บทที่ 309 เมืองหลวงวุ่นวาย
ประตูเมืองหลวง
เนื่องจากมีข่าวลือเกี่ยวกับธิดาหงส์บัญชาสวรรค์ ทำให้สองวันมานี้ผู้คนที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงจึงหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย เมืองหลวงที่เดิมเจริญรุ่งเรืองอยู่แล้วตอนนี้กลับยิ่งคึกคักมากขึ้น แค่คนที่มาต่อแถวที่หน้าประตูเมืองก็ต้องรอจนฟ้ามืดอยู่แล้ว
“ท่านนายกอง ท่านยังไม่ได้เลือกโลงศพเลยนะขอรับ!”
อู๋ซิ่วใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง พลางมองไปที่ประตูเมืองแล้วเอ่ยขึ้น “อืม รู้สึกสวยไปหมดเลย จึงเลือกไม่ถูก”
ทหารชั้นผู้น้อยเกาจมูก เลือกไม่ถูกอะไรกัน เห็นว่าเบื้องบนยังไม่ว่างมาจัดการเขา จึงมีชีวิตกลับมาได้อีกครั้งกระมัง
อู๋ซิ่วหรี่ตาลง “แต่ข้ารู้สึกเย็น ๆ ที่ท้ายทอย ข้าคงไม่ได้หัวล้านหรอกกระมัง เจ้าลองดูหน่อยสิ”
“ท่านล้อเล่นหรือขอรับ ผมของท่านยังอยู่ดีนะขอรับ อายุเท่านี้จะหัวล้านได้อย่างไรกัน”
อู๋ซิ่วลองคิดดูก็จริง เพียงแต่ครั้งนี้เขาจ่ายเงินไปมาก ควักเอาเงินเก็บทั้งหมดออกมา ต้องขอย้ายจากตำแหน่งนายกองประจำประตูเมืองให้ได้
“วางใจเถอะขอรับ ท่านพญายมผู้นั้นเพิ่งจะไปได้ไม่กี่วัน เอะอะจะกลับมาอีกได้อย่างไรกัน”
อู๋ซิ่วเองก็คิดเช่นนั้น ตอนนี้แค่เขาได้ยินคำว่าเผยยวน ก็รู้สึกไม่สบายตัวแล้ว
“ไปเถอะ ไปลาดตระเวนตรวจตราดู แต่คนเยอะเพียงนั้น ไก่ เป็ด ปลา มารวมกันหมดเช่นนี้ ทำให้คนปวดหัวยิ่งนัก”
…
ทางด้านนี้ พวกจี้จือฮวนก็มาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้ว เอี๋ยนเฉาได้กินเนื้อตุ๋นแห้งก็ไม่อยากจากไปไหนแล้ว “เฮ้อ เจ้าว่าฝีมืออย่างฮูหยินไปเรียนมาจากที่ใดกัน ข้าจะไปเชิญพ่อครัวแม่ครัวเช่นนี้มาบ้าง”
เผยยวนรำคาญเขาตลอดทางที่มา จึงอยากจะเตะเขาลงไปให้พ้น ๆ อาควนจึงเอ่ยอย่างใจเย็นขึ้นมา “นายน้อย ข้าขอเตือนให้ท่านหุบปากเสียตอนนี้จะดีกว่านะขอรับ”
เอี๋ยนเฉาจึงไม่พูดอะไรออกมาอีก สาเหตุก็เพราะเห็นคนต่อแถวยาวที่หน้าประตูเมือง นี่มันจะมากเกินไปกระมัง พวกเขาก็ไม่ได้มาเช้าแล้วนะ แถวยาวเพียงนี้เมื่อไรจะได้เข้ากัน
“ข้าใช้เส้นสายหน่อยดีกว่า” ปกติล้วนมีคนจัดการแทนเขา ลูกคนรวยที่วัน ๆ เอาแต่วิ่งไปนู่นมานี่อย่างเขา จึงสร้างความสนิทสนมกับคนเฝ้าประตูเมืองไว้ตั้งนานแล้ว จำเป็นต้องรอตรวจสัมภาระที่ใดกัน
เผยยวนมองไปยังอู๋ซิ่วที่อยู่ไกลออกไป พลางส่ายหน้าไปมาก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่จำเป็น คนคุ้นเคยมาแล้ว”
อู๋ซิ่วยังคงใช้ด้ามดาบตรวจสอบสินค้าบนเกวียนวัวอย่างหมดอาลัยตายอยาก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตาคมปลาบคู่หนึ่ง
ขาของเขาพลันอ่อนแรงจนเกือบจะทรุดลงไปคุกเข่าให้กับหมูบนเกวียน
“โอ๊ะ ใต้เท้า ท่านระวังหน่อยสิขอรับ” ทำให้ราษฎรที่อยู่รอบ ๆ ถอยหลังด้วยความตกใจ กลัวว่าตัวเองจะมีปัญหาไปด้วย
อู๋ซิ่วเท้าแขนบนแขนของทหารชั้นผู้น้อย พลางวิ่งไปหาเผยยวนอย่างโซซัดโซเซ จึงเผลอไปเหยียบขี้วัวโดยไม่ทันระวัง แต่ไม่กล้าส่งเสียงด่าออกมา รอจนกระทั่งวิ่งเข้าไปหาเผยยวนแล้ว เขาจึงรู้สึกว่าการที่ไม่รีบเลือกโลงศพนั้นเป็นความคิดที่ผิด
“เผย…เผย เผย…”
เอี๋ยนเฉาเลิกคิ้ว “เหตุใดเจ้าถึงด่าคนเช่นนี้กัน”
อู๋ซิ่วร้อนรนขึ้นมา “ปะ เปล่าขอรับ หืม? ท่านคือนายน้อยเอี๋ยนไม่ใช่หรือขอรับ?”
“เอ๊ะ อู๋ซิ่วหรือ ช่วยอำนวยความสะดวกให้พวกเราหน่อยได้หรือไม่ พวกเราจะเข้าเมือง” เอี๋ยนเฉาเอ่ยถาม
เจ้าอยากเข้าก็เข้าไปสิ ใครขวางเจ้ากัน เจ้าจะเข้าหรือไม่เข้าก็ไม่มีผลอะไร เพียงแต่…ท่านพญายมเผยครั้งนี้ท่านจะมาฆ่าผู้ใดอีกเล่าขอรับ?
“แม่ทัพเผย วันนี้เข้าเมืองกลางวันแสก ๆ มี…”
“เดินเล่น” เผยยวนเห็นท่าทางหวาดกลัวของเขาก็รู้สึกอยากจะหัวเราะ
หากคนอื่นบอกว่าเดินเล่นก็หมายถึงเดินเล่นจริง ๆ แต่คำว่าเดินเล่นของเจ้านั้นคงไม่เหมือนคนอื่นกระมัง อู๋ซิ่วรู้สึกว่ากระดูกสันหลังของตัวเองอ่อนยวบลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว
“ครั้งนี้ตั้งใจไปเดิน…เดินเล่นที่ถนนเส้นใดหรือขอรับ…” อู๋ซิ่วถามออกไปก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผากไปด้วย ไม่รู้ว่าเอ่ยถามตอนนี้จะทันหรือไม่ ขอเพียงไม่ใช่คนที่อยู่ในวังท่านนั้น คนอื่นก็ภาวนาให้ตัวเองก็แล้วกัน
“ครั้งนี้มาเดินเล่นจริง ๆ” เผยยวนใช้แส้ม้าดันอู๋ซิ่วออก “ดังนั้นข้าเข้าไปได้หรือยัง?”
“ได้แน่นอนขอรับ!” หากข้าบอกว่าไม่ได้ โลงศพข้ายังไม่ได้เลือกเลยนะ
เมื่อเห็นพวกเผยยวนเข้าเมืองหลวงไปแล้ว อู๋ซิ่วก็นั่งลงเพราะแข้งขาอ่อนแรง
“ท่านนายกอง พวกเราจะไม่ส่งคนตามไปดูหรือขอรับ? หากว่าเขาเดินไปเดินมาและเกิดถูกใจหัวใครเข้าจะทำเช่นไรเล่าขอรับ”
อู๋ซิ่วส่ายหน้า “ไม่มีสิทธิ์ เรื่องนี้พวกเราไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่ง ข้าต้องเลือกฤกษ์งามยามดีเสียแล้ว”
“เลือกไปทำอะไรขอรับ?”
“ข้าจะไปจากเมืองหลวง ข้าจะไปเฝ้าประตูเมืองที่ด่านอวี่เหมิน ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
นายกองประตูเมืองบัดซบนี่ ใครอยากเป็นก็เป็นไปเลย
ฮวาเซียงเซียงกำลังแทะเมล็ดแตงโม เมื่อได้ยินเสียงด้านนอกก็เอ่ยขึ้นมา “แม่ทัพเผยรู้จักยามที่เฝ้าประตูเมืองด้วยหรือ เข้ากับคนง่ายจริง ๆ”
จี้จือฮวนคิดถึงอู๋ซิ่วก็รู้สึกว่าคำว่า ‘เข้ากับคนง่าย’ อู๋ซิ่วต้องไม่เห็นด้วยเป็นแน่
โชคดีที่ไม่นานฮวาเซียงเซียงก็ถูกเมืองหลวงดึงดูดความสนใจไป
“อืม ทิวทัศน์สู้เจียงหนานของเราก็ไม่ได้ แต่ว่าเมืองหลวงให้ความรู้สึกจริงจังกว่า”
ฮวาเซียงเซียงมาอยู่ที่ตำบลฉาซู่นานเพียงนั้น ก็ยังไม่เคยมาเมืองหลวงแม้แต่ครั้งเดียว ครั้งนี้นับว่าสมปรารถนาแล้ว
“จะว่าไปแล้วตอนแรกเหตุใดเจ้าไม่มาเปิดร้านที่เมืองหลวงเล่า?”
“เจ้าไม่รู้อะไร ที่เมืองหลวงก็มีร้านของพ่อข้าอยู่ หากข้ามาอยู่ที่นี่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเงินไหลจากกระเป๋าเขามาเข้ากระเป๋าข้าหรือไม่ เช่นนั้นไม่เท่ากับวนอยู่ในครอบครัวตัวเองหรอกหรือ?”
“เช่นนั้นช่วงนี้พ่อของเจ้าพักที่ใดกัน”
“คฤหาสน์น่ะสิ ก่อนหน้านี้อันชิงอ๋องก่อกบฏ ในคฤหาสน์หลังใหญ่นั่นยังมีกระเบื้องทองด้วยนะ ต่อมาก็ถูกราชสำนักขุดมาขาย และพ่อข้าก็ซื้อเอาไว้”
ทันใดนั้นจี้จือฮวนก็รู้สึกว่าคนที่นั่งข้าง ๆ นาง คือภูเขาทองที่มีชีวิตชัด ๆ
“ดูท่าตระกูลเซียวคงไม่ใช่ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในต้าจิ้นแล้วกระมัง”
เพราะบางคนที่มีเงินจริง ๆ มักจะไม่ชอบเปิดเผย
ฮวาเซียงเซียงได้ยินนางพูดถึงตระกูลเซียว ก็รีบจับตัวนางแล้วเอ่ยขึ้นมา “หากว่าพ่อข้าถามเรื่องของเป่ยป้าเทียน เจ้าอย่าพูดถึงเซียวเย่เจ๋อเป็นอันขาดนะ”
“เพราะอะไร? เซียวซื่อจื่อก็ไม่ได้หน้าตาขี้เหร่เสียหน่อย”
“เจ้าไม่รู้อะไร เด็กผู้ชายที่อยู่ข้างกายข้าล้วนถูกพ่อข้าจับตามองเป็นพิเศษ แม่ข้าจากไปตั้งแต่ยังสาว เขาจึงจับตามองข้าอย่างกับแม่ไก่หวงไข่ หากเขารู้ว่าวันที่ไปช่วยข้ายังมีเซียวเย่เจ๋ออีกคน ข้ากลัวว่าเขาจะเอาดาบไปบังคับให้เซียวเย่เจ๋อแต่งเข้าบ้านเราน่ะสิ”
จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้นสูง เช่นนั้นก็ดีจะตายไป นางอยากจะพูดมากเลยนะ
เมื่อคิดถึงว่าเซียวเย่เจ๋อจะถูกมัดเข้ากองเรือ กลายเป็นลูกเขยของกลุ่มกองเรือเช่นนั้นคงจะยอดเยี่ยมมาก เรือล่มในหนองทองจะไปไหน ผู้แข็งแกร่งจับมือกัน ก็แค่คนรวยแต่งงานกันไม่ใช่หรือ?
รถม้ากระตุกขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็หยุดลง
“มีอะไรหรือ?” จี้จือฮวนเอ่ยถาม
เผยยวนเข้ามาในรถม้า “ด้านนอกมีคนกำลังเข้าแถวกันอยู่ บอกว่าด้านหน้าราชครูกำลังแจกยันต์ หากได้มาจะสามารถทำให้บ้านเรือนปลอดภัย”
“เสแสร้งหลอกลวง ผู้สูงส่งที่บรรลุเต๋าจริงไหนเลยจะสนใจชื่อเสียงจอมปลอมเช่นนี้ และการมาเล่นลูกไม้ที่นี่หากมีคนมารอมาก ๆ เข้าและไม่มีใครจัดการ ถึงเวลาเกิดเหยียบกันตายขึ้นมา จะมีคนตายกี่คนกัน”
จี้จือฮวนไม่มีความประทับใจใด ๆ ต่อเจียงเช่อผู้นี้
ฮวาเซียงเซียงเองก็รำคาญพวกนักต้มตุ๋นเช่นนี้เหมือนกัน “เจ้าว่าเมืองหลวงออกจะใหญ่โต เหตุใดถึงยังมีชาวบ้านถูกหลอกอยู่อีกเล่า”
นั่นก็เพราะมีฮ่องเต้โง่คอยป่าวประกาศให้นักต้มตุ๋นอย่างไรเล่า ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงก็คงจะไม่โด่งดังเพียงนี้
“ข้างหน้ามีคนขวางทางจนขยับไม่ได้แล้ว พวกเราเดินไปกันเถอะ” ฉินต๋าตะโกนขึ้นมา
พวกฮวาเซียงเซียงทำอะไรไม่ได้ นอกจากเบียดฝูงชนเข้าไป
เอี๋ยนเฉาสงสัยอย่างมาก จึงจับสตรีผู้หนึ่งมาสอบถาม “ราชครูผู้นี้มีความสามารถอันใดอย่างนั้นหรือ?”
“โอ๊ย ท่านเทพร้ายกาจมาก เขาสามารถขอฝนโชคดีได้ ทั้งยังสามารถชุบชีวิตคนตายได้!! ก่อนหน้านี้มีคนหนึ่งตายไปแล้ว ข้าเห็นกับตาว่าเขากลับมามีชีวิตได้อีกครั้งเพราะท่านเทพ!”
.
.
.