จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ – บทที่ 911-915

บทที่ 911-915

บทที่ 911 : คนจากอาณาจักรวิญญาณ (6)
กระดูกเดือยหนามนี้เปรียบได้กับอาวุธอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามารถเรียกได้ว่าแข็งแกร่งเทียบเท่ากับระดับเฉินเจี่ย
การแสดงออกของหลิวชิงหยูเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมกระดูกที่อยู่ในมือของไป๋หยานนั้น ทำให้นางรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก กระทั่งทำให้นางก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่ตั้งใจ ใบหน้าของนางพลันเคร่งเครียด
”ข้าบอกว่าตำหนักเซียนพยับหมอกแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้านึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไปตามต้องการได้”
เฟี้ยว!
ทันทีที่คำกล่าวของไป๋หยานจบลงนางก็กลายเป็นสายลมพุ่งไปด้านหลัง หลิวชิงหยูอย่างรวดเร็ว กระดูกเดือยหนามในมือของนางฟันด้านหลังด้วยความเยือกเย็น ขณะที่หลิวชิงหยูเองก็หันหลังกลับ และยกดาบขึ้นกันไว้
พร้อมเสียงดังกราวดาบในมือของหลิวชิงหยูถูกสับออกเป็นสองท่อน กระดูกเดือยหนามฟันลงตรงหน้าอกของนาง การโจมตีนี้ทำให้ร่างของนางลอยละลิ่วถอยไปด้านหลัง
หลิวชิงหยูเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจพลางจ้องมองสตรีในอาภรณ์สีแดง
ภายใต้แสงจันทร์นวลเสื้อคลุมของหญิงสาวสะบัดตามแรงลมเบา ๆ สีแดงราวดวงตะวันแผดเผาปกคลุมไปทั่วโลก งดงามยอดเยี่ยมทรงอำนาจและโหดเหี้ยม
”ระดับเชิงเจี่ย!”
หน้าอกของหลิวชิงหยูก็ดูเหมือนจะได้รับแรงกระแทกอย่างหนักจากนางหญิงผู้นี้มีความแข็งแกร่งระดับเชิงเจี่ยงั้นหรือ ?
ไหนนางเคยทราบข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่หรือว่าในแดนมนุษย์นี่ ไม่มีผู้ใดมาถึงขั้นเชิงเจี่ย ? ก็แล้วเหตุใดหญิงผู้นี้ถึงแข็งแกร่งระดับเชิงเจี่ยได้ล่ะ?
สาวใช้ของหลิวชิงหยูดึงแถบผ้าไหมสีขาวออกมาแล้วก็ตีวงโอบล้อมไป๋หยาน
เสียงอ่อนโยนไร้เดียงสาดังขึ้น”พวกเจ้าตั้งหลายคน รังแกหม่ามี้ของข้าคนเดียว น่าไม่อายเลย !”
มือของไป๋เสี่ยวเฉินเท้าบนสะโพกเขาปกป้องไป๋หยานราวแม่วัวปกป้องลูกวัวน้อย แม้เขาจะรู้ว่าคนเหล่านี้ไม่อาจทำร้ายมารดาของเขาได้ก็ตามที หากแต่เขาก็ไม่สามารถทนเห็นหม่ามี้ตกอยู่ในสถานการณ์หนักหนาเช่นนี้คนเดียวได้ …
ดังนั้นไป๋เสี่ยวเฉินจึงเป่าปาก
ฝูงสัตว์วิ่งกรูกันมาเสียงดังกึกก้องราวกับม้านับพันตัวควบมา
สำหรับไป๋ฉางเฟิ่งและเหวินหวู่เหว่ยนั้นพวกเขาเคยเห็นฉากเช่นนี้มาก่อนหน้าแล้ว ดังนั้นจึงไม่ทีท่าใด ๆ ส่วนคนอื่น ๆ ต่างหวาดกลัว พร้อมใจกันลุกขึ้นยืนมองออกไปข้างนอกทันทีด้วยความสยองขวัญ พวกเขาต่างก็รู้สึกราวได้เห็นจุดจบของโลก …
”สัตว์นับพันนั่นมาช่วยเจ้างั้นหรือ? เจ้า … เจ้า … ” หลิวชิงหยู ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก นัยน์ตาที่สวยงามของนางเบิกกว้างด้วยความหวาดหวั่น นางมองไป๋หยาน จากนั้นก็หันไปมองไป๋เสี่ยวเฉิน
จากนั้น…
นัยน์ตาที่สวยงามของนางก็ตกลงบนใบหน้าที่หล่อเหลาและน่าหลงใหลของตี้คัง
ราชาอสูร? ราชาอสูรจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ? หรือว่าหญิงผู้นี้เป็นคนที่นางเคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน … ราชินีอสูร ?
ใช่แล้วนอกจากโอรสของราชินีอสูรแล้วผู้ใดกันล่ะที่จะสามารถระดมสรรพสัตว์ได้เช่นนี้ ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วใบหน้าของหลิวชิงหยูก็ซีดเซียวลง นางกำมือแน่น ร่างที่บอบบางของนางสั่นสะท้าน
”เฉินเอ๋อเจ้าไม่ควรทำเช่นนี้ เจ้าอาจทำให้ท่านตาทวด ท่านปู่ทวดหวาดหวาดกลัวสัตว์อสูรที่มากันมากมายถึงขนาดนี้ได้นะ” ไป๋หยานเหลือบมองไป๋เสี่ยวเฉิน “แม้ว่าพวกมันจะไม่ทำให้พวกท่านหวาดกลัว แต่ก็ไม่เป็นการดีที่จะเหยียบย่ำดอกไม้ใบหญ้า ต่อไป เรียกมาแค่พอใช้ก็พอ”
ไป๋เสี่ยวเฉินตอบอย่างไร้เดียงสาและน่ารัก “เฉินเอ๋อ…รู้ว่าผิดไปแล้ว ต่อไปเฉินเอ๋อจะไม่ทำอีก”
”ดีแล้ว”ไป๋หยานลูบศีรษะของไป๋เสี่ยวเฉินพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปากของนาง
ชั่วขณะนี้ลำแสงคมปราบยิงลงมาจากท้องฟ้า เป้าหมายก็คือไป๋หยาน
ตี้คังหรี่ตาลงเขาซึ่งยังคงนั่งนิ่ง พลันสังเกตเห็นบางสิ่ง ประกายแสงเย็นยะเยือกส่องวาบผ่านนัยน์ตาของเขา ร่างของเขาพุ่งเข้าไปคว้าตัวไป๋หยานเข้ามาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็ยกมือขึ้นยิงพลังอันรุนแรงออกจากแขนเสื้อสวนกลับไปทันที
เสียงดังปังพลังทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ ผลที่ตามมาก็คือพลังนั่นแผ่กระจายออกไปกระแทกลงบนพื้น ควันและฝุ่นละอองฟุ้งไปทั่วทุกหนทุกแห่ง กินเวลานานกว่าจะจางหายไป …
”หม่ามี้!”
ไป๋เสี่ยวเฉินตกใจเขารีบจับมือของไป๋หยานเอ่ยถามอย่างกังวล “หม่ามี้เป็นอย่างไรบ้าง ?”
***จบบทคนจากอาณาจักรวิญญาณ (6)***

บทที่ 912 : จุดประสงค์ของหลิวชิงหยู (1)
ไป๋หยานส่ายศีรษะนางผละจากอ้อมแขนของตี้คัง จากนั้นก็รั้งตัวไป๋เสี่ยวเฉินที่กำลังเป็นกังวลเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
”แม่ไม่เป็นไรไม่ต้องกังวล”
หลังจากกล่าวเช่นนี้นางก็เงยหน้าขึ้นพลางจับจ้องมองชายชราในเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่แลดูหม่นมัวในยามค่ำคืน
เสื้อคลุมของชายชราแลดูหลวมใบหน้าของเขาแลดูเย็นชาไม่แยแสสิ่งใด เขาเดินช้า ๆ จากด้านนอกลานไปเบื้องหน้าของหลิวชิงหยู และช่วยพยุงนางที่ล้มลงกับพื้นขึ้นมา
”ท่านลุงจุนท่านมาแล้วหรือ ?” หลิวชิงหยูดีใจมาก หัวใจที่นางพยายามฝืนเข้มแข็งอยู่พลันพังทลายลงอย่างรวดเร็ว นางจ้องมองไป๋หยานด้วยความเกลียดชัง “เหอฉูฉู่ ตายแล้ว นางตายด้วยน้ำมือของคนพวกนี้”
นางไม่ชอบเหอฉูฉู่เรียกได้ว่าเกลียดเลยก็ว่าได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะยอมให้คนอื่นรังแกคนของอาณาจักรวิญญาณได้
ยิ่งไปกว่านั้น… หญิงผู้นี้ยังข่มเหงนางในที่สาธารณะ !
ชายชรานิ่วหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อยสายตาของเขากวาดไปทั่ว ก่อนจะมาตกที่สองแม่ลูกสกุลไป๋ จากนั้นก็หันไปมองใบหน้าที่มีเสน่ห์ไร้ที่ติของตี้คัง หัวใจของเขาพลันสั่นไหวขึ้นมาทันที
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกระงับอาการสั่นไหวในใจ เอ่ยกล่าวว่า “คุณหนู ท่านไปจากที่นี่ก่อนเถอะ แล้วข้าจะตามไปทีหลัง !”
”ลุงจุน?”
หลิวชิงหยูตกตะลึงด้วยความแข็งแกร่งของลุงจุน ไม่น่าจะมีปัญหาใด ๆ ในการปกป้องนาง เหตุใดนางถึงต้องหนีไปก่อน หรือพลังของชายผู้นี้เกินกว่าที่นางจะจินตนาการได้ ?
”ไปสิ!”
ครั้นเห็นว่าตี้คังกำลังจะลงมือชายชราที่นางเรียกว่าลุงจุนก็มองนางด้วยแววตาดุดัน ก่อนจะซัดพลังใส่หน้าอกของหลิวชิงหยู ทำให้ร่างของนางลอยละลิ่วออกไปอย่างกระทันหัน
ตี้คังขยับมุมปากราวกับจะเยาะเขากระซิบข้างหูของไป๋หยานว่า “ที่นี่ข้าจัดการเอง เจ้าไปตามล่าหญิงผู้นั้นให้สบายใจเถอะ”
แน่นอนว่าตี้คังย่อมจะชัดเจนในความแข็งแกร่งของภรรยาตนเองดี เช่นนั้นเขาจึงให้ไป๋หยานไล่ล่าหญิงผู้นั้นได้อย่างสบายใจ …
”อืม”
ไป๋หยานปล่อยไป๋เสี่ยวเฉินในอ้อมแขนของนางจากนั้นร่างของนางก็เปล่งประกาย นางเหาะไปตามหาหลิวชิงหยูซึ่งเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
”หยุดนะ!”
สีหน้าของชายชราโกรธเกรี้ยวพร้อมเสียงปัง อาภรณ์ของเขาก็ฉีกขาดด้วยพลังอันแข็งแกร่ง นัยน์ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ขณะไปหยุดยืนต่อหน้าไป๋หยาน
ทว่า…
ก่อนที่เขาจะสามารถทำอะไรไป๋หยานได้สายลมแรงก็พัดมาจากด้านหน้าทำให้เขาต้องล่าถอยไปหลายก้าว
อาศัยโอกาสนี้ไป๋หยานพุ่งตัวออกไป พลันร่างของนางก็เปลี่ยนเป็นประกายวาบราวกับสายฟ้า เลือนสลายหายไปในชั่วพริบตา นางกำลังไปไล่ล่าหลิวชิงหยู ผู้ซึ่งหลบหนีไป
*****
ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำหลิวชิงหยูไม่สนใจเรื่องที่นางทิ้งชายชราไว้ตามลำพังที่ตำหนักเซียนพยับหมอก นางรีบเดินทางไกลออกไป ๆ เพียงหันมองย้อนกลับหลังเป็นครั้งคราว เพราะเกรงว่าไป๋หยานจะไล่ตามมา
ทว่า…
ครั้นนางถอนสายตาจากด้านหลังนางก็ถูกบังคับให้หยุด
เพราะไป๋หยานมายืนอยู่เบื้องหน้านางเมื่อไรก็ไม่รู้ ทั้งยังจ้องมองนางด้วยแววตายิ้มเยาะ
”เรามาคุยกันหน่อยว่าจุดประสงค์ที่อาณาจักรวิญญาณของเจ้ามาโจมตีสำนักใหญ่ทั้งสามคืออะไร ?
ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีแสงจันทร์สาดส่องลงมายังอาภรณ์สีแดงเปี่ยมเสน่ห์ของไป๋หยาน
เพียงไป๋หยานสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ก็ก่อเกิดความน่าหวาดหวั่น ราวกับอสูรในคืนมืดมิด ทำให้หลิวชิงหยูอึดอัดหายใจแทบไม่ออก กระทั่งนางต้องก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว
”ได้ข้าจะบอกเจ้า !” หลิวชิงหยูพยายามรักษาระยะห่างระหว่างนางกับไป๋หยานไว้ ขณะกัดฟันเอ่ยกล่าว “ข้าบังเอิญรู้เรื่องบางสิ่งจากท่านพ่อของข้า ว่ากันว่า สำนักใหญ่ทั้งสามนี้มีกุญแจสามดอกที่ซ่อนอยู่ หากพบกุญแจทั้งสามดอกนี้ เจ้าจะมีโอกาสได้เป็นพระเจ้า”
***จบบทจุดประสงค์ของหลิวชิงหยู (1)***

บทที่ 913 : จุดประสงค์ของหลิวชิงหยู (2)
ไป๋หยานยกมือขึ้นกอดอกเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า”ได้กุญแจทั้งสามนี้แล้วจะกลายเป็นเทพเจ้าได้งั้นหรือ ? เจ้าแน่ใจนะ ?
”ใช่…กุญแจสามดอกนี้สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ข้าได้ยินมาว่าเมื่อหลายพันปีก่อนผู้ก่อตั้งสำนักใหญ่ทั้งสามนี้ล้วนแต่เป็นเทพเจ้า และพวกเขาได้ทิ้งปมปาฏิหาริย์นี้ไว้ ไป๋หยาน…ข้ารู้ว่า เจ้าแข็งแกร่งมาก แต่ไม่ว่าจะแข็งแกร่งสักเพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะอาณาจักรวิญญานของข้าได้หรอก”
ไป๋หยานไม่ได้กล่าวคำใดนางเพียงรับฟังถ้อยคำของหลิวชิงหยูเงียบ ๆ
หลิวชิงหยูกล่าวต่อว่า”ตอนนี้เพื่อฝึกฝนน้องชายของข้าแล้ว บิดาของข้าย่อมจะไม่ปล่อยโอกาสแห่งปาฏิหาริย์นี้อย่างแน่นอน ตอนนี้อาณาจักรวิญญาณเพิ่งจะสามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้ เขาจึงกำลังยุ่งกับเรื่องสำคัญอื่น ๆ จึงไม่มีเวลาจะมาที่นี่ด้วยตนเอง หากเขามาเจ้าคิดหรือว่าสามสำนักใหญ่นั่นจะสามารถอยู่รอดได้ ?”
“เช่นนั้นหรือ?” ไป๋หยานเลิกคิ้วสูงพลางเม้มมุมปากของนาง
แววตาของหลิวชิงหยูเปล่งประกายวาววับ”เรามาร่วมมือกันเถอะดีหรือไม่ ? เมื่อข้าได้รับปาฏิหาริย์นี้ ข้าจะให้ผลประโยชน์ดี ๆ แก่เจ้าด้วย”
ไป๋หยานยิ้ม
รอยยิ้มนี้ช่างงดงามหากแต่มีความหมายที่ไม่ชัดเจนนัก
”เจ้าคิดว่าข้าต้องร่วมมือกับเจ้ากระนั้นรึ ?” นางเดินไปหาหลิวชิงหยูอย่างช้า ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจางหายไปแล้ว สีหน้าของนางแลดูไร้อารมณ์ “หากเขาอยากมาก็มา แต่ข้าเกรงว่า เมื่อเขามาแล้วจะไม่มีโอกาสกลับออกไปอีก”
หลิวชิงหยูผงะ”เจ้าคงไม่คิดหรอกนะว่าราชาอสูรจะไม่อาจทำลายได้จริง ๆ ? ในแดนอสูรเขาอาจจะไร้ผู้ใดเทียบได้ หรือแม้แต่คนในแผ่นดินใหญ่นี้ก็ยังไม่สามารถเปรียบมือกับเขาได้ แต่หากเทียบกับอาณาจักรวิญญาณของเราแล้ว เขาก็ยังอ่อนแอกว่า เช่นนั้นหากร่วมมือกับข้าน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเจ้า”
กระแสลมพุ่งผ่านมือของไป๋หยานกระแทกเข้าที่หน้าอกของหลิวชิงหยู ทันใดนั้นร่างของหลิวชิงหยูก็ร่วงตกจากกลางอากาศกระแทกลงกับพื้น
เสียงดังสนั่นทั้งหมอกทั้งควันทั้งฝุ่นฟุ้งกระจาย หลิวชิงหยูนอนพังพาบอยู่บนพื้นอย่างน่าละอาย นางไอแค่ก ๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธ
”เจ้า…”
”เจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์นั่นจริงหรือ?” ไป๋หยานเดินลงมาจากกลางอากาศ
นางก้าวลงจากอากาศทีละก้าวๆ ราวกับมีขั้นบันไดเกิดขึ้นใต้ฝ่าเท้าของนาง และนางก็กำลังเดินลงบันไดมาช้า ๆ
หัวใจของหลิวชิงหยูสั่นไหวอย่างรุนแรงใบหน้าของนางซีดเซียว “เจ้าควรรู้ว่า ตอนนี้การจะเป็นเทพเจ้านั้นยากมาก แค่โอกาสที่ได้พบปาฏิหาริย์ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ข้าออกมาจากอาณาจักรวิญญาณ”
”งั้นหรือ? ตอนนั้น เหอฉูฉู่นำคนมาสร้างปัญหาให้กับอาณาจักรอสูร ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็อยู่เหนือระดับเฉินเจี่ยแล้วนี่ เทียบเท่ากับเหล่าเทพเจ้าในแดนสวรรค์แล้ว เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร ?”
ครั้นเห็นรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของไป๋หยาน หลิวชิงหยูก็ตกใจ นางก้มศีรษะลงไตร่ตรองชั่วครู่ “นั่นคือผู้อาวุโสของอาณาจักรวิญญาณของข้า พวกเขาก็เป็นกลุ่มคนที่ได้รับการฝึกฝนจากท่านพ่อของข้า ด้วยทักษะลับ คนพวกนี้ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้เกินร้อยปี … ”
ช่วงชีวิตของผู้ฝึกฝนจะยืนยาวออกไปเรื่อยๆ หากอยู่ในระดับเชิงเจี่ยย่อมไม่ใช่ปัญหาที่จะมีชีวิตอยู่ได้หกถึงเจ็ดร้อยปี และเมื่อเขาไปถึงระดับเฉินเจี่ย อายุของเขาก็น่าจะอยู่ยาวไปจนถึงหนึ่งพันปี
ทว่าคนพวกนั้นไม่อาจอยู่ได้ถึงร้อยปีช่างไม่คุ้มเอาเสียเลย
“ข้าได้บอกทุกอย่างที่ควรบอกแล้วไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะร่วมมือกับข้าหรือไม่ ? แต่เจ้าปล่อยข้าไปได้หรือไม่ ?” หลิวชิงหยูเอ่ยถามอย่างหวาดวิตกเหงื่อเย็นชุ่มฝ่ามือของนาง
ไป๋หยานเยาะเย้ย”ปล่อยเจ้าไปงั้นหรือ ? เจ้าสังหารคนสามสำนักใหญ่ไปตั้งมากมาย เจ้ายังต้องการให้ข้าปล่อยเจ้าไปอีกหรือ ? ถึงข้ายอม แต่คนที่ต้องเสียสละเหล่านั้นคงไม่เห็นด้วย !”
ร่างของหลิวชิงหยูแข็งทื่อใบหน้าของนางเริ่มซีดจาง “แล้วเจ้าต้องการอะไร ? ต่อให้สังหารข้าก็ไม่อะไรดีขึ้น นอกจากนี้คนเหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกข้าฆ่า หากแต่เป็นคนตระกูลหวู่ต่างหากที่ทำ ข้าเพียงบอกให้พวกเขาขับไล่คนออกจากสำนักใหญ่ทั้งสามเท่านั้น”
***จบบทจุดประสงค์ของหลิวชิงหยู (2)***

บทที่ 914 : คำสัตย์ของหลิวชิงหยู (1)
ไป๋หยานโน้มตัวมาข้างหน้าพลางกล่าวเยาะ “สิ่งที่เจ้าพูดนั้นไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย การฆ่าเจ้านั้นก็อาจไม่ก่อประโยชน์สำหรับข้า หากแต่ … การไม่ฆ่าเจ้าล่ะจะมีประโยชน์อันใดกับข้า ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋หยานหลิวชิงหยูก็ใจชื้นขึ้น “ท่านพ่อของข้ากำลังตระเตรียม ที่จะมาจัดการกับสำนักใหญ่ทั้งสามด้วยตนเอง ข้าจะคอยเป็นสายให้เจ้า จะช่วยบอกเจ้าก่อนที่เขาจะมาถึงที่นี่”
”สายส่งข่าวงั้นรึ?” ไป๋หยานกัดริมฝีปากพลางมองหลิวชิงหยูซึ่งนั่งกองอยู่บนพื้นอย่างดูหมิ่น “เจ้าคิดว่าข้าต้องการสายส่งข่าวงั้นหรือ ? หากอาณาจักรวิญญาณจะมาถึงแผ่นดินใหญ่ของข้า ย่อมต้องผ่านอาณาจักรอสูร ข้าก็แค่ให้คนคอยเฝ้าจับตาอาณาจักรวิญญาณของเจ้า แค่นี้ก็สามารถรู้ได้ว่าเขาจะมาเมื่อไหร่”
หัวใจของหลิวชิงหยูตึงเครียดเหงื่อเย็นแตกชุ่มฝ่ามือของนาง นางเข้าใจแล้วว่าหญิงผู้นี้ไม่ใช่จะหลอกได้ง่ายดายนัก
”แล้วเจ้าต้องการอะไร?”
“ข้าไม่ต้องการสายลับแต่หากเจ้าเต็มใจที่จะเป็นทาสข้า ข้าก็จะพิจารณารับเจ้าไว้” ไป๋หยานกอดอกอมยิ้มน้อย ๆ น้ำเสียงของนางไม่นุ่มนวล แต่ก็ไม่อ่อนแอ
ใบหน้าของหลิวชิงหยูซีดปรากฏความโกรธในแววตาที่งดงามของนาง “เจ้าคงไม่คิดว่า ข้า…หลิวชิงหยูจากอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ จะยอมเป็นคนรับใช้เจ้าหรอกนะ ฝันไปเถอะ !”
เฟี้ยว!
ครั้นไป๋หยานยกมือขึ้นกระดูกหนามพลันปรากฏในมือของนางอีกครั้ง สายลมเย็นพัดผ่านอย่างช้า ๆ ทำให้หลิวชิงหยูขนลุกชันด้วยความตกใจ แววตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
”เจ้า…”
บูม!
ก่อนที่ถ้อยคำของหลิวชิงหยูจะจบประโยคกระดูกหนามก็พุ่งไปที่หน้าอกของนาง ส่งผลให้ร่างของนางลอยลิ่วออกไปทันที
ในขณะนี้ผิวเนื้อของนางฉีกขาดเปิดออกทั้งมีเลือดไหลริน มันเจ็บปวดมากจริงๆ มากจนหลิวชิงหยูไม่อาจทนได้
พลังเย็นเยือกของกระดูกเดือยหนามก็ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในร่างของนางทำให้ร่างของนางหนาวสะท้าน และแข็งค้าง ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีฟ้า
ไป๋หยานไม่ให้โอกาสหลิวชิงหยูเลยแม้แต่น้อยนางพุ่งตัวไปที่หลิวชิงหยู ราวกับสายฟ้าผ่า กระดูกเดือยหนามในมือของนางถูกยกขึ้นสูง พุ่งเป้าไปที่ลำคอของหลิวชิงหยู …
ยามนี้หลิวชิงหยูรู้สึกกดดันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต ภายใต้แรงกดดันนี้ร่างของนางแข็งทื่อ ทั้งแขนขาของนางก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ นางมองไปที่กระดูกเดือยหนามที่แกว่งเข้าหานางด้วยความสยดสยอง
”ข้ายอมเป็นทาสรับใช้เจ้า!”
ครั้นกระดูกเดือยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลิวชิงหยูก็ตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว กระดูกเดือยพลันหยุดกลางอากาศ …
ยามนี้ร่างของหลิวชิงหยูถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อหัวใจของนางมืดมนจากความเย็นที่กัดกร่อน
นางเงยหน้าซีดๆ ขึ้น กัดฟันกล่าวว่า “ข้าเต็มใจเป็นทาสของเจ้า”
ไป๋หยานยิ้มน้อยๆ “เจ้าคิดว่าข้าเชื่อคำพูดของเจ้างั้นหรือ ?”
”เจ้า… ” ใบหน้าของหลิวชิงหยูเปลี่ยนไป “แล้วต้องทำเช่นไรเจ้าถึงจะเชื่อข้า ?”
นิ้วของไป๋หยานจิกพลันเม็ดยาสีเขียวก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของนาง
”กินซะ”
”นี่คืออะไร?” หลิวชิงหยูเอ่ยถามด้วยความงุนงง
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของไป๋หยานซึ่งสำหรับหลิวชิงหยูนั้นไม่ต่างจากนางปีศาจที่กำลังกวักมือเรียกนาง
”ก็แค่ยาพิษไส้เน่า! และข้าก็มียาถอนพิษ เจ้าสามารถมั่นใจได้ว่า ตราบใดที่เจ้าได้กินยาถอนพิษหนึ่งครั้งต่อเดือนก็จะสามารถระงับพิษได้ แต่หากเจ้าไม่ได้กินยาถอนพิษเกินสามเดือน เจ้าจะตายจากลำไส้เน่า”
“แน่นอน…เจ้าไม่กินพิษนี่ก็ได้”ไป๋หยานกล่าวขณะมองหน้าซีด ๆ ของหลิวชิงหยู พลางเชิดริมฝีปาก “แต่เจ้าคงรู้ถึงผลที่จะตามมาจากการปฏิเสธครั้งนี้ของเจ้า เจ้ารู้ว่าข้าคงจะไม่ปล่อยเสือเข้าป่าแน่”
ความหมายก็คือหากเจ้าไม่กินยาพิษเจ้าก็ไม่รอด…
***จบบทคำสัตย์ของหลิวชิงหยู (1)***

บทที่ 915 : คำแก้ตัวของหลิวชิงหยู (2)
หัวใจของหลิวชิงหยูสั่นไหวจะว่าไป รอดก็ดีกว่าตาย นางยอมสัญญาว่าจะเป็นทาสเพื่อความอยู่รอดได้ แค่กินยาพิษจะเป็นไรไป ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิวชิงหยูก็รับยาพิษมาจากมือของไป๋หยานแล้วกลืนลงไปในอึกเดียว
”ข้ากินยาพิษแล้วข้าจะไปได้หรือยัง ?”
ไป๋หยานกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “ลูกน้องของเจ้ายังอยู่ในคฤหาสน์ของเจ้าตำหนักเซียนพยับหมอก เจ้าไม่คิดจะพาพวกเขาไปด้วยหรือ ?”
หัวใจของหลิวชิงหยูสั่นไหวหากเทียบกันแล้ว นางกลัวบุรุษที่เปี่ยมเสน่ห์ยากจะหาผู้ใดเทียบคนนั้นมากกว่าไป๋หยานเสียอีก
คิดว่าลุงจุนยังคงตกอยู่ในกำมือของเขาหลิวชิงหยูกัดฟัน “ได้ ข้าจะกลับไปพร้อมเจ้าก่อน”
สายตาเย็นชาของไป๋หยานกวาดมองหลิวชิงหยู”นี่คือน้ำเสียงที่บ่าวควรใช้กับนายหญิงกระนั้นหรือ ?”
”ข้า… ” ในใจของหลิวชิงหยูโกรธมาก แต่เมื่อหวนคิดได้ว่าชีวิตของนางยังตกอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย เช่นนั้นนางจึงระงับความโกรธของตน “นายหญิง…ข้าผิดไปแล้ว”
กระดูกเดือยหนามในมือของไป๋หยานปักลงบนพื้นอย่างแรงทั่วอาณาบริเวณภูเขาทั้งหมดพลันสั่นสะเทือน ทำให้หลิวชิงหยูกระถดถอยกลับไปสองสามก้าวด้วยความตกใจ
เหตุใดหญิงผู้นี้ถึงได้มีอารมณ์ร้ายนัก?
หลิวชิงหยูกัดริมฝีปากพลางสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมก้มศีรษะลง “นายหญิง ข้าน้อยมิกล้า … ”
ไป๋หยานดึงกระดูกเดือยหนามออกมาจากนั้นก็หย่อนใส่ถุงเก็บของ นางกล่าววาจาเย้ยหยัน “หลิวชิงหยู เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าจะมีวันที่สามารถหลุดพ้นการควบคุมของข้าได้ เพราะพิษนี้ข้าเป็นผู้ปรุงขึ้นเอง นอกจากข้าแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถปรุงยาถอนพิษได้ เช่นนั้น … หากเจ้ากล้าที่จะขัดคำสั่งของข้า เจ้าก็คงจะรู้ว่าจุดจบของเจ้าจะเป็นเช่นไร ?”
น้ำเสียงของนางราวกับย้ำเตือนซึ่งนั่นทำให้หัวใจของหลิวชิงหยูสั่นไหว
ในความเป็นจริงนางเองก็เป็นหมอปรุงยา ทว่าหลังจากกินยาเม็ดนี้ไปแล้วนางกลับไม่สามารถรับรู้ส่วนผสมที่อยู่ในเม็ดยาเลย แม้แต่ส่วนประกอบยาเพียงชนิดเดียวก็ยังไม่อาจแยกแยะได้
ด้วยเหตุนี้นางย่อมรู้ว่า หากนางต้องการที่จะปรุงยาถอนพิษให้ตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก …
”นายหญิง…ข้ามิกล้าเอาใจออกห่างท่านเป็นแน่”
กว่าที่นางจะอยู่รอดปลอดภัยในอาณาจักรวิญญาณมาจนถึงวันนี้ได้นั้นทั้งผู้คนต่างก้มศีรษะให้นาง ก็ต้องนับว่านางมีความสามารถมาก เช่นนั้นนางจะยอมมาตายง่าย ๆ แบบนี้ได้อย่างไร ?
ครานี้หลิวชิงหยูจึงทำใจยอมรับโชคชะตาแม้นางจะไม่ยินดีเลยก็ตาม…
”ไปกันเถอะ”
ไป๋หยานไม่กล่าวคำใดอีกนางหันหลังกลับ ร่างของนางเปลี่ยนเป็นแสงวาบ พุ่งไปที่ตำหนักเซียนพยับหมอกซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก …
หลิวชิงหยูยืนอยู่ข้างหลังไป๋หยานมองตามร่างไป๋หยานที่ค่อย ๆ หายลับตาไป จากนั้นนางก็ไล่ตามสาวชุดแดงที่หายตัวไปอย่างรวดเร็ว …
*****
ภายในคฤหาสน์ของเจ้าตำหนักเซียนพยับหมอกบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างก็เงียบกริบ แม้แต่เข็มตกสักเล่มก็ยังได้ยิน
ชายคนนั้นนั่งเอนหลังอย่างเกียจคร้านเท้าแขนทั้งสองลงบนพนักเก้าอี้เบา ๆ เขาสวมใส่อาภรณ์สีม่วง แลดูสูงส่ง สง่างามและมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ภายใต้แสงจันทร์ เรือนผมสีเงินยวงยิ่งน่าเสน่หาคลั่งไคล้ เขาคือความงดงามของโลกนี้
ยามนี้เขากำลังเหยียบอกชายชรา นัยน์ตาเรียวคมของเขาจับจ้องมองคนที่อยู่ต่ำกว่า ใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึก เต็มไปด้วยอำนาจ
ลุงจุนถูกเหยียบกระทั่งเลือดทะลักกลบปากและเกือบจะอาเจียนออกมา หากแต่เขาก็ไม่กล้ากล่าวคำใด หัวใจของเขายังคงเป็นกังวลเกี่ยวกับหลิวชิงหยูที่หนีไปแล้ว เขาหวังว่านางจะกลับไปสู่อาณาจักรวิญญาณได้อย่างปลอดภัย…
ณขณะนี้……
ด้านนอกประตูร่างในอาภรณ์สีแดงร่อนลงมาลุงจุนเห็นชุดสีแดงจากปลายหางตา หัวใจของเขาตึงเครียดขึ้นทันที ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเทาราวกับคนตาย เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
หญิงผู้นี้กลับมาแล้วเช่นนั้นจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับคุณหนูหรือไม่นะ ?
”หม่ามี้”
แววตาของไป๋เสี่ยวเฉินสว่างไสวหลังจากเห็นไป๋หยานเดินเข้ามา เขาก็พุ่งเข้าไปหาอ้อมแขนของนางทันที
***จบบทคำแก้ตัวของหลิวชิงหยู (2)***

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

นางกลับชาติมาเกิดเป็นทายาทในตระกูลขุนนางจีนที่ทรงเกียรติ ทว่าในเวลานั้นนางไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องคว้าตัวชายสักคนมาปลดปล่อยความทรมานที่กำลังพุ่งถึงจุดที่ไม่สามารถอดทนได้

ไม่คาดคิดไม่เพียงแต่นางต้องถูกพร่าพรหมจรรย์อย่างไม่ตั้งใจคาเตียง นางยังต้องอุ้มท้องทั้งที่ไม่ได้แต่งงานอีกด้วย

มิหนำซ้ำ…ลูกที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือนกลับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องเรียกนางว่า “หม่ามี้” ตั้งแต่เกิด โชคดีที่ลูกของนางเลี้ยงง่าย และหวงแม่มาก

ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนดี และคนชั่วมากมายให้ผจญ หม่ามี้กับบุตรชายคู่นี้จึงต้องร่วมมือกันทำลายล้างศัตรู ไหนจะพวกญาติ ๆ ที่ชอบสบประมาทดูหมิ่นพวกเขาอีกล่ะ คนพวกนี้จะต้องได้รับผลกรรมให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับพวกเขาสองแม่ลูก

แต่ทว่า จุ๊ ๆ วันหนึ่งป๊ะป๋าจิ้งจอกก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงแต่คิดจะลักพาตัวจิ้งจอกน้อยเท่านั้น ทว่าเขายังคิดจะชิงหม่ามี้ของเจ้าจิ้งจอกน้อยอีกด้วย ชะช้า ป๊ะป๋าผู้โง่เขลากล้าดียังไง ? จะทำอะไรไม่ถามไม่ไถ่ความเห็นของจิ้งจอกน้อยสักคำ…

จิ้งจอกน้อยเท้าสะเอวพลางกล่าวว่า “ท่านอยากเป็นป๊ะป๋าของข้ากระนั้นรึ ? เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนมา แล้วก็เดินไปต่อแถวหลัง ๆ โน่น เอ่อ หม่ามี้… ท่านลุงหวังที่อยู่บ้านถัดไปนั่นมีฐานะมั่งคั่งมาก ข้าว่าท่านควรไปเป็นลูกสะใภ้เขาจะดีกว่านะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท