื่อก่อนเถ้าแก่เนี้ยไม่ถูกกับฉือชางไห่แค่คนเดียว แต่ตระกูลฉือล่มจมไปหมดแล้ว ช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ได้ออกมา แต่ว่ามีหลายคนที่อิจฉาการค้าของพวกเราจริง ๆ ขอรับ”
เซียวเย่เจ๋อเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่พักใหญ่ แต่ฮวาเซียงเซียงจะถูกคนจับตัวไปเช่นนี้ไม่ได้
ไป๋จิ่นหิ้วจางปาเหลี่ยงเหวี่ยงขึ้นไปบนหลังม้า “ไป เจ้าคุ้นเคยกับแถวนี้ดี เจ้านำทางไป พวกเราจะตามรอยเท้าม้าตัวใหญ่ไป ต้องสามารถตามเจอได้อย่างแน่นอน”
จางปาเหลี่ยงถามด้วยความประหลาดใจ “ลำพังแค่พวกเราอย่างนั้นหรือ? พวกเราไม่มีทางสู้คนเหล่านั้นได้หรอก”
“เจ้าสู้ไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะสู้ไม่ได้ เร็วเข้า! บอกทางข้ามา”
เซียวเย่เจ๋อเห็นไป๋จิ่นจากไปอย่างสง่างาม ก็รีบตามหลังไป
เสี่ยวเอ้อเห็นพวกเขาจากไปแล้ว ก็ย่ำเท้าไปมา “นี่มันเรื่องอะไรกัน เถ้าแก่เนี้ยของข้า!!!”
ในใจเซียวเย่เจ๋อคิดว่าคงตามหาไม่เจอง่าย ๆ และคราวนี้ตำบลฉาซู่ต้องโกลาหลเป็นแน่ หากจี้จือฮวนรู้เข้าจะไม่พังสวรรค์เลยหรือ เมื่อคิดได้ดังนั้นหนังตาก็กระตุกไม่หยุด
ม้าศึกเดิมก็วิ่งเร็วอยู่แล้ว เมื่อมาถึงทางแยกข้างหน้า จู่ ๆ ก็มีสตรีสวมชุดสีน้ำเงินเข้มและสวมเครื่องประดับเงินบนศีรษะก้าวออกมา
“หยุด!!!” ทั้งสองรีบดึงม้าเอาไว้ จางปาเหลี่ยงจึงตกจากหลังม้า และกลิ้งไปกับพื้นหนึ่งตลบ พร้อมกับสูดดินเข้าไปเต็มจมูก
เซียวเย่เจ๋อเองก็ร่วงลงไปด้วยเช่นกัน แต่กระดิ่งที่ตัวของแม่นางผู้นั้นกลับมีเสียงดังขึ้น พร้อมทั้งมือของนางที่ยื่นมาทางเซียวเย่เจ๋อ “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
ด้วยสำเนียงและเสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นไม่เหมือนเป็นคนจงหยวน ใบหน้ายังมีกระเล็ก ๆ ดวงตาดำขลับ ผมยาวสลวยถูกมวยไว้ด้านหลัง มีผีเสื้อสีเงินสองตัวห้อยอยู่บนนั้นและมีพู่ห้อยลงมาด้านล่างเล็กน้อย เมื่อขยับตัวก็จะมีเสียงกระดิ่งดังขึ้น เสียงดังอย่างมาก
กลับเป็นไป๋จิ่นที่มองเครื่องแต่งกายของนางแล้วขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
เซียวเย่เจ๋อไหนเลยจะมีหน้าไปจับมือของสตรี ดังนั้นจึงลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง
“ไม่เป็นอะไร แต่ว่าเจ้าเดินบนถนนต้องมองทางให้มาก ๆ เมื่อครู่หากพวกเราไม่ทันระวัง เจ้าคงได้รับอันตรายแล้ว” เซียวเย่เจ๋อพูดไปพลางและกลับขึ้นหลังม้าไปด้วย
“อ๊ะ ข้าขอถามอะไรหน่อย เมื่อครู่เจ้าเห็นคนขี่ม้ากลุ่มหนึ่งลักพาตัวสตรีผู้หนึ่งผ่านมาบ้างหรือไม่?”
“เห็น”
เซียวเย่เจ๋อเพียงแค่ถามส่ง ๆ เท่านั้น คิดไม่ถึงว่านางจะตอบกลับมาเช่นนี้
“ไปทางใด?!”
.
.
.